ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 320 ยืนยันสมมติฐาน
บทที่ 320 ยืนยันสมมติฐาน
“ดูเหมือนว่าท่านผู้อาวุโสสูงสุดคงจะได้อะไรบ้างแล้วกระมัง” เฉินเฉียงถามด้วยรอยยิ้ม
ฮูเตียนได้ยืดอกตรงก่อนจะสะบัดผ้าคลุมของตนแล้วก้มหัวให้แก่เฉินเฉียงอย่างนอบน้อม
ในครั้งนี้ เฉินเฉียงไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใดในครั้งนี้
เฉินเฉียงนั้นเข้าใจความรู้สึกของคนเช่นฮูเตี๋ยน ท้ายที่สุดแล้ว เขาจึงทำได้เพียงการรับความรู้สึกของชายชราตรงหน้าของเขาเอาไว้
ความจริงแล้วเฉินเฉียงก็ไม่ได้อยากรับการคำนับนี้แต่อย่างใด แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกยามที่ต้องเปลี่ยนตำแหน่งกันแล้ว เขาจึงทำได้เพียงแค่ยอมรับมันไว้
“เอาล่ะ ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านลองบอกสิ่งที่ท่านเข้าใจมาหน่อยสิ”
ฮูเตี๋ยนพยักหน้ารับ ก่อนที่จะมองไปยังพื้นที่ที่ห่างไกลด้วยสายตาที่ชุ่มชื้น
“นายเหนือหัว ข้ารับใช้ผู้นี้คิดมาตลอดว่าการที่จะเป็นราชาจักรพรรดินั้นจำเป็นต้องขยายโลกใบเล็กของตนให้กว้างใหญ่พอจนสามารถรองรับความทรงพลังของระดับขั้นราชาจักรพรรดิได้”
“และแนวทางการบ่มเพาะที่มีอยู่ในโลกนี้ล้วนแล้วแต่ทำให้ตัวข้าคิดเป็นเช่นนั้น”
“อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ยินคำพูดของนายเหนือหัวไปแล้ว ข้ารับใช้ผู้นี้ก็ได้เข้าใจจนได้”
“โลกใบเล็ก ที่อยู่ร่างของผู้รับใช้นั้นแม้มันจะไม่ใช่โลกเฉกเช่นเดียวกับโลกที่เราอาศัยอยู่ แต่มันก็ไม่ใช่แค่โลกใบเล็กเพียงเท่านั้น”
“แม้ข้ารับใช้ผู้นี้ไม่อาจจะหาคำจำกัดความของมันได้ แต่ก็พอจะบอกได้ว่าโลกใบเล็กนี้เปรียบได้ดั่งต้นกำเนิดพลังฟ้าดินของคนคนนั้น”
“และถึงแม้นายเหนือหัวจะบอกว่าพลังการควบคุมของนายเหนือหัวจะเป็นเพียงขั้นเรียนรู้ แต่ด้วยระดับการควบคุมโลกใบเล็กนี้เองนั้น ข้ารับใช้ผู้นี้ก็ยังไม่อาจจะทำได้”
“หากพูดกันตรงๆล่ะก็ แม้แต่พื้นที่ในระยะหนึ่งเมตร ข้ารับใช้เองก็ยังไม่อาจจะทำได้”
“แต่เมื่อได้รับคำชี้แนะของนายเหนือหัวแล้ว ข้ารับใช้ผู้นี้เชื่อว่าจะหาวิธีฝึกฝนมันได้อย่างแน่นอน”
“พลังในการควบคุม”
“นายเหนือหัวได้พูดถูกต้องแล้ว”
“มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะกลายเป็นราชาจักรพรรดิได้ นั่นก็คือการได้รับพลังแห่งการควบคุมที่แข็งแกร่งมา”
“เมื่อใดก็ตามที่ข้ารับใช้ผู้นี้สามารถควบคุมโลกใบเล็กในร่างได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อนั้นข้าก็จะเป็นนายแห่งโลกใบเล็กที่อยู่ในร่างกาย”
“เฉกเช่นเดียวกับโลกที่เราอยู่นี้ ใครก็ตามที่สามารถควบคุมโลกใบนี้ได้ คนผู้นั้นก็ย่อมเป็นพระเจ้าของโลกใบนี้”
หลังจากได้ยินคำพูดของฮูเตี๋ยนแล้ว เฉินเฉียงเองก็อดที่จะยิ้มกริ่มไม่ได้
มันก็จริงที่ใครก็ตามที่ควบคุมโลกใบนี้ได้ก็สามารถถูกเรียกว่านายเหนือหัวของโลกใบนี้
ส่วนไอ้สิ่งที่ที่เรียกว่าราชาจักรพรรดินั่น มันก็แค่คำเรียกที่รับรู้กันเองเฉยๆเพียงเท่านั้น
เหตุผลที่ทำไมราชาจอมพลมากมายนั้นไม่อาจทำได้นั้นไม่ใช่เพราะว่าคนเหล่านั้นไม่รู้การบ่มเพาะหรือไม่ได้รับพลังฟ้าดิน แต่เป็นเพราะพวกเขานั้นมีการรับรู้และความเข้าใจที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงก็เท่านั้น
เป็นเพียงตอนที่พวกเขาได้เปิดโลกทัศน์และได้รับรู้ถึงความเป็นจริง จึงสามารถตั้งเป้าหมายและเข้าถึงสิ่งที่เรียกว่าราชาจักรพรรดิได้
ในตอนนี้เอง เฉินเฉียงก็ราวกับจะเข้าใจในเคล็ดวิชาภาพวาดห้วงมหาสมุทรมากขึ้นไปอีกเล็กน้อย
แต่เดิม เขานั้นเพียงแค่ต้องการแลกเปลี่ยนความคิดกับฮูเตี๋ยนเพียงเท่านั้น เขาก็ไม่คิดว่านั่นจะกลายเป็นการจุดประกายโอกาสของฮูเตี๋ยนได้แทน
เฉกเช่นคำกล่าวที่ว่า ‘ทำดีย่อมได้ดี’
ส่วนเรื่องที่ว่าฮูเตี๋ยนจะฝึกการควบคุมโลกใบเล็กของตนยังไงนั้น เรื่องนี้เฉินเฉียงไม่ได้กังวลแต่อย่างใด นั่นก็เพราะว่าฮูเตี๋ยนคือผู้บ่มเพาะที่มีอายุมากว่าสองร้อยปี หากว่าเขายังทำไม่ได้ก็เรียกได้ว่าเสียชาติที่อยู่มานานแล้วกระมัง
ท่ามกลางความรู้สึกยินดีที่เกิดขึ้นนี้ เฉินเฉียงก็ได้เห็นผมของฮูเตี๋ยนที่ขาวโพลนก่อนหน้าเริ่มกลับกลายเป็นสีดำในบางส่วน
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด อย่าบอกนะว่าท่านบรรลุขั้นไปแล้วน่ะ”
ฮูเตี๋ยนรีบโบกมือไปมาอย่างยินดีแล้วรีบพูดออกมา “นายเหนือหัว ข้ารับใช้ผู้นี้อยู่ในระดับราชาจอมพลขั้นสูงช่วงปลายมานานมากแล้ว”
“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะได้รับฟังคำของท่านจึงทำให้แค่มีความสุขมากไปก็เท่านั้น”
“และถึงแม้ข้ารับใช้ผู้นี้จะไม่ถึงกับข้ามขั้น แต่ด้วยความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นนี้ก็ทำร่างกายนั้นมีเรี่ยวแรงและพลังชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก”
“และหากข้ารับใช้ผู้นี้เข้าใจไม่ผิด อย่างน้อยๆด้วยพลังชีวิตเพิ่มขึ้นอีกหลายสิบปีเลยทีเดียว”
“ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ต้องขอบคุณท่านนายเหนือหัวแล้ว”
เมื่อพูดจบ ฮูเตี๋ยนได้โค้งคำนับเฉินเฉียงจากใจอีกครั้ง
มันเป็นเพราะคำพูดอันล้ำค่าของเฉินเฉียงที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นคลอนและจิตสำนึกที่มองเห็นช่องทางในการยกระดับขั้น จึงเป็นธรรมดาที่พลังชีวิตของเขาจะเพิ่มสูงขึ้น
และนี่จึงทำให้ฮูเตี๋ยนค่อนข้างมั่นใจว่า สิ่งเฉินเฉียงพูดมานั้น คือกุญแจสำคัญสู่การเป็นราชาจักรพรรดิ
เมื่อฮูเตี๋ยนได้รับบางสิ่งจากการสนทนา เฉินเฉียงเองก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาในทันใด
ตราบใดที่ฮูเตี๋ยนสามารถใช้แนวทางของเขาจนสามารถบรรลุการเป็นราชาจักรพรรดิได้จริงๆ ต่อให้เขาต้องติดอยู่ต่างเขตแดน เขาก็ไม่ต้องห่วงโลกนี้มากมายนัก
“…..นายเหนือหัว วิธีการที่จะทำให้กลายเป็นราชาจักรพรรดินี่ สามารถเผยแพร่ในฮุยตู๋ของเราหรือไม่”
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋ก็ยังเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋อยู่ดี
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็นิ่งคิดไปพักหนึ่ง ท้ายที่สุดเขาก็ส่ายหัวไปมาแล้วพูดออกไป “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ในเมื่อโลกใบนี้ยังมีความขัดแย้งกันอยู่ และทุกคนต่างก็เห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น ในสถานการณ์แบบนี้ หากใครได้รับวิธีการนี้และสามารถฝึกฝนได้ไปสู่ระดับจักรพรรดิ ข้าเกรงว่าจะมีคนอย่างฮั่นจุยที่สามารถสร้างหายนะต่อโลกใบนี้อย่างไม่แยแสเพิ่มมากขึ้น”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ท่านผู้อาวุโสสูงสุด หากมีใครก็ตามในฮุยตู๋ที่เข้าไปสู่ในระดับราชาจอมพลขั้นสูงและคนคนนั้นเป็นคนที่เชื่อถือได้ ท่านค่อยสอนแนวคิดเกี่ยวกับการควบคุมนี้ให้ก็แล้วกัน”
“นายเหนือหัวโปรดวางใจ ข้ารับใช้ผู้นี้รู้ดีว่าควรทำยังไง”
เป็นเพียงในตอนนี้ที่ฮูเตี๋ยนเริ่มโค้งคำนับให้เฉินเฉียงอย่างจริงใจ
ก่อนหน้านี้ ความสัมพันธ์ก่อนหน้าระหว่างฮูเตี๋ยนและเฉินเฉียงนั้นเป็นเรื่องของผลประโยชน์ล้วนๆ
เฉินเฉียงต้องการใช้พลังอำนาจของฮุยตู๋ในการหาตัวฮั่นจุย
ฮูเตี๋ยนเองต้องการให้เฉินเฉียงช่วยจัดการการรุกรานจากศัตรูต่างเขตแดน
แต่ในตอนนี้มันต่างออกไป
ในมุมมองของฮูเตี๋ยนนั้น คำพูดของเฉินเฉียงไม่เพียงเป็นการต่อชีวิตให้เขา มันยังช่วยให้เขามีเส้นทางในการบ่มเพาะต่อไปอีก
ความใจดีนี้เปรียบได้ดั่งความหวังดีของอาจารย์ที่สั่งสอน
และผู้ที่สั่งสอนและถูกสั่งสอนนี้ ย่อมไม่จำกัดว่าเป็นผู้ใด หรือมาแต่ช่วงอายุหรือเพศก็ไม่เกี่ยวข้อง
นี่จึงทำให้ฮูเตี๋ยนไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวง อับอาย หรือเคอะเขินในสิ่งที่ตัวเองกระทำ เขายังรู้สึกว่าโชคดีอย่างที่สุดที่เฉินเฉียงได้กลายมาเป็นนายเหนือหัวแห่งฮุยตู๋ซะอีก
ด้วยการที่ทั้งสองนั้นต่างก็ทำความเข้าใจความสำคัญในการควบคุมได้แล้ว พวกเขาจึงไม่ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก แต่ทั้งสองเปลี่ยนเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับๆเคล็ดวิชาต่างๆที่พอจะมีแนวทางในการควบคุมได้เฉกเช่นเดียวกับขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้ เหล่าราชาจอมพลจำนวนหนึ่งได้พุ่งตรงมายังทิศใต้ของเอเวอเรสต์
แต่ถึงแม้เฉินเฉียงจะรับทราบผลการค้นหาแล้วนั้น เขาก็ไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด แม้จะได้รับฟังข่าวที่น่าผิดหวังนี้ไปก็ตาม
ฮั่นจุยหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด
ไม่ว่ายังไงก็ตาม ฮั่นจุยก็เป็นราชาจอมพลขั้นกลาง ว่ากันตรงๆต่อให้เผชิญหน้ากับราชาจอมพลขั้นสูงได้พบเจอก็ยังยากที่จะจัดการฮั่นจุยได้
และหากฮั่นจุยต้องการจะซ่อนตัว ต่อให้มีราชาจอมพลมากมายขนาดไหนก็ยังยากที่จะหาพบ
อย่างไรก็ตาม ฮั่นจุยนั้นเป็นคนที่เรียกได้ว่าเกินเยียวยา อีกไม่ช้า คนผู้นี้ต้องคลั่งและกลับมาก่อการอีกครั้ง
และเมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้ฮุยตู๋และทั้งสามเผ่าพันธุ์จะร่วมมือกัน แต่การกระทำของฮั่นจุยก็เพียงพอจะให้โลกใบนี้ต้องสูญสิ้นก่อนเวลาอันควร
โลกใบนี้นั้นพึ่งจะผ่านเภทภัยมาได้เพียงแค่พันปี เขาเชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้นโลกใบนี้คงไม่อาจจะฝืนทนไหว
แต่ในตอนนี้ เฉินเฉียงทำได้เพียงลามือจากเรื่องฮั่นจุยไปชั่วคราว
ตราบใดที่เขาไปถึงระดับราชาจอมพลและควบคุมโลกใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์ เพียงแค่ฮั่นจุยคิดเสนอหน้า เขาจะรีบจัดการมันผู้นั้นในทันที
ในตอนนี้ ต่อหน้าเฉินเฉียง ผู้บ่มเพาะนับหมื่นได้มารวมกันที่ตีนเขาเอเวอเรสต์ทิศใต้
นอกจากผู้ที่มีสัมพันธ์อันดีกับเฉินเฉียงแล้ว ที่เหลือล้วนแล้วแต่เป็นราชาจอมพลทั้งหมดทั้งสิ้น
“ท่านนายเหนือหัว โปรดให้ผู้อาวุโสสองและคนของเขาติดตามท่านไปด้วยเถิด เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม ที่นั่นก็ยังเป็นต่างเขตแดนที่มีไอ้ตัวพรรค์นั้นอยู่”
ถึงแม้ฮูเตี๋ยนจะได้เห็นความสามารถของเฉินเฉียงมาแล้ว แต่เขาก็ยังอดที่จะเป็นกังวลไม่ได้อยู่ดี
เฉินเฉียงเองนั้นก็ไม่อาจจะเถียงกับความดื้อรั้นของฮูเตี๋ยนได้ จึงทำได้เพียงยินยอมเท่านั้น เขาจึงวาดมือของตนก่อนจะนำพาหยางตู๋และราชาจอมพลนับหมื่นไปยังโลกใบเล็กของตน
“….เฉินเฉียง”
ในตอนที่เฉินเฉียงเตรียมจะเข้าเขตแดนไปนั้น เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยขึ้นมา
“ฉิง…..เชิน….” เมื่อได้มองไปที่สาวงามที่กำลังเดินมาอย่างช้าๆ ดวงตาของเฉินเฉียงก็โศกเศร้าขึ้นมา
นับจากเรื่องที่ตึกจอมพลเหมันต์จันทรา เขาเข้าใจได้อย่างดีว่ายามที่เว่ยฉิงเชินมองเขานั้นไม่ได้มองด้วยความอบอุ่นและเป็นกันเองแต่อย่างใด
มันราวกับว่าเว่ยฉิงเชินตัดขาดจากเขาไปแล้วจริงๆ
เมื่อเดินมาถึงเฉินเฉียง เว่ยฉิงเชินลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมา “…..เฉินเฉียง ระวังตัวนะ”
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เปลี่ยนคำเรียกจากคำว่าพี่ใหญ่เฉินเฉียงเหลือเพียงแค่ชื่อเขาห้วนๆนี้ เฉินเฉียงก็รู้สึกราวกับโดนมีดกรีดหัวใจขึ้นมาในทันใด
หากเขาเลือกใหม่ได้ เขายังจะทำเหมือนเดิมอีกรึเปล่านะ
เขาลอบส่ายหัวในใจอย่างสุดแรงก่อนที่จะยิ้มแล้วพูดออกมา “ฉิงเชิน เจ้าด้วยเช่นกัน”
ฉิงเชินพยักหน้ารับก่อนที่จะหันหลังออกไป เป็นตอนนี้ที่เธอได้ยินเสียงในจิตวิญญาณของเธอ
“ฉิงเชิน เจ้าอย่าได้พึ่งรีบเร่งในการยกระดับการบ่มเพาะ”
“เมื่อถึงเวลาที่เจ้าเห็นว่าสมควรและเจ้าอยากเข้าร่วมกับฮุยตู๋ก็ขอให้มาหาผู้อาวุโสสูงสุดฮุยเตี๋ยน”
“เขามีวิธีการแก้ไขข้อสงสัยในการบ่มเพาะของเจ้าได้”
เมื่อฉิงเชินได้ยินก็รู้สึกตื่นเต้นยินดีขึ้นมาในใจ แต่เธอแสดงออกมาด้วยการพยักหน้าทีหนึ่งและกลับไปประจำที่ของเธอ
เธอเองเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
หากไม่ใช่ว่าต้องคอยดูแลเว่ยหยวนตี้ ปานนี้เธอเองก็คงจะติดตามเฉินเฉียงไปต่างเขตแดนไปแล้ว
ในเมื่อไม่มีสิ่งใดอีก เฉินเฉียงจึงได้ใช้ทักษะหลบหนีแสง ไร้ตัวตน และเคลื่อนย้ายพริบตา พุ่งตรงไปยังทางเข้าเขตแดนจักรพรรดิ
หลิวฉิง หลินจิ้นและหลูเป็ง รวมถึงคนอื่นๆจากสามเผ่าพันธุ์ทำได้เพียงแค่ถลึงตามองเมื่อได้เห็นว่าเฉินเฉียงได้หายไปจากครรลองสายตา ชนิดที่ว่าแม้แต่ไอพลังก็ยังไม่อาจตรวจจับได้
วิธีการของเฉินเฉียงนั้นเหนือกว่าการคาดคำนวณของพวกเขามากนัก
นี่ขนาดว่าพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นราชาจอมพลขั้นปลายทั้งนั้นนะ
แต่กับเพียงราชาขุนพลตัวน้อยๆคนหนึ่งกลับรอดไปจากการรับรู้ของพวกเขาต่อหน้าต่อตาได้เสียอย่างนั้น
แต่ในชั่วพริบตา ก็มีสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงบังเกิดขึ้น
เป็นหยางตู๋และคนของเขาอีกหมื่นคนที่ได้เข้าไปในโลกใบเล็กของเฉินเฉียงก่อนหน้านี้ ได้ปรากฏตัวที่หน้าทางเข้าเขตแดนจักรพรรดิ
และไม่นาน เฉินเฉียงก็กลับออกมา และมองไปที่หยางตู๋และคนอื่นๆด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ท่านนายเหนือหัว เกิดอะไรขึ้นกัน”
ฮูเตี๋ยนรีบถามออกมาในขณะตรวจสอบอาการของหยางตู๋และทุกคน
ยังดีที่ทุกคนนั้นบาดเจ็บเพียงเพราะถูกแรงช็อตของเขตแดนเพียงเท่านั้น
เฉินเฉียงได้ใช้ความคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ข้าว่าคงเป็นเพราะโลกใบเล็กของผู้อาวุโสลำดับสองสูงล้ำว่าข้ามากเกินไป ทำให้เขตแดนจักรพรรดิตรวจจับได้และขับไล่เขาออกมาจากเขตแดนจักรพรรดิ”
“ดูท่าว่าต่อให้ข้าอยากพาพวกท่านไปต่างเขตแดนคงไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว”
ฮูเตี๋ยนทำได้เพียงพยักหน้าออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “หากเป็นเช่นนั้นข้าก็คงทำได้เพียงขอให้ท่านนายเหนือหัวโปรดระวังตัวด้วย หากพบเจออันตรายก็ขอให้รีบเร่งกลับมาในทันที”
หลินจิ้น หลิวฉิง และหลูเป็งยืนโง่งมอย่างไม่กระดิกกระเดี้ยเมื่อได้เห็นว่าเฉินเฉียงนั้นสามารถเข้าออกเขตแดนจักรพรรดิได้เป็นว่าเล่นต่อหน้าต่อตาพวกเขา
แถมในครั้งนี้ เฉินเฉียงที่เป็นเพียงราชาขุนพลกลับต้องเข้าไปจัดการการรุกรานจากต่างเขตแดนด้วยตัวคนเดียวโดยไม่มีท่าทีที่หวาดเกรงแต่อย่างใด นี่ทำให้ทั้งสามอดที่จะยอมรับนับถือในตัวเฉินเฉียงไม่ได้ และนี่ทำให้ทั้งสามแทบจะพูดออกมาพร้อมกัน “ทานนายเหนือหัว โปรดระวังตัวด้วย”
ไม่ว่ายังไงก็ตาม ยังไงซะเฉินเฉียงก็ไปหยุดการรุกรานจากต่างเขตแดนเพื่อโลกใบนี้ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะสำนึกในสิ่งที่เฉินเฉียงได้กระทำ
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็พยักหน้ารับและพูดออกมา “นายเหนือหัวผู้นี้จะจัดการเรื่องการรุกรานของไอ้พวกต่างเขตแดนเอง”
“ส่วนเรื่องบนโลกของเรานั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการหยุดยั้งความโกลาหลภายใน”
“เรื่องราวของสัตว์หายนะยังไม่ได้รับการแก้ไข ดังนั้นทั้งสามเผ่าพันธุ์ต้องร่วมมือกันในการจัดการพวกมันล่ะ”
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ข้าหวังว่าท่านจะตอบสนองกับเรื่องราวความขัดแย้งภายในของสามเผ่าพันธ์ุในช่วงนี้นะ”
“ท่านนายเหนือหัวโปรดวางใจ ข้ารับใช้ผู้นี้จะทำให้ดีที่สุด”
“ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดแห่งพันธุ์มนุษย์ ข้า หลิวฉิงจะจัดการเรื่องราวภายในและจะไม่ให้เกิดความขัดแย้งกับสัตว์ประหลาดและมนุษย์การพันธุ์”
“หลินจิ้นผู้นี้ก็เช่นเดียวกัน”
“เฒ่าหลู่ผู้นี้น้อมรับคำสั่งนายเหนือหัว”
เมื่อได้เห็นทั้งฮูเตี๋ยนและผู้อาวุโสสูงสุดของทั้งสามเผ่าพันธุ์รับปากเขา เฉินเฉียงก็แสดงท่าทีผ่อนคลายลงให้ทุกคนได้เห็น
-ท่านผู้อาวุโสสูงสุด หลังจากที่ข้าจากไปแล้วไอ้พวกนี้ยังคิดจะตีกันอีกล่ะก็ ท่านไม่ต้องใส่ใจพวกมัน เพียงแค่จัดการฮุยตู๋ให้ดีก็เพียงพอแล้ว-
เมื่อได้ยินเสียงผ่านจิตวิญญาณของเฉินเฉียงนี้ ฮูเตี๋ยนแทบจะอยากถามกลับในทันที
เมื่อเห็นท่าทางของฮูเตี๋ยนเองแล้ว เฉินเฉียงก็ทำได้เพียงส่ายหน้าไปมาแต่ก็ไม่พูดอะไรเพิ่มเติมอีก และหายเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าฮูเตี๋ยนจะมีระดับการบ่มเพาะที่สูงล้ำ แต่มุมมองของเขานั้นยังถือว่าคับแคบ จึงไม่อาจเห็นความคิดของผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสามเผ่าพันธุ์ได้ด้วยตนเอง
เฉินเฉียงนั้นเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสามนั้นทำเพียงเพราะให้เขามุ่งเน้นในการจัดการภัยอันตรายจากต่างเขตแดนเพียงเท่านั้น
เป็นไปได้ว่าหลังจากที่เขาไม่อยู่แล้ว ทั้งสามอาจจะเปิดศึกใหญ่กันเลยด้วยซ้ำ
เฉินเฉียงเองไม่มีอารมณ์จะมาใส่ใจในเรื่องนี้อีก
เขาถือว่าสิ่งที่เขาควรพูดก็ได้พูดออกไปหมดแล้ว
หากจะสู้กันจนตกตายก็แล้วแต่พวกเขา
สำหรับเขาแล้ว ขอเพียงแค่ครอบครัวและเพื่อนฝูงเท่านั้นที่ปลอดภัยก็เพียงพอ เขาอาจจะพาพวกเขามาอาศัยอยู่ในโลกใบเล็กของตนเอง หรือไม่ก็ฝากฮูเตี๋ยนให้ช่วยดูแลก็แค่เท่านั้น
ตราบใดที่พวกเขายังอยู่ดี เฉินเฉียงก็ไม่มีอะไรต้องกังวล
ในฐานะคนที่ข้ามผ่านเวลามา ตัวเขาไม่ได้ผูกพันกับโลกใบนี้สักเท่าไหร่นัก ที่เขาทำอยู่นี่ก็เพียงแค่การตอบแทนผู้อาวุโสสูงสุดที่เคยช่วยเหลือเขาไว้ ไม่ใช่ผู้กอบกู้โลกอย่างที่ใครคิด เขาไม่ต้องการเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้คนอะไรแบบนั้น
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เขาอาศัยอยู่ที่โลกใบนี้มาเกือบสิบปี มันก็เปรียบได้ดั่งที่นี่เป็นบ้านเกิดของเขา เป็นธรรมดาที่เขาจะมีความรู้สึกบางอย่างที่ผูกพันไม่อาจปล่อยให้โลกนี้ดับสูญไปง่ายๆ
โดยเฉพาะกับเฉินเทียนเว่ย พ่อของเขาบนโลกใบนี้
หากไม่ใช่เพราะเขา ด้วยระดับการบ่เพาะของเขาในตอนนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตกตายไปแล้วกี่ครั้งกี่หน
เว่ยฉิงเชิน สาวน้อยคนแรกที่เขาต้องตาโดนใจ
ถึงแม้ว่าด้วยความแค้นฝังลึกของคนรุ่นก่อนจะทำให้เขาและเธอต้องแยกจาก แต่ในใจของเฉินเฉียงนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเธอ
ฮูเตี๋ยนนั้น แม้จะดูแก่งมงายและมีแนวความคิดที่เป็นพิษร้ายไปบ้าง แต่คนแก่ผู้นี้ก็ยังแสดงความเมตตาต่อเฉินเฉียงไม่น้อย
นี่จึงทำให้เขานั้นคิดจะแทนคุณด้วยเรื่องนี้
และในเมื่อเขานั้นรับคำของฮูเตี๋ยนมาแล้ว ในการไปยังต่างเขตแดนในครั้งนี้เขาก็จะทำให้ดีที่สุด เพราะยังไงซะ ไอ้ทักษะกลืนกินเลือดปีศาจนั่นก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่แล้ว ดีไม่ดี เขาต่างหากจะเป็นฝ่ายกลืนกินไอ้พวกนั้นซะเอง แน่นอนว่าหากมีโอกาส เขาจะกวาดล้างพวกมันให้หมดสิ้น
แต่หากไม่ได้ผล อย่างมากเขาก็แค่ดูดซับพลังจากซากร่างของราชาจักรพรรดิทั้งสามก่อนแล้วค่อยมาดูกันอีกทีก็เท่านั้น