ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 321 เตรียมตัว
บทที่ 321 เตรียมตัว
สมาชิกกองกำลังเทียนเว่ยทั้งสิบสองคนนี้เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา พวกเขาดูแลกันราวกับเป็นพี่น้องที่แท้จริง นี่ทำให้เฉินเฉียงไม่อาจจะปฏิเสธความภักดีของคนเหล่านี้ได้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าในครั้งนี้ เขาพอทุกคนไปต่างมิติด้วยกัน
ส่วนหยานเสวี่ยนั้นช่วยชีวิตเขามาอย่างนับครั้งไม่ถ้วน แถมเธอยังเป็นผู้ภักดีอย่างที่สุดกับเฉินเทียนเว่ย
ถึงแม้เธอจะพูดออกมาอย่างมั่นหน้าว่าที่ทำไปก็เพียงเพราะคำสั่งของเฉินเทียนเว่ยเท่านั้นก็ตาม
ถึงแม้ว่าในตอนนี้ด้วยความแข็งแกร่งของเขานั้น ต่อให้ไม่มีหยานเสวี่ย ก็คงไม่มีใครที่จะคุกคามชีวิตเขาได้โดยง่าย
แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ทำลายสะพานหลังจากข้ามฝั่งมาแล้ว
และนับจากนี้ เขาก็จะเป็นคนปกป้องเธอเอง
ส่วนหลินเฟิง หวู่เจียง หลี่เฉิน หลูฟาง ฮู่ต้าไฮ่และคนอื่นๆนั้น คนเหล่านี้เป็นคนที่เฝ้ารอเฉินเฉียงกลับไปด้วยใจจริง
และกับเฉินเฉียงแล้ว ด้วยการคงอยู่ของคนเหล่านี้ มันมีค่าพอที่จะทำให้เขากลับไปอยู่
ส่วนหลิวเฉิง หลินจิ้นและหลู่เป็ง เหล่าผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสามเผ่าพันธุ์นั้น ในสามคนนี้ เขาเกลียดหลิวฉิงมากที่สุด
เพียงเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ คนเหล่านี้ย่อมไม่เห็นค่าของใครนอกจากตนเอง
รวมถึงไอ้ตัวระยำตำบอนอย่างฮั่นจุยนั่นอีก
เขาจะไม่ยอมให้มันมีชีวิตอยู่ได้อย่างผาสุกเป็นแน่
หลังจากที่เขาดูดซับพลังงานจากซากร่างของจักรพรรดิทั้งสามได้แล้ว เขาจะกลับไปคิดบัญชีกับมันอย่างแน่นอน
ด้วยประสบการณ์ของเขาก่อนหน้านี้ เฉินเฉียงก็ได้เข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิอย่างรวดเร็ว
ตอนที่อยู่นอกเขตแดนนั้น เฉินเฉียงได้ใช้ค่าพลังงานจนยกระดับทักษะผ่ามิติของเขาเป็นระดับแปด
และเพียงการก้าวของเขาเพียงก้าวเดียวก็ครอบคลุมในระยะยี่สิบไมล์
นี่ทำให้ความเร็วของเขาในตอนนี้รวดเร็วเสียยิ่งกว่าการบินซะอีก
แต่นี่ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากค่าพลังจิตของเขาด้วยเช่นกัน
ยิ่งค่าพลังจิตของเขาสูงล้ำมากเท่าไหร่ ระยะการเคลื่อนที่ของทักษะผ่ามิติของเขาก็ยิ่งไกลมากขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาได้รับทักษะขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้มา เฉินเฉียงก็ไม่ได้เร่งรีบในการเพิ่มค่าพลังจิตของเขาสักเท่าไหร่นัก
นั่นก็เพราะในตอนนี้เขามีแก่นวิญญาณมากพอที่จะขยายโลกใบเล็กของเขาเมื่อไหร่ก็ได้
และหากเขาได้รับพลังจากร่างของราชาจักรพรรดิทั้งสามมาแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจในการใช้แก่นวิญญาณในการขยายโลกใบเล็กของเขาอีก
ส่วนค่าพลังจิตนั่น เขานั้นอาศัยการฝึกฝนเคล็ดวิชาภาพวาดห้วงมหาสมุทรนั้นจะดูคุ้มค่ากว่า
ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าในตอนนี้โลกใบเล็กของเขาและเฉินเทียนเว่ยได้หลอมรวมกันแล้ว ทำให้พื้นที่ของมันในตอนนี้เพิ่มมากขึ้นไปอีกหลายสิบไมล์
แถมในตอนนี้ เขาสามารถควบคุมพื้นที่รอบตัวได้เพียงไม่ถึงสามเมตรดีเท่านั้น ยังอีกนานกว่าเขาจะสามารถควบคุมโลกใบเล็กของเขาได้อย่างสมบูรณ์
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง เฉินเฉียงก็ได้มาถึงด้านล่างของบันไดสู่สรวงสวรรค์
ความเร็วที่เขาใช้ในการเดินทางในครั้งนี้รวดเร็วกว่าตอนที่มาครั้งก่อนนับร้อยเท่า
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงให้หยานเสวี่ยและคนอื่นๆออกมาจากโลกใบเล็กของตน
“บันไดสู่สรวงสวรรค์….เรอะ”
ทันทีที่ออกมา จางหยวนและคนอื่นๆก็ได้พูดออกมาด้วยความคุ้นเคยกับสถานที่
เฉินเฉียงได้มองไปที่ทุกคนด้วยรอยยิ้มกว้าง
“พี่ชายทั้งหลาย มาขึ้นบันไดสู่สรวงสวรรค์ด้วยกันอีกครั้งเถอะ”
“ในครั้งก่อนนั้น ข้าเองไม่ได้ใช้พลังสายเลือดแม้แต่น้อย ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน”
“จางหยวน แล้วเจ้าล่ะ”
“ฮี่ฮี่ฮี่ กัปตัน ครั้งก่อนที่ท่านใช้แรงกายล้วนๆในการปีนบันไดนี่ พวกเราเห็นผลจากการกระทำของท่านได้เป็นอย่างดี”
“ในเมื่อโอกาสมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ข้า หลิวไฮ่จะลองดูมันสักตั้ง”
หลิวไฮ่ และหลางซานเอ๋อในตอนนี้เปิดจุดชีพจรได้สามสิบห้าจุดแล้วและเตรียมเข้าสู่ระดับกึ่งราชา การขึ้นบันได้สู่สรวงสวรรค์ในครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้พวกเขาเข้าสู่ระดับกึ่งราชาได้อย่างแน่นอน
“ฮี่ฮี่ฮี่ ไอ้ตัวโวยวาย พี่ชายคนนี้จะเล่นกับเจ้าด้วยแล้วกัน”
หลางซานเอ๋อพูดออกมาพร้อมกับก้าวขึ้นบันไดไปเป็นคนแรก
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรกันอีกต่อไป จางหยวน หนี่เฟิง และกัวเหลียงที่ก้าวเข้าสู่ระดับราชาขุนพลไปแล้วย่อมต้องการทดสอบสมรรถนะของตน
หยานเสวี่ยเชิดหน้ากลอกตามองเฉินเฉียงไปปราดหนึ่งก่อนที่จะตามคนอื่นไปโดยไม่พูดไม่จา
เพียงชั่วพริบตา ทุกคนก็ได้เดินขึ้นบันไดสู่สรวงสวรรค์ไปโดยไม่ใช่พลังสายเลือดของตน
เฉกเช่นคำว่าไม่มีคำที่จะยอมน้อยหน้าใคร
เฉินเฉียงได้ยิ้มออกมาเล็กน้อย เป็นอีกครั้งที่เขาเลือกที่จะขึ้นไปบนบันไดสู่สรวงสวรรค์เป็นคนสุดท้าย
เขานั้นแต่เดิมก็ได้พิชิตบันไดสู่สรวงสวรรค์โดยไม่ใช่พลังสายเลือดมาแล้ว เขาจึงคิดว่าการขึ้นบันไดในครั้งนี้สำหรับเขาแล้วก็ไม่ได้อะไรมากมายนัก ในทุกๆก้าวที่เขาก้าวข้ามผ่านคนอื่นๆไป ท่ามกลางเสียงกร่นด่าที่ไล่หลังมา ประมาณว่า ไอ้ตัวสันดานเสีย(นิสัยไม่ดี)
“พี่หลัวหลัน ท่านทำได้แน่นอน”
เมื่อถึงระดับขั้นที่สี่ร้อยเจ็ดสิบ เฉินเฉียงได้พบเจอเม่ยหลัวหลันที่กำลังกัดฟันกำหมัดแน่นอยู่ เขาจึงพูดให้กำลังใจไป
เขานั้นเพียงแค่ต้องการสร้างกำลังใจให้เม่ยหลัวหลันเพียงเท่านั้น แต่ในมุมมองของเธอ เฉินเฉียงนั้นกำลังยั่วโมโหอย่างน่าเหลืออดเหลือทน
“แม่……ง”
เม่ยหลัวหลันคำรามคำสบถลั่นฟ้า ก่อนจะมองเฉินเฉียงด้วยสายตาเย็นชา ก่อนที่จะบ่นพึมพำออกมาด้วยหน้าตาอดกลั้น “เกินไปแล้วเกินไปแล้วเกินไปแล้ว….”
เฉินเฉียงส่ายหน้าไปมาในทันที เขานั้นรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาในทันใด
ที่ชั้นที่เจ็ดร้อย เขาได้พบเจอจางหยวน
“จางหยวน ทำอะไรอยู่เนี่ย ถ้าไม่ไหวจริงๆก็ใช้พลังฟ้าดินสิ ยังไงเจ้าเองก็เป็นราชาแล้วนา”
“ไปตายที่ไหนก็ไปไป๊”
จางหยวนคำรามลั่นก่อนจะปีนบันไดต่อไป
“ศิษย์พี่กัว ดูเหมือนศิษย์พี่จะหายใจไม่ทันแล้วนา หยุดพักสักหน่อยก็ดีนะนั่น”
“ไอ้ศิษย์น้อง นี่เจ้าเป็นคนเช่นนี้รึเนี่ย” กัวเหลียงจ้องมองเฉินเฉียงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะตั้งใจก้าวขึ้นบันไดต่อไปด้วยท่าทางที่เหนื่อยหอบ
ชั้นที่เจ็ดร้อยเก้าสิบ หยานเสวี่ย
“หยานเสวี่ย เจ้านั้นเหงื่อโทรมกายแล้วนา สนใจจะให้ข้าแบกขึ้นไปมะ”
หยานเสวี่ยที่ในตอนนี้ราวกับไร้เรี่ยวแรงแล้วได้หันซ้ายแลขวาก่อนที่จะถอนลมหายใจออกมา ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มบนใบหน้าและอ้าแขนของตนออกมา “เอาเลย ข้าพร้อมแล้ว”
“เอ๋ออออออออออออ.……” เฉินเฉียงที่เห็นร่างกายยั่วยวนพร้อมกลิ่นหอมชวนดอมดมของเธอที่ใกล้เข้ามานี้ก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ในที่สุดเขาก็วิ่งเตลิดขึ้นบันไดไปด้วยใบหน้าที่แดงฉานพร้อมใบหน้าที่ยากจะเอ่ย
“ไอ้ตัวเวรตะไล ฮึ่ม นี่เจ้าคิดมาหาเรื่องข้าจริงๆสินะ”
หยานเสวี่ยด่าสาดส่งเฉินเฉียงไล่หลัง พร้อมยกกำปั้นชูนิ้วใส่ด้วยท่าทางแจ่มใส ประหนึ่งดั่งทหารที่ได้รับในชนะในการศึก
หลังจากไปถึงปลายบันไดแล้ว เฉินเฉียงก็ได้นั่งลงและฝึกฝนเคล็ดวิชาภาพว่างแห่งห้วงมหาสมุทร
ในตอนนี้ ตราบใดที่เขามีเวลาว่าง เขาจะฝึกฝนทักษะการควบคุมพลังงานของตนเอง หวังเพียงว่าในวันหนึ่ง เขาจะสามารถควบคุมโลกใบเล็กของเขาได้
ที่ปลายบันได
นอกจากเฉินเฉียงแล้ว หยานเสวี่ยที่ขึ้นมาได้สูงกว่าใครกำลังนั่งพักอยู่ที่ชั้นแปดร้อยยี่สิบ ก่อนที่จะเริ่มปีนบันไดต่อ
ถัดมาคือเจิ้งยี่
เมื่อเทียบกันแล้ว หยานเสวี่ยเองนั้นดูเหมือนจะอยู่เหนือชั้นกว่าเจิ้งยี่เล็กน้อย หากพูดถึงศักยภาพทางร่างกายแล้ว เขานั้นแข็งแกร่งที่สุดในกองกำลังเทียนเว่ย รองลงมาจากเฉินเฉียง
นี่ทำให้สามวันถัดมาหลังจากเฉินเฉียงขึ้นสู่ยอดบันไดแล้ว หากไม่นับเฉินเฉียง เขาก็ได้ขึ้นมาเป็นอันดับสอง
ส่วนหนี่เฟิง จางหยวน และกัวเหลียงนั้น แม้พวกเขาจะไม่โดดเด่นเท่ากับหยานเสวี่ย แต่ทั้งสามคนนั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนที่เพียรพยายามอยู่เป็นนิจก็ว่าได้
โดยเฉพาะกับกัวเหลียง
เหตุการณ์ในตอนที่เขาได้มาบันไดสู่สรวงสวรรค์ในครั้งก่อนนั้น เรียกได้ว่าส่งผลกระทบกับเขาอยู่เหมือนกัน
เขาเองนั้นเรียกได้ว่าเป็นรุ่นพี่แต่มาจบรุ่นเดียวกับเฉินเฉียงที่ข้ามรุ่นมา แถมระดับการบ่มเพาะของเขายังถูกเฉินเฉียงทิ้งห่างมากขึ้นเรื่อยๆ นี่ทำให้เขาเองก็อดที่จะกดดันตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
และนี่ทำให้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามรักษาภาพลักษณ์คนเฮฮาเอาไว้ แต่ในทุกๆครั้งที่เขาว่าง เขาจะหมั่นเพียรบ่มเพาะอย่างไม่ขาด
หลิวซวนเอ๋อ หลิวไฮ่ และ หลางซานเอ๋อนั้น ถึงแม้จะช้าไปหน่อย แต่ทั้งสามก็อยู่ในระดับกึ่งราชาแล้ว และนี่ทำให้เมื่อพวกเขาถึงปลายบันไดสู่สรวงสวรรค์ ระดับการบ่มเพาะของเขาก็เสถียรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนหลูจี้ เหรินหมิง ม่อโชว หวังต้าลู่ และเม่ยหลัวหลันนั้น แม้ว่าจะยังขาดไปอีกนิดหน่อยถึงจะเข้าสู่ระดับกึ่งราชา แต่ตลอดมานั้น พวกเขาใช้ฝีมือที่ยอดเยี่ยมฝังกลบข้อด้อยในระดับการบ่มเพาะมาโดยตลอดถึงพวกเขานั้นมีระดับการบ่มเพาะที่ล้าหลังกว่าคนอื่น แต่ก็ยังสนับสนุนทีมได้อย่างดีเยี่ยม
ยังไม่ต้องพูดเรื่องที่ว่าทั้งห้าคนนี้เป็นสมาชิกกองกำลังเทียนเว่ยที่ทำงานร่วมกับจางหยวนมานานนับสิบปีจนราวกับเป็นพี่น้องในสายเลือดนี่อีก
และนี่ทำให้หลังจากจางหยวนและคนอื่นๆขึ้นมาถึงปลายบันได ก็ได้ส่งเสียงเชียร์ทั้งห้าคนจากด้านบน
ท้ายที่สุด ทั้งห้าคนก็ขึ้นมาได้เพียงขั้นที่เจ็ดร้อย ก่อนที่จะใช้พลังสายเลือดของตน พาตัวเองขึ้นมาบนปลายบันไดได้โดยใช้เวลาครึ่งเดือน
“กัปตัน….” หวังต้าลู่และเม่ยหลัวหลันมองเฉินเฉียงด้วยท่าทางอับอาย
เฉินเฉียงทอดถอนลมหายใจแล้วพูดออกมา “พวกเจ้าห้าคนนั้นอุตส่าห์ขึ้นมาได้ถึงชั้นเจ็ดร้อยแล้ว ทำไมไม่พยายามอีกสักหน่อยล่ะน้า”
ทั้งห้าได้มองหน้ากันก่อนที่จะเป็นหนอนหนังสือหลู่จี้ได้พูดออกมา “กัปตัน พวกเราเองก็อยากจะทำเช่นนั้น”
“แต่ไม่ใช่ว่าพวกเรามาทำภารกิจไม่ใช่เหรอ พวกเราไม่ได้มาเที่ยวเล่นที่นี่นี่นา”
“พวกเราเกรงว่าจะทำให้ภารกิจของกัปตันล่าช้า พวกเราเลยถอดใจแล้วรีบขึ้น…..”
“ไร้สาระ”
สายตาของเฉินเฉียงแสดงออกมาอย่างจริงจัง ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงนุ่มลึก “ใครบอกว่าพวกเราทำภารกิจกัน”
“ที่พวกเรามาที่นี่เป็นเพราะว่าข้าอยากให้พวกเจ้าได้พบเจอในสิ่งที่ข้าได้พบเจอ”
“ดังนั้น พวกเราไม่มีเวลาจำกัดแต่อย่างใด พวกเจ้าจะเดินเล่นขึ้นลงไปมาอีกสิบรอบเลยก็ยังได้”
เมื่อจางหยวนและคนอื่นๆได้ยินแบบนี้และเห็นท่าทางของเฉินเฉียงว่าไม่ได้พูดเล่น เขาจึงรีบถามออกมา “กัปตัน คงไม่ดีนะ ไม่ใช่ว่าท่านสัญญากับผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนไว้ว่าจะไปจัดการเรื่องการรุกรานของสิ่งมีชีวิตต่างมิตินั่นไม่ใช่เหรอ”
-ไอ้ฉิบหาย-
-นี่เขาลืมไปแล้วนะเนี่ยว่านอกจากฮูเตี๋ยนแล้วก็ยังมีไอ้ตัวเคร่งงานอยู่ในกองกำลังของเขาอยู่ ไม่น่าพามาด้วยเลยจริงๆ-
เฉินเฉียงมองไปยังจางหยวนโดยไม่อาจพูดสิ่งใดออกมาได้
“อะไร กัปตัน ข้า ข้าพูดสิ่งใดผิดกัน” เมื่อเห็นท่าทางของเฉินเฉียงที่มองมาแล้ว จางหยวนก็รู้สึกขนลุกเสียไม่ได้
“เออเออเออ เจ้าพูดถูก เจ้าไม่ได้พูดสิ่งใดผิดเพี้ยนไปเลยสักนิด” เฉินเฉียงยกมือขึ้นโบกไปมาก่อนจะพูดต่อ “แต่ทุกคนก็อย่าได้ลืมไปว่าพวกเรานั้นต้องไปต่างเขตแดนนะ พวกเรายังไงซะก็ต้องพบเจออันตรายอยู่บ้าง”
“และวิธีการรับมืออันตรายเหล่านั้นที่ดีที่สุด การยกระดับบ่มเพาะนั้นมันก็เหมาะสมที่สุดแล้วไม่ใช่รึ”
“อีกอย่าง ตอนที่เราเข้าไปยังต่างเขตแดนอย่างเร่งรีบอย่างที่เจ้าว่า ไอ้ความหัวร้อนของเจ้านี้หากต้องไปพบเจอศัตรูในทันทีเจ้าคิดว่าจะต่อกรกับศัตรูได้รึเปล่าล่ะ
“เอ่ออออ ไม่ครับ” จางหยวนตอบออกมาตรงๆ
“นั่นปะไร” เฉินเฉียงทอดถอนลมหายใจออกมาในที่สุด “ดังนั้น ก่อนที่พวกเราจะเข้าไปในต่างเขตแดน พวกเจ้าต้องเพิ่มระดับการบ่มเพาะให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเราจะไปก็ต่อเมื่อพวกเจ้าทั้งห้าคนสามารถมาถึงปลายบันไดได้โดยไม่ต้องพึ่งพลังสายเลือดก็แล้วกัน”
“ห้ะ”
เพียงแค่เม่ยหลัวหลันและอีกสี่คนอุทานออกมาเบาๆ ทั้งห้าคนก็พบว่าได้มาอยู่ที่ตีนบันไดสู่สรวงสวรรค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ไอ้ฉิบหาย พามาเริ่มใหม่แต่ต้นเลยเรอะ”
ทั้งห้าคนมองหน้ากันในทันที ก่อนที่จะค่อยๆตะเกียกตะกายขึ้นไปบนบันไดสู่สรวงสวรรค์อีกครั้ง
เมื่อเฉินเฉียงกลับไปยังปลายบันไดแล้ว จางหยวนและคนอื่นๆต่างก็มองไปที่เฉินเฉียงอย่างตกตะลึง
“ศิษย์น้อง…เจ้า….คงไม่คิดจะให้ทั้งห้าคนนั่นใช้ร่างกายปีนบันไดสู่สรวงสวรรค์ขึ้นมาจนถึงยอดโดยอาศัยเพียงแรงกายอย่างเดียวจริงๆหรอกนะ ด้วยร่างกายของพวกนั้นใช้เวลาดีไม่ดีจะเดือนสองเดือนเอาเลยนะวุ้ย”
“ศิษย์พี่กัว ต่อให้เป็นปีพวกเราก็ต้องรอ” เฉินเฉียงพูดออกมาด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำและมั่นคง “อันตรายในต่างเขตแดนอาจมีได้อยู่ทุกหัวระแหง หากพวกเราไม่เตรียมตัวให้ดีจะต้องมานั่งเสียใจในภายหลังเป็นแน่”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จางหยวนและคนอื่นๆก็พยักหน้าอย่างยอมรับ
“ศิษย์พี่กัว อย่าว่าแต่ทั้งห้าคนเลย พวกเราเองก็ต้องบ่มเพาะอย่างหนักไม่แพ้พวกเขา ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ท่านมีหวังได้ให้พี่หนี่เฟิงช่วยท่านไว้ตลอดทางแหงๆ”
หนี่เฟิงที่ได้ยินก็มองกัวเหลียงอย่างเย็นชาและพูดออกมาอย่างไม่ไยดี “ช่วยไอ้บ้านี่อ่ะนะ ฝันไปเถอะ”
“หึหึหึฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” หลิวซวนเอ๋อหัวเราะออกมาอย่างดังลั่นเมื่อได้เห็นใบหน้าที่ไร้เรี่ยวแรงและร่างกายที่ทรุดเข่าลงไปกองกับพื้นของกัวเหลียง
และนี่ทำให้เวลาล่วงเลยไปเดือนกว่าๆ
เมื่อเม่ยหลัวหลันและคนอื่นๆอีกสี่คนมาถึง เฉินเฉียงและจางหยวน พยักหน้าออกมาอย่างยอมรับนับถือในหัวใจ
หนึ่งเดือนที่ผ่านไปไม่เสียเวลาเปล่าเลยสักนิด
เม่ยหลัวหลันที่มีระดับการบ่มเพาะอ่อนด้อยที่สุดในกองกำลังและเทพเจ้าเงินตราหวังต้าหลู่ ในตอนนี้ทั้งคู่เปิดจุดบ่มเพาะได้สามสิบสี่จุดแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคือ นอกจากเฉินเฉียงแล้ว คนอื่นๆในตอนนี้มีสมรรถนะร่างกายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
หลังจากที่ทั้งสิบสี่คนได้รวมตัวกันครบแล้ว เฉินเฉียงก็พาทุกคนไปยังเสาทั้งสี่ที่เป็นที่ตั้งของประตูทางเข้าเขตแดนลับแล้วพูดออกมา “พี่ชายทั้งหลาย พวกเราจะเข้าไปยังเขตแดนลับแล้ว ทุกคนเข้ามาในโลกใบเล็กของข้าก่อน”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ส่งทุกคนเข้าโลกใบเล็กของตนไป ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในเขตแดนลับที่เต็มไปด้วยหมอกควัน
ตามที่เฉินเฉียงเข้าใจ เขตแดนลับนี้คือพื้นที่ที่แท้จริงที่ราชาจักรพรรดิทั้งสามสามารถควบคุมได้
ถึงแม้มันจะดูเล็กมากเมื่อเทียบกับเขตแดนจักรพรรดิที่อยู่ภายนอกก็ตาม
แต่หากมองในมุมพลังในการควบคุมแล้ว มันช่างเหนือล้ำมากนัก ต่อให้ทั้งสามยังไม่ใช่ราชาจักรพรรดิที่แท้จริง แต่เขาก็เชื่อว่าทั้งสามคนนั้นอยู่อีกไม่ไกลอย่างแน่นอน
กับพื้นที่เขตแดนแบบนี้ เฉินเฉียงยิ่งรู้สึกขอบคุณที่เขาได้รับทักษะท่าเท้าขั้นเทพอย่างผ่ามิติมา
ถึงแม้เขตแดนนี้จะอยู่ภายใต้การควบคุมของราชาจักรพรรดิทั้งสาม แต่ด้วยประสบการณ์ของเฉินเฉียงนั้น หากจะเทียบกันแล้วก็คงไม่ต่างจากการทุบหินด้วยไข่ก็ว่าได้
แต่กระนั้น แม้ว่าเฉินเฉียงจะก้าวไปได้นับร้อยเมตรเพียงก้าวเดียวในเขตแดนนี้ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันช้าไปอยู่ดี
หากว่าราชาจักรพรรดิทั้งสามยังคงอยู่ เฉินเฉียงยังนึกไม่ออกเลยว่าเขาจะได้พบความยากลำบากขนาดไหนในเขตแดนที่ตกอยู่ในสถานะควบคุมที่ทรงพลังของราชาจักรพรรดิทั้งสามแบบนี้
และนี่ทำให้เฉินเฉียงคิดขึ้นมาได้ว่า หากว่าเขานั้นขึ้นไปสู่ระดับราชาจักรพรรดิจริง แต่เมื่อถึงตอนนั้น เขาก็คงจะแข็งแกร่งกว่ากระมัง
เมื่อถึงเวลานั้น หากเขาต้องปะทะกับทั้งสามคน สิ่งที่ใช้ในการปะทะกันก็คงจะหนีไม่พ้นว่าใครที่มีพลังควบคุมที่ทรงพลังกว่ากันล่ะมั้ง
เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงก็ได้ให้หยานเสวี่ยและคนอื่นๆออกมาจากโลกใบเล็ก
ในอนาคต พวกเขาทั้งสิบสี่คนนั้นต้องเขาสู่ต่างเขตแดน จะดีกว่าให้พวกเขาได้พบเจอกับความยากลำบากไว้บ้าง
เมื่อได้เห็นหมอกที่หนาเตอะตรงหน้า หยานเสวี่ยที่พึ่งจะออกมาก็ได้ถามด้วยความสงสัย “เฉินเฉียง นี่คือเขตแดนลึกลับที่เจ้าพูดถึงงั้นรึ”
เฉินเฉียงพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ถูกต้อง ที่นี่คือเขตแดนลับพื้นที่หมอกที่อยู่ที่ปลายบันไดสู่สรวงสวรรค์”
เมื่อเห็นว่าหลางซานเอ๋อทำท่าจะเดินเล่นไปคนเดียว เฉินเฉียงรีบตะโกนออกมาในทันใด “หลางซานเอ๋อ หยุดเท้าเดี๋ยวนี้เลยนะ ถึงแม้ที่นี่จะไม่มีตัวอะไรอยู่แต่มันก็มีอันตรายจนทำให้ตกตายได้นะเว้ย”
เมื่อได้ยินคำปรามของเฉินเฉียงแล้วนั้น หลางซานเอ๋อก็รีบหยุดเท้าในทันใด ก่อนที่จะหันมาถาม “กัปตัน ในเมื่อมันไม่มีตัวอะไรอยู่แล้วมันจะมีอันตรายถึงตายได้ยังไงกัน”
เฉินเฉียงได้นำเอากระดูกสีดำออกมาจากแหวนมากวัดแกว่งเล่นก่อนที่จะพูดออกมา “ในนี้มีกระดูกดำอยู่ ข้าได้พบเจอชิ้นนี้ด้วยความบังเอิญ”
“ใครก็ตามที่เผลอไปแตะมันเข้า คนคนนั้นจะตกตายไปในทันที”
ในตอนที่เห็นเฉินเฉียงหยิบกระดูกดำออกมา เหรินหมิงเองก็หมายจะหยิบกระดูกนี้มาดู แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินเฉียงพูดออกมาแล้ว เขาแทบจะหดมือกลับเกือบไม่ทัน ก่อนจะมีเหงื่อเม็ดเป้งไหลออกมาจากหน้าผากของตน