ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 322 ต่างเขตแดน
บทที่ 322 ต่างเขตแดน
เมื่อเห็นว่าเหรินหมิงกำลังจะถามคำถามออกมา เฉินเฉียงได้ยกมือห้ามซะก่อนและพูดออกมา
“พี่ชายทั้งหลาย ข้าจะบอกถึงอันตรายทั้งหมดของพื้นที่แห่งนี้ ขอให้ทุกคนจงฟังให้ดี”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดทั้งกระดูกสีดำและสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนที่ต้องพบเจอยามที่ข้ามเขตแดนไป
“ในตอนนี้ขอให้ทุกคนยึดถือไว้ก่อนว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ต่างเขตแดนนั้นล้วนแล้วแต่มีบอลเลือดปีศาจนี้อยู่”
“หากมีใครไปแตะต้องมัน คนผู้นั้นจะต้องตกตายในทันที ต่อให้รู้ตัวทันก็ยังยากที่จะช่วยเหลือ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็มีจิตใจที่หวั่นไหว
ในโลกแห่งนี้ ไม่ว่าจะต้องพบเจอภยันตรายแบบไหน พวกเขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้าและทุ่มเททุกอย่างที่มีในการต่อกร
ต่อหากต้องเผชิญหน้ากับไอ้ตัวแบบที่เฉินเฉียงว่า พวกเขารับรู้ได้ในทันทีว่าพวกเขาไม่อาจจะทำอะไรได้
เมื่อเห็นว่าทุกคนมีหน้าตาที่ซังกะตาย เฉินเฉียงก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ถึงแม้ว่าสัตว์ประหลาดต่างเขตแดนพวกนี้จะน่ากลัว แต่ข้าก็เชื่อว่ากฎของแต่ละโลกย่อมมีวิธีการรักษาเสถียรภาพของมัน”
“ไม่มีสิ่งใดไร้เทียมทาน”
“ข้าเชื่อว่าตราบใดที่พวกเรารู้จักไอ้ตัวพวกนี้มากขึ้น พวกเราย่อมหาวิธีจัดการมันได้”
“และนี่ก็คือเหตุผลหลักที่เราจะมุ่งตรงไปยังต่างเขตแดน นั่นก็คือหาวิธีการต่อกรกับสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนเหล่านี้”
“ถูกต้อง” จางหยวนพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยียบ “ตอนนี้โลกของเรามีภัยจากการรุกรานของไอ้ตัวพันธุ์นี้ พวกเราต้องหาวิธีรับมือพวกมันให้ได้ แม้จะต้องตายก็ตาม”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินแบบนี้ก็อดที่จะลอบสบถอยู่ในใจไม่ได้
เขาล่ะอยากจะบอกจางหยวนจริงๆว่าเลิกพูดเรื่องทำงานให้สำเร็จแม้ต้องแลกด้วยชีวิตสักทีได้หรือเปล่า
แม้เมื่อได้เห็นว่าคำพูดของจางหยวนทำให้ทุกคนมีใจสู้ เฉินเฉียงก็ทำได้เพียงปล่อยผ่านไป
ยังไงซะ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ก่อนที่จะไปต่างเขตแดนนี้พวกเขาจะไม่รู้สึกหวาดกลัวกระมัง
และต่อให้เป็นอย่างนั้น แต่เขาก็ยังต้องกลับมาให้ได้อยู่ดี
“เอาล่ะ พี่ชายทั้งหลาย นับจากนี้สัมผัสการรับรู้ของพวกเรานั้นจะค่อยๆลดต่ำลงเรื่อยๆ ตอนนี้ให้พยายามมุ่งเน้นไปในสิ่งที่เห็น และอย่าได้ไปจับสิ่งใดที่ได้พบเจอโดยไม่รู้ว่ามันคืออะไร”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้เดินนำทุกคนไป ตามด้วยหยานเสวี่ยและคนอื่นๆเป็นทิวแถว
ด้วยความเร็วของพวกเขาในตอนนี้ เฉินเฉียงรู้สึกว่าพวกเขาต้องใช้เวลาประมาณครึ่งปีเป็นอย่างน้อยถึงจะไปถึงร่างวิญญาณของสามราชาจักรพรรดิ
นี่ทำให้ระหว่างทางที่เฉินเฉียงเดินนำพาทุกคนไป เขาก็ได้เริ่มบอกทุกอย่างที่เขารู้เกี่ยวกับขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้
“พี่น้อง ในระหว่างนี้ขอให้ทุกคนจำไว้ว่าเมื่อใดก็ตามที่ระดับการบ่มเพาะก้าวเข้าไปสู่ระดับราชา ทุกคนต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่าขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้”
“หลังจากที่รับรู้ได้ถึงขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้แล้ว หลังจากทุกคนต้องมุ่งเน้นฝึกฝนความสามารถในการควบคุมโลกใบเล็กให้ดี แล้วนั่นจะทำให้ทุกคนสามารถกลายเป็นราชาจักรพรรดิได้ในอนาคต”
นี่เป็นครั้งแรกที่หยานเสวี่ยและจางหยวนได้ยินแนวทางการฝึกฝนในการควบคุมโลกใบเล็ก ยิ่งไปกว่านั้นคือคำพูดของเฉินเฉียงนี้ยังเป็นแนวทางสู่การเป็นราชาจักรพรรดิเสียอีก นี่จึงทำให้หลังจากที่เฉินเฉียงได้พูดจบลง ทุกคนก็ตกอยู่ในสภาวะเงียบงัน
เมื่อเทียบกับฮูเตี๋ยนแล้ว พวกพ้องของเขานั้นมีประสบการณ์การบ่มเพาะที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
และนี่ทำให้พวกเขานั้นไม่อาจจะทำความเข้าใจกับแนวคิดในการบรรลุขั้นราชาจักรพรรดิได้เพียงแค่ได้รับฟังคำอธิบาย
แต่ละคนนั้นมีเส้นทางในการบ่มเพาะที่แตกต่างกันไป แน่นอนว่ามุมมองต่อการบ่มเพาะของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน
เฉินเฉียงนั้นไม่มีทางเลือกในเรื่องนี้จึงทำได้เพียงเผยแผนการในการบ่มเพาะของตนในอนาคต ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับการบ่มเพาะอย่างหนักเพียงใด
คนที่ดูกดดันกับเรื่องนี้มากที่สุดคงไม่พ้นเม่ยหลัวหลันและหวังต้าหลู่ ทั้งสองอยากจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ในเวลาอันสั้น เอาจริงๆทั้งสองไม่จำเป็นต้องกดดันแต่อย่างใดเพราะยังไงซะเฉินเฉียงจะหาทางจัดการเรื่องนี้ให้ทั้งสองคนอยู่แล้ว
หลังจากเฉินเฉียงสิ้นสุดคำอธิบาย ในระหว่างที่เขานำทางเขาก็ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาภาพวาดห้วงมหาสมุทรไปด้วย
ในช่วงครึ่งปีมานี้ ทั้งสิบสี่คนนั้นแทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลย แต่ละคนต่างก็พยายามทำความเข้าใจถึงแนวทางการควบคุมที่เฉินเฉียงได้อธิบายให้กับพวกเขาฟังก่อนหน้านี้
ในที่สุด เฉินเฉียงก็ได้หยุดเท้าลง และนี่ทำให้หยานเสวี่ยและคนอื่นๆได้ยินเสียงกระซิบที่หลอกหลอนดังมาจากข้างหน้า
“ไม่ต้องกลัวไป มันเป็นเสียงจากร่างวิญญาณของผู้อาวุโสทั้งสามน่ะ”
“ในตอนนี้ร่างของทั้งสามนั้นหลงเหลือสติปัญญาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพื่อจะใช้พลังที่เหลือในการคงสภาพพื้นที่แห่งนี้และร่างวิญญาณเอาไว้เพื่อดำรงไว้ซึ่งความสงบสุขของโลกของเรา”
“ถ้าไม่ได้ทั้งสามท่านล่ะก็ โลกของเราคงโดนรุกรานไปตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนแล้ว”
“ช่างน่าเศร้าใจนัก”
จางหยวนที่เดินตามเฉินเฉียงมาข้างหลังก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยสีหน้าที่หนักอึ้งหลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของเฉินเฉียง ก่อนที่พวกเขาทุกคนจะเดินไปทางที่ร่างวิญญาณของราชาจักรพรรดิทั้งสามอยู่
“โอวววววยี่สิบห้า…ปี”
“โอวววววว อีกยี่สิบห้าปี….จะหายยยยยย….ช่างเหนื่อยยยเหลือเกินนนนน”
“อ่ะเฮ้ออออออ ข้าไม่ไหวแล้ววววววว”
“โอ้ววววว ไอ้…. ช่างงงงมันเถอะ….”
“โอ้วววว เป็นพี่น้องที่ดีนักกกกกกก”
หลังจากเดินมาไม่นาน พวกเขาก็ได้เห็นเจ้าของเสียงเหล่านี้
ครั้งก่อนที่เฉินเฉียงได้พบทั้งสามคน เขาได้ยินคำว่าสามสิบปี แต่ในตอนนี้เขาได้ยินคำว่ายี่สิบห้าปี
และนี่ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าทั้งสามพูดถึงเรื่องการรุกรานจากสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดน
บนพื้นที่ที่ยกสูงที่มีขนาดพื้นที่ห้าสิบตารางเมตร ทั้งสามคนในตอนนี้หันหลังให้กับเฉินเฉียง มือของสองคนประสานเข้ากับคนตรงกลาง และคนตรงกลางใช้ฝ่ามือทั้งสองตั้งฉากเข้าใส่สิ่งที่น่าจะเป็นกำแพงเขตแดนที่อยู่ตรงหน้า
ถึงแม้เฉินเฉียงและคนอื่นๆทั้งหมดสิบสี่ชีวิตจะมาถึง พวกเขาก็ทำเพียงเหลียวมองเท่านั้น
นี่ยิ่งทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าร่างวิญญาณของทั้งสามนี้มีสติปัญญาอยู่
“พี่ชายทั้งหลายอย่าได้ไปแตะร่างของผู้อาวุโสทั้งสามเป็นอันขาด” เฉินเฉียงได้บอกเล่าประสบการณ์ที่เขาได้ประสบมา “ในครั้งก่อนที่ข้าเผลอไปแตะร่างวิญญาณของผู้อาวุโสเข้า ข้าถูกดีดกระเด็นออกจากเขตแดนลับนี่ในทันที”
หลังจากได้ยินคำเตือนของเฉินเฉียง ทุกคนต่างก็รีบถอยห่างจากร่างของผู้อาวุโสทั้งสามในทันที
“กัปตัน นั่นมันอะไรกัน”
เม่ยหลัวหลันถามออกมาในทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ทั้งสามได้ปลดปล่อยออกไปใส่กำแพงเขตแดนที่ตั้งตระหง่านอยู่กับพื้น
“นั่นคือกำแพงเขตแดน ทางที่พวกเราจะเข้าไปยังเขตแดนอื่น”
เฉินเฉียงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่ชายทั้งหลาย หากทุกคนพร้อมแล้ว พวกเราจะออกจากโลกใบนี้แล้วไปต่างเขตแดนกันเลยนะ”
เฉินเฉียงพูดพลางหันไปมองทุกคน
ในตอนนี้ทั้งสิบสามคนได้มองหน้ากันก่อนที่จะหันมามองเฉินเฉียงอย่างพร้อมเพรียงและอบอุ่น
“ไม่มีสิ่งใดที่ต้องเตรียมตัวไปมากกว่านี้แล้ว กัปตัน กองกำลังของเราเป็นหนึ่งเดียวกันเสมอมา”
“กับอีแค่ไปต่างเขตแดนจะนับประสาอะไร”
“อย่างมาก พวกเราก็แค่ติดค้างอยู่ที่นั่น”
“ตราบใดที่พวกเราได้ตายร่วมกัน ต่อให้เป็นต่างเขตแดน พวกเราก็ไม่ยั่นอยู่แล้ว”
“ถูกต้อง กัปตัน ขอเพียงท่านพาพวกเราไปด้วยก็เพียงพอ”
เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่มีท่าทีว่าจะเปลี่ยนใจ เฉินเฉียงก็พยักหน้าออกมาอย่างพึงพอใจก่อนที่จะพาทุกคนเข้าไปในโลกใบเล็กของตน
เมื่อเสร็จสิ้น เขาหันไปหาร่างวิญญาณของผู้อาวุโสทั้งสามและโค้งให้ชนิดที่ตั้งฉากกับพื้น
“ท่านผู้อาวุโส ข้าน้อย เฉินเฉียง ในครั้งก่อนที่ข้าน้อยได้ทำการล่วงเกินพวกท่านไปนั้น โปรดให้อภัยกับความโง่เขลาของข้าด้วย”
“ในครั้งนี้ ข้าน้อยมาในฐานะนายเหนือหัวแห่งฮุยตู๋ ที่มาที่นี่ในครั้งนี้นั้นเป็นเพราะทำตามความต้องการของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋เพื่อจัดการการรุกรานของสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดน”
“หากข้าน้อยเข้าใจไม่ผิด ร่างวิญญาณของผู้อาวุโสทั้งสามสมควรจะดับสูญในอีกยี่สิบห้าปีหรือน้อยกว่านั้น”
“ถึงแม้การที่ผู้อาวุโสทั้งสามท่านยอมสละตนเองเพื่อเป็นการปกป้องโลกใบนี้จะเป็นบุญคุณที่ยิ่งใหญ่มากมายขนาดไหนก็ตาม”
“แต่ผู้น้อยเองก็เชื่อว่าจะดีกว่าหากว่าพวกเราสามารถจัดการสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนเหล่านี้ไปได้ในเขตแดนของพวกมันเอง”
“ดังนั้นข้าน้อยจึงคิดที่จะไปยังต่างเขตแดนเพื่อสังหารภัยคุกคามจากต่างเขตแดนเหล่านี้ให้หมดสิ้นไป”
“นอกจากนั้น หากในระหว่างนี้ถ้าข้าได้พบร่างของผู้อาวุโสทั้งสาม ข้าก็คิดจะนำพาร่างของพวกท่านกลับมาด้วยเช่นกัน”
“ด้วยการที่พวกท่านทั้งสามเป็นอัจฉริยบุคคลที่สูงล้ำที่สุดในโลกใบนี้ ข้าน้อยก็หวังให้วิญญาณของท่านช่วยอำนวยพรให้ข้าน้อยปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ให้สำเร็จลุล่วงโดยดีด้วยเถิด”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้ยืนตัวตรง และนี่ทำให้เขานั้นรับรู้ได้ว่า เสียงกระซิบของร่างวิญญาณทั้งสามได้เงียบไป
ในขณะที่เฉินเฉียงกำลังสงสัยนี้ เขาก็รับรู้ได้ว่าพลังงานที่ผู้อาวุโสทั้งสามปลดปล่อยใส่กำแพงเขตแดนนั้นได้อ่อนแรงลงอย่างช้าๆ
นี่หมายความว่าผ้าอาวุโสทั้งสามปล่อยให้เขาข้ามเขตแดนงั้นรึ
เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงรีบโค้งคำนับแบบตั้งฉากอีกครั้ง ก่อนที่จะใช้ทักษะหลบหนีแสง ไร้ตัวตน และเคลื่อนย้ายพริบตาพุ่งเข้าใส่กำแพงเขตแดนไป
ในตอนที่เฉินเฉียงทะยานเข้ากำแพงเขตแดนไปนี้ เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในจิตวิญญาณของเขา
-เพื่อนตัวน้อย ได้โปรด….-
ด้วยสภาพของร่างวิญญาณทั้งสามร่างที่อ่อนระโหยโรยแรง สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็มีเพียงฝากฝังด้วยคำพูดได้เพียงเท่านั้น
นี่พวกเขาขอส่งไม้ต่อให้เฉินเฉียงจัดการสิ่งมีชีวิตจากต่างเขตแดนงั้นรึ
หรือพวกเขาหมายถึงการนำร่างของทั้งสามกลับมากัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ตาม เขานั้นก็ตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าเขาจะทำให้ดีที่สุดเพื่อให้เป้าหมายทั้งสองของเขาสำเร็จลุล่วงให้ได้
…..
หลังจากผ่านกำแพงเขตแดนมาแล้ว เฉินเฉียงไม่ได้หยุดนิ่งแต่อย่างใด เมื่อเขาออกมาเขาก็ทำการดำดินลึกลงไปสามสิบเมตรในทันที
เพราะไม่ว่ายังไงซะ ที่นี่ก็ยังเป็นพื้นที่ต่างเขตแดน
และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาที่นี่ เขาย่อมไม่อาจวางใจต่อทุกสิ่งได้
หากว่าสิ่งที่เขาต้องพบเจอเป็นสิ่งแรกนั้นน่าสะพรึงพอๆกับฮูเตี๋ยน เขาคงต้องตกตายในทันที
และด้วยการที่ไม่ย่อหย่อนต่อการระวังภัยนี้ ในทันทีที่เขาหยุดนิ่ง เขาก็ใช้ทักษะไร้ตัวตนและทักษะสัมผัสด้วยเสียง ตรวจสอบพื้นที่โดยรอบในทันใด
เมื่อเขาเพ่งการรับรู้ไปที่กำแพงมิติ เขาพบว่ามีสิ่งมีชีวิตต่างเขตแดนบางอย่างที่ยังคงส่งคลื่นพลังโจมตีกำแพงเขตแดนนี้อยู่
แต่เมื่อเฉินเฉียงนั้นรับรู้ถึงสภาพด้านบนพื้นดิน เขาก็พบร่างห้าร่างพร้อมอาวุธครบมือ
แถมทั้งห้าร่างนี้ไม่ได้ดูแปลกประหลาดแต่อย่างใด ทั้งห้าไม่ว่ามองยังไงก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเขา
และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั่นก็คือ คนที่กำลังโจมตีกำแพงเขตแดนอยู่นี้มีระดับการบ่มเพาะเพียงแค่ระดับราชาขุนพลขั้นต้นเท่านั้น
ด้วยระดับการบ่มเพาะแค่นี้อ่ะนะที่พยายามทำลายกำแพงของราชาจักรพรรดิทั้งสาม
มุมปากของเฉินเฉียงกระตุกไม่หยุด
เมื่อรับรู้ระดับการบ่มเพาะของคนที่กำลังโจมตีกำแพงเขตแดนนี้ เฉินเฉียงนั้นแทบจะพุ่งทะยานขึ้นไปและกวาดล้างทั้งห้าคนนี้ในทันที
ต่อให้ไม่ใช้ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ เขาก็เชื่อว่าจะสามารถจัดการทั้งห้าคนนี้ได้
แต่เมื่อคิดอีกทีแล้ว เฉินเฉียงก็คิดว่ามันเสี่ยงเกินไป
เพราะไม่ว่ายังไงก็ตามที่นี่ก็ยังเป็นโลกที่เขาไม่รู้สถานการณ์และไม่รู้จักสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ระดับการบ่มเพาะของทั้งห้าคนนี้จะไม่ได้สูง แต่ก็ใช่ว่าการเผยตัวของเขาจะไม่ดึงดูดคนที่มีระดับสูงกว่ามา
ย้อนกลับไปในครานั้น ในตอนที่ราชาจักรพรรดิทั้งสามเพียงได้เหยียบย่าง พวกเขานั้นก็ถูกศัตรูเล่นงานจนหมดสิ้นแทบจะในทันที
จะดีกว่าหากเขารังไว้ก่อน
ในขณะที่เฉินเฉียงกำลังซ่อนตัวอยู่ใต้ดินนี้ เขาก็รับรู้ว่าคนที่โจมตีกำแพงเขตแดนอยู่นั้นอยู่ๆก็ได้หยุดมือแล้วถามขึ้นมา “ฮื้ม ศิษย์พี่หลิว ท่านรู้สึกรึเปล่าว่ามีอะไรหลุดออกมาจากกำแพงเขตแดนเมื่อครู่นี้น่ะ”
คนอีกคนหนึ่งที่กำลังโจมตีกำแพงเขตแดนด้วยหอกก็ได้หยุดมือแล้วพูดออกมา
“น้องจาง อย่าได้พูดไร้สาระน่า หากมีอะไรออกมาจากกำแพงเขตแดนจริง พวกเราก็ควรจะรับรู้กันได้ทั่วสิ”
“เจ้าเลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วโจมตีต่อไปได้แล้ว”
“ไอ๊หยา…” คนที่ชื่อจางได้ถอดถอนลมหายใจออกมา “ข้าได้ยินมาว่ากำแพงเขตแดนนี้ถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องมาหลายร้อยปีแล้วนา แม้แต่ตอนนี้มันก็ยังไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด”
“ข้าไม่รู้จริงๆว่าต้องทำไอ้เรื่องบ้าๆแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่”
“ศิษย์น้องจาง พูดจาระวังปากหน่อยสิ”
“มันเป็นที่รับรู้กันว่าใครก็ตามที่รับหน้าที่นี้จะได้รับค่าตอบแทนในการเสียเวลาอย่างงามที่นายท่านจะมอบให้พวกเราเลยนะ”
“และยิ่งหากพวกเราสามารถทำลายมันได้ เพียงแค่พวกเราอย่างก้าวเข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์ พวกเราก็จะได้รับโอกาสในการบ่มเพาะวิชายุทธระดับสูงสุดเลยทีเดียว”
“ข้าได้ยินมาว่าวิชายุทธเหล่านั้น พวกเราล้วนแล้วได้มาจากผู้มาเยือนนี่นา แถมพวกเขายังพาผู้มาเยือนทั้งสามไปพำนักที่นั่นอีก”
“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะน้า แต่ผู้คนมากมายโจมตีกำแพงเขตแดนนี่มาหลายร้อยปีแล้วยังไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด ข้ารู้สึกว่ามันเปล่าประโยชน์นัก”
“หยุดพูดได้แล้ว”
ผู้นำของคนกลุ่มนี้ได้มองด้วยสายตาที่หรี่เล็ก “ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม การพังกำแพงมิตินี้ให้ได้นั้นเป็นเป้าหมายของวิหารศักดิ์สิทธิ์ นี่คือภารกิจที่เราได้รับมา
ตราบใดที่เราทำลายมันได้และสามารถไปยังโลกภายนอก พวกเราจะได้รับทั้งทรัพยากรและอาหารมากมายนัก มากมายชนิดที่ว่ากองเหนือตัวพวกเราเลยด้วยซ้ำ”
“จริงด้วย ข้าจะตามคำสั่งของศิษย์พี่ครับ”
…
เมื่อเฉินเฉียงรับฟังบทสนทนาทั้งหมดนี้ก็สงบใจขึ้นมาได้อย่างมาก
คนเหล่านี้ใช้ภาษาเดียวกับเขาทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวได้อย่างไม่ยากเย็น
หลังจากนิ่งคิดไปแล้ว เฉินเฉียงจึงตัดสินใจดำดินไปยังทิศทางหนึ่ง ห่างจากจุดนี้ไปร้อยกว่าไมล์ และได้ขึ้นมาบนพื้นดิน
ทั้งสี่ทิศนั้นเป็นที่โล่งไร้ที่สิ้นสุด
คลื่นพลังที่ลอยปนอยู่ในอากาศนี้ทำให้เฉินเฉียงรู้สึกคุ้นเคยอย่างที่สุด
หากจะให้บอกจริงๆล่ะก็ พลังฟ้าดินที่ปะปนอยู่ในอากาศนี้เขารู้สึกว่ามันเข้มข้นกว่าโลกของเขาเลยด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะกับแสงอาทิตย์ที่เขาสัมผัสได้นี้ยิ่งทำให้เขานั้นไม่รู้สึกแตกต่างจากเขตแดนที่เขาจากมา
คงไม่ใช่ว่าที่นี่กับที่นั่นเป็นโลกใบเดียวกันหรอกนะ
แต่ก็ไม่น่าจะใช่
แต่หากไม่ใช่ ทำไมผู้คนที่นี่กับที่นู่นต่างกันเลยล่ะ
ไหนจะไอ้ตัวที่มีบอลเลือดปีศาจนั่นอีก
แล้วไหนจะเรื่องที่ห้าคนนี้พูดอีก เขานั้นรับรู้ได้ในทันทีว่าเขตแดนแห่งนี้ถูกควบคุมโดยองค์กรที่เรียกว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์
หากเขาเข้าใจไม่ผิด ไอ้วิชายุทธระดับสูงที่คนพวกนี้พูดถึงนั้นควรจะเป็นสิ่งที่ราชาจักรพรรดิทั้งสามนำติดตัวมาด้วย
ยังไงซะ ในเมื่อร่างของราชาจักรพรรดิทั้งสามยังคงอยู่ที่นี่ พวกเขาคงจะมีวิธีการบ่มเพาะเก็บเอาไว้ในแหวนเก็บของอยู่บ้าง และนี่ทำให้ไอ้พวกวิหารเส็งเคร็งนั่นเอาไปใช้ได้อย่างหน้าด้านๆ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์จะทรงพลังขนาดไหน เขาก็เชื่อว่าไม่ได้เทียบเท่ากับฮุยตู๋ของเขาแต่อย่างใด
ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ไอ้พวกนี้คงทำลายกำแพงเขตแดนและข้ามฝั่งเขตแดนไปตั้งนานแล้ว
และที่สำคัญที่สุดก็คือ ในตอนนี้เขาต้องเข้าใจสถานการณ์ของเขตแดนนี้แล้ว แถมยังต้องรู้ที่ตั้งของวิหารศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย