ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 323 ความไม่แน่นอน
บทที่ 323 ความไม่แน่นอน
ในตอนนี้ เฉินเฉียงได้ปลดปล่อยกระแสจิตของตนไปตรวจสอบโดยรอบ แต่เขาก็ไม่พบสัญญาณของผู้คนในระยะยี่สิบลี้แต่อย่างใด
และเป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้เปิดโลกใบเล็กและให้ทุกคนได้ออกมา
สิ่งแรกที่จางหยวนและคนอื่นๆได้ทำนั่นก็คือใช้กระแสจิตของตนตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ
ฉากนี้ทำให้เฉินเฉียงอดที่จะดีใจไม่ได้
นี่หมายความว่าจางหยวนและพวกรู้สึกถึงภยันตรายจริงๆ และนี่คือสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขาในอนาคต
ยังไงซะ จนมาถึงตอนนี้ เฉินเฉียงและคนอื่นๆก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดปีศาจนั้นมาจากไหนกันแน่
และเมื่อต้องอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย การระวังตัวคือกุญแจสำคัญในการรอดชีวิต
“กัปตัน ที่นี่คือต่างเขตแดนงั้นรึ”
หลางซานเอ๋อถามออกมาด้วยเสียงอันเบาในขณะที่เดินเคียงคู่เฉินเฉียงไปดูพื้นที่โดยรอบ
“ใช่แล้ว นี่คือต่างเขตแดน” เฉินเฉียงพูดออกมาด้วยใบหน้าจริงจัง พร้อมกับหันไปมองจางหยวนและคนอื่นๆ
“พูดก็พูดเถอะ ทำไมข้าไม่รู้สึกว่ามันไม่ต่างจากโลกของเราเลยล่ะ” กัวเหลียงถามออกมาอย่างสงสัย
แม้จะได้ยินแบบนี้ เฉินเฉียงก็ยังไม่คลายการระวังตัวอยู่ดีแล้วตอบกลับไป “ศิษย์พี่กัว ท่านพูดผิดแล้ว”
“คนที่ข้าได้พบเจอก่อนหน้านี้ นอกจากจะไม่ได้มีระดับการบ่มเพาะที่ทรงพลังก็จริง แต่ตัวตนของพวกนั้นย่อมไม่ใช่ที่สุดของโลกใบนี้”
“ดีไม่ดีพวกเขาน่าจะเป็นเพียงกองกำลังเล็กๆเฉกเช่นพวกเรา”
“หากเป็นอย่างนั้นจริง พวกเราก็ต้องยิ่งระแวดระวังมากยิ่งขึ้น”
“และอย่าได้ลืมไปว่า พวกเรายังไม่ได้พบเจอสิ่งมีชีวิตที่มีบอลเลือดปีศาจอยู่ในร่างนั่นอีก”
เมื่อพูดถึงบอลเลือดปีศาจแล้ว กัวเหลียงก็อดที่จะหวาดหวั่นไม่ได้
ถูกต้อง ยังไงซะที่นี่ก็ยังเป็นโลกที่พวกเขาไม่รู้จักอยู่ดี
ที่พวกเขาพึ่งจะเห็นไปนั้นก็เป็นเพียงส่วนน้อยนิดของโลกใบนี้ ใครจะรู้ว่ายังมีอะไรให้พวกเขาต้องพบเจออีก
“เฉินเฉียง แล้วพวกเราจะเอายังไงต่อ”
หยานเสวี่ยได้เดินมาข้างๆเฉินเฉียงและถามด้วยเสียงอันเบา
เฉินเฉียงเองก็ถึงกับต้องเกาหัวเหมือนกัน ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างกว้างขวางปานมหาสมุทร “ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่ได้ง่ายอย่างที่เราคิด”
“หากพวกเราต้องการได้รับร่างของราชาจักรพรรดิทั้งสามกลับไป พวกเราต้องหาพื้นที่ที่เรียกว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์”
“ในขณะเดียวกัน พวกเราต้องระวังการโจมตีของสิ่งมีชีวิตที่นี่ด้วย ไม่อย่างนั้นพวกเราคงจะพบชะตากรรมเช่นเดียวกับราชาจักรพรรดิทั้งสาม”
“ดังนั้น ก่อนที่ข้าจะเข้าใจสถานการณ์อย่างแจ่มชัด จางหยวน จะดีกว่าหากพวกเจ้าเข้าไปอยู่ในโลกใบเล็กของข้าก่อน”
“แล้วข้าจะให้พวกเจ้าออกมาอีกครั้งเมื่อมีข้อมูลของโลกใบนี้เพียงพอแล้ว”
“นี่จะเป็นการรับรองความปลอดภัยของพวกเจ้าได้ดีที่สุดแล้ว”
จางหยวนเมื่อได้ยินก็รีบส่ายหัวไปมาในทันที
“กัปตัน ข้ารู้ดีว่าท่านห่วงความปลอดภัยของพวกเรา และข้าเองก็หวังให้พวกเรากลับไปยังโลกของพวกเราอย่างปลอดภัย”
“อย่างไรก็ตาม กัปตัน ท่านเองเคยคิดหรือเปล่าว่าทำไมพวกเราถึงถูกเรียกว่ากองกำลังผู้กล้าน่ะ”
“เหตุผลนั้นไม่ใช่เพราะพวกเราไร้เทียมทาน แต่เป็นการใช้ทุกสิ่งที่มี ปฏิบัติภารกิจจนสำเร็จเสร็จสิ้นโดยไม่เกรงกลัวความตาย”
“ขอกล่าวตามตรงเลยแล้วกัน กัปตัน นับแต่ท่านเขาร่วมกับพวกเรา ท่านก็ได้ผ่านการต่อสู้อย่างนับไม่ถ้วนทั้งเล็กและใหญ่ได้รับความสำเร็จมากมายโดยที่คนในกองกำลังไม่สูญเสียเลยแม้แต่น้อย”
“แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีแต่อย่างใด”
“หากว่ากัปตันมัวแต่มุ่งความสนใจมาที่ความปลอดภัยของพวกเรา ข้าเกรงว่านั่นจะยิ่งทำให้พวกเราตกอยู่ในอันตราย ถึงแม้มันจะช่วยชีวิตของพวกเราไว้ได้ แต่เกียรติยศของพวกเรานั้นจะถูกท่านทำลายจนหมดสิ้นในที่สุด”
“แม้กระทั่งมาอยู่ในเขตแดนที่ไม่รู้จักแบบนี้ ท่านเองก็คงจะรู้ดีว่าการปกป้องพวกเราไว้นั้นมันดีหรือไม่ดีกันแน่”
หลังจากจางหยวนได้พูดจบลง คนอื่นๆในกองกำลังก็ไม่ได้โต้แย้งความคิดนี้แต่อย่างใด
“ถูกต้อง กัปตัน ก่อนที่ท่านจะเข้าร่วมมานั้น ถึงแม้คนในกองกำลังจะมีตกตายไปในทุกๆปี พวกเราไม่ใช่ว่าจะไม่เศร้าที่ต้องสูญเสียพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา แต่พวกเราก็ยังรู้สึกดีที่ต่อให้ต้องตาย ก็ตกตายในสงครามการต่อสู้”
“ท่านเองก็ควรจะปล่อยพวกเราให้เผชิญหน้ากับโชคชะตาในเขตแดนแห่งนี้ด้วยเหมือนกัน”
“ศิษย์น้อง ข้ารู้ดีว่าเจ้าเองก็เป็นห่วงพวกเราอย่างที่สุด และข้าเองก็อยากขอไม่ให้เกิดเรื่องอะไรกับพวกเรา”
“แต่ในเขตแดนที่ผิดแผกนี้ พวกเราเองก็ต้องการเติบโตไปด้วยเช่นกัน หากว่าพวกเราถูกเจ้าประคบประหงมมากเกินไป เกรงว่าจะได้ผลตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ”
“ทำไมเจ้าเผชิญหน้าได้แต่พวกข้ากลับไม่สามารถล่ะ”
จางหยวน กัวเหลียง และคนอื่นๆต่างก็พูดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน และหลังจากพูดความในใจไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่มองเฉินเฉียงอย่างเงียบๆและคาดหวัง
เฉินเฉียงเองในตอนนี้ราวกับจิตใจถูกปิดกั้นไว้ด้วยหินก้อนโต
เขานั้น ความจริงแล้วก็ไม่ได้กังวลอะไรมากมายในเขตแดนนี้นอกจากการพบเจอสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาไม่รู้จักเพียงเท่านั้น แต่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่ทำให้เขาไม่อยากให้พวกพ้องของเขาได้พบเจอ
หากว่าพวกพ้องของเขาได้พบเจอกับสิ่งมีชีวิตที่มีบอลเลือดปีศาจล่ะก็ เขาเองก็คงทำได้เพียงเศร้าเสียใจเพียงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้เห็นใบหน้าของทุกคนในตอนนี้ แม้เขาจะต้องกัดฟันแน่นแต่ในที่สุดก็ตัดใจพูดออกมาในที่สุด “ก็ได้ ข้าสัญญาว่าในวันนี้พวกเราจะแบ่งหน้าที่กันไป”
“ในเมื่อพวกเรามีสิบสี่คน งั้นก็จับคู่กันไปแล้วกัน”
“พวกเราจะได้ติดต่อกันผ่านกำไลสื่อสารได้ทุกเมื่อ”
“แต่พวกเจ้าเองก็ต้องสัญญาว่าหากพบเจออันตราย พวกเจ้าทุกคนต้องติดต่อข้าผ่านกำไลสื่อสารให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้”
“แน่นอน” เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงยินยอมในข้อเสนอ จางหยวนถึงกับหัวเราะร่าแล้วพูดออกมา “ยังไงซะพวกเราพี่น้องก็เป็นกองกำลังเดียวกัน ไม่มีใครคิดเอาชีวิตของพี่น้องด้วยกันเองไปล้อเล่นอยู่แล้ว”
“ว่าแต่กัปตัน ท่านวางแผนไว้รึยังล่ะ”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่จะพูดออกด้วยรอยยิ้ม “จางหยวน เจ้ากับศิษย์พี่ซวนเอ๋อนั้นมีท่าเท้าที่ดีที่สุด ในพื้นที่ต่างเขตแดนนี้ข้าเชื่อว่าเจ้าจะจัดการทุกสิ่งได้”
หลิวซวนเอ๋อเองเมื่อได้ยินก็อดที่จะใจชื้นไม่ได้ ก่อนที่จะเดินไปจับมือจางหยวนและกำไว้อย่างแน่นขนัด
เมื่อทุกคนได้เห็นก็หัวเราะออกมาอย่างดังลั่น
“หัวเราะทำบ้าอะไรกัน เพื่อนกัว ทำไมเจ้าไม่ใช่โอกาสนี้แยกจากหนี่เฟิงซะเลยล่ะ” จางหยวนขมวดคิ้วแน่นแล้วพูดตอกกัวเหลียงที่กำลังหัวเราะลั่น
“ไม่มีทางซะล่ะเอ็ง” เมื่อพูดจบ กัวเหลียงก็กระโจนเข้าไปกอดหนี่เฟิงแน่นประดุจดั่งหมีที่ได้เจอน้ำผึ้ง
“เอาล่ะ ศิษย์พี่กัวเองก็คงไม่แคล้วจะต้องอยู่กับพี่หนี่เฟิงล่ะนะ” เฉินเฉียงพูดพลางมองไปยังเหรินหมิง
“เหรินหมิง เจ้าก็ไปกับพี่สาวหลัวหลันแล้วกัน ส่วนม่อโชวกับหลางซานเอ๋อก็จับคู่กันไป”
“อืมมมฮืม เจิ้งยี่ เจ้าไปกับหวังต้าหลู่นะ”
“กัปตัน ทำไมท่านไม่จับคู่กับข้าล่ะ” เจิ้งยี่ร้องขอในทันที
เฉินเฉียงส่ายหัวไปมาในทันใด “เจิ้งยี่ ข้าเองแบ่งคนโดยดูจากระดับการบ่มเพาะให้สมดุลน่า เข้าใจข้าหน่อยเถอะ”
เจิ้งยี่เมื่อได้ยินก็รู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้และเดินไปข้างๆเทพเงินตรา
“หลิวไฮ่ เจ้าไปกับหลู่จี้นะ จำไว้ด้วยว่าดูแลเขาให้ดี ยังไงซะเขาก็เป็นมันสมองของพวกเรา”
“เดี๋ยวๆๆ กัปตัน ไม่ใช่ว่าท่านพึ่งจะบอกว่าแบ่งคนตามระดับการบ่มเพาะไม่ใช่เรอะ”
“แล้วทำไมท่านกับหยานเสวี่ยที่เป็นราชาขุนพลที่แกร่งที่สุดของพวกเราถึงได้จับคู่กันไปล่ะ”
หยานเสวี่ยที่อยู่ข้างกายเฉินเฉียงไม่ห่างก็ได้มองหลางซานเอ๋ออย่างเขม็งก่อนที่จะพูดออกมา “อะไร เจ้ามีข้อโต้แย้งรึ”
“เอ่อ…ไม่มีจ้า” เมื่อเห็นจิตสังหารที่พุ่งทะลุผ่านสายตาของหยานเสวี่ยแล้ว หลางซานเอ๋อแทบจะถอนคำร้องไม่ทัน
หากพูดกันตามตรงแล้ว เฉินเฉียงนั้นสมควรจะแยกจากหยานเสวี่ยแบ่งกันดูแลคนในกองกำลังถึงจะถูก
แต่ด้วยการที่หยานเสวี่ยไม่ใช่คนในกองกำลัง เธอย่อมไม่ทำตามคำขอของเฉินเฉียงอย่างแน่นอน
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเธอนั้นมาอยู่ที่นี่เพราะคำสั่งเสียของเฉินเทียนเว่ย ยิ่งเป็นไปไม่ได้หากว่าเฉินเฉียงจะขอให้เธอแยกจากเขา
แต่อย่างน้อยๆการที่มีสาวงามล่มเมืองอยู่ข้างกายก็ยังได้เจริญหูเจริญตาบ้างล่ะนะ
หลังจากแบ่งคู่กันเรียบร้อยแล้ว ต่อไปเฉินเฉียงก็ได้ทำการแจกแจงงาน
“เอาล่ะ พี่ชายทั้งหลาย ในเมื่อพวกเราแบ่งกันเป็นเจ็ดกลุ่มแล้ว พวกเราก็จะแยกกันไปทำงาน”
“เป้าหมายของเรามีเพียงสองอย่างเท่านั้น”
“หนึ่งคือการสืบหาที่ตั้งวิหารศักดิ์สิทธิ์ และอีกหนึ่งคือการสืบหาข้อมูลของสิ่งมีชีวิตที่มีบอลเลือดปีศาจ”
“ตราบใดที่ได้พบเจอร่องรอยของหนึ่งในสองเป้าหมายนี้ หรือพบเจอภัยอันตราย ขอให้รีบติดต่อหาทุกคนด้วยกำไลสื่อสารให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้”
ทุกคนต่างพยักหน้ารับ เฉินเฉียงได้มองไปที่เม่ยหลัวหลันและหวังต้าหลู่ก่อนที่จะพูดออกมา “พวกเรานั้นต้องแยกกันชั่วคราว พี่สาวหลัวหลัน เทพเงินตรา จัดสรรไวน์และของใช้ต่างๆให้ทุกคนซะ”
“ต่อให้ต้องแยกกันไป แต่ทุกคนก็อย่าได้หลงลืมการบ่มเพาะ ยิ่งไปกว่านั้นคืออย่าได้หลงลืมว่าเรามาจากต่างเขตแดน พยายามอย่าทำอะไรให้ผู้คนที่นี่จับได้เป็นอันขาด”
ไม่นาน เม่ยหลัวหลันและเทพเงินตราก็ได้จัดสรรปันส่วนทุกสิ่งที่มีให้กับทั้งเจ็ดกลุ่ม พวกเขาพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่จะแยกจากกันไป
หลังจากที่ทั้งหกแยกกันไปแล้ว เฉินเฉียงก็ยังคงยืนตามหลังทุกคนไปอย่างไม่ขยับเขยื้อน หยางเสวี่ยก็ได้เข้ามาตบไหล่ของเฉินเฉียงก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า ยังไงซะ กองกำลังของเจ้าก็พานพบภัยอันตรายมามากกว่าใครเลยนะ”
“ถึงแม้เจ้าจะเป็นกัปตัน แต่ก็ใช่ว่าเจ้าต้องดูแลพวกเขาไปตลอดชีวิตนะ”
“ท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็มีเส้นทางของตน พวกเขาไม่ใช่เด็กน้อยของเจ้าสักหน่อย”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็หันหน้าไปยิ้มให้หยางเสวี่ยเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา “ข้าเข้าใจเรื่องพวกนั้นนะ แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี”
หลังจากถอนลมหายใจอีกพักใหญ่ เฉินเฉียงก็ได้ยืดเส้นยืดสายแล้วพูดออกมา “ไปกันเถอะ พวกเราก็ต้องไปบ้างแล้ว”
“แล้วเราจะไปไหนกันดีล่ะ”
เพียงชั่วพริบตา ในทันทีที่เหลือกันเพียงแค่สองคน หยานเสวี่ยก็เปลี่ยนท่าทีเป็นแจ่มใส ก่อนที่จะเข้าไปคล้องแขนเฉินเฉียงแล้วซบหัวกับแขนของเขา
“ข้าก็ยังไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่าหาที่ที่คนอยู่ก่อนแล้วกัน”
ด้วยการที่พวกเขานั้นยังไม่รู้สถานการณ์ของโลกใบนี้ ทั้งสองจึงทำได้เพียงเดินสุ่มไปเพียงเท่านั้น
แต่หลังจากเดินไปเพียงครึ่งวัน เฉินเฉียงและคู่หูของเขาก็ยังไม่ออกจากทุ่งหญ้าสักที นี่ทำให้เขานั้นเริ่มหมดความอดทน
“หยานเสวี่ย เข้ามาในโลกใบเล็กของข้าก่อน เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ส่งหยานเสวี่ยเข้าโลกใบเล็กไป ก่อนที่จะดำดินลงไป หลังจากนั้นเขาก็ได้ปลดปล่อยกระแสจิตของตน ก่อนจะพุ่งตรงไปด้วยความเร็วเต็มพิกัดประดุจสายฟ้าฟาด
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เขาก็พบเมืองใหญ่ในพิสัยของพลังจิตของเขา
เมื่อเห็นว่าไม่มีคนอยู่ด้านบน เฉินเฉียงก็ได้ขึ้นมายังผืนดินแล้วพาหยานเสวี่ยออกมาจากโลกใบเล็กของเขา
“คราวหน้าอย่าปล่อยให้ข้าอยู่ในนั้นคนเดียวอีกนะ”
หลังจากออกจากโลกใบเล็กของเฉินเฉียง หยานเสวี่ยก็บ่นพลางทำหน้ามุ่ยในทันที
เฉินเฉียงได้มองไปที่หยานเสวี่ยด้วยคำพูดประดุจดั่งไม่มีทางเลือก “ก็ข้ากลัวว่าจะมีคนเห็นนี่นา”
หยานเสวี่ยได้หันมาพูดด้วยท่าทางจริงจังในทันที “เฉินเฉียง อย่าได้ลืมไปว่าท่านพ่อบุญธรรมให้ข้าปกป้องเจ้านะ ไม่ใช่ให้เจ้าปกป้องข้า”
“จิ๊จิ๊จิ๊ เจ้าคิดว่าด้วยระดับการบ่มเพาะของข้านั้นต้องให้เจ้าปกป้องข้ารึไง”
เมื่อเห็นหยานเสวี่ยไม่ใส่ใจในคำพูดของเธอ เธอเอาตัวเข้าขวางเฉินเฉียงในทันทีแล้วพูดออกมา “ไม่ว่าเจ้าจะมีระดับการบ่มเพาะสูงล้ำขนาดไหนก็ตาม ข้าจะไม่มีวันหลงลืมหน้าที่ของข้าไปได้”
“ข้า หยานเสวี่ยจะขอปกป้องเจ้าด้วยชีวิต ไม่ว่าข้าจะอ่อนแอกว่าเจ้าแค่ไหนก็ตาม”
เมื่อพูดจบ หยานเสวี่ยก็ได้หันหลังแล้วเดินจากไป
เฉินเฉียงก็ได้มองตามร่างอรชรอ้อนแอ้นตรงหน้าที่ดูแล้วโดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก พร้อมปากที่พะงาบพะงาบอยู่หลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่อาจจะพูดสิ่งใดออกมาได้
เขาเองก็อยากจะบอกหยางเสวี่ยเหลือเกินว่าในเมื่อพ่อบุญธรรมของเธอจากไปแล้ว เธอเองก็ไม่จำเป็นต้องทำตามคำมั่น
แต่เมื่อคิดดูอีกทีแล้ว ต่อให้เขาพูดไป เธอก็คงจะไม่สนใจคำพูดของเขาอยู่ดี
หลังจากสะบัดหัวไปมา เฉินเฉียงก็ได้เปลี่ยนความคิดและรีบเร่งเดินตามหยานเสวี่ยไป ทั้งสองมุ่งหน้าเดินตรงเข้าเมือง
เมืองเฉินหลิว
หลังจากได้เห็นคำตรงหน้าทางเข้าประตูเมืองแล้ว เฉินเฉียงก็ได้ปลดปล่อยกระแสจิตของตนออกไปตรวจสอบทั่วเมือง เขาพบว่าเมืองนี้ใหญ่กว่าที่เขาคิดไว้ ขนาดพลังจิตของเขาที่กว้างขวางก็ยังครอบคลุมพื้นที่เมืองเพียงส่วนเดียวเท่านั้น
ถ้าดูจากความกว้างขวางของกำแพงเมืองนี้ เขาคาดเดาไปว่าเมืองนี้อย่างน้อยๆก็มีพื้นที่กว่าสองหมื่นกิโลเมตร
หากจะให้พูดกันตรงๆแล้ว เพียงแค่กำแพงเมืองนี้ก็ใหญ่โตราวกับสันเขาย่อมๆลูกหนึ่งไปแล้ว มันกว้างใหญ่ประดุจดั่งเป็นโลกใบเล็กใบหนึ่งได้เลย
ในเมืองเฉินหลิวแห่งนี้ ผู้คนเดินกันขวักไขว่เต็มไปหมด
เฉินเฉียงและยานเสวี่ยได้มองหน้ากัน และรีบทำตัวปะปนไปกับคนในพื้นที่
เท่าที่เฉินเฉียงมองดูนี้ คนทั่วไปของที่นี่เองก็ไม่มีระดับการบ่มเพาะเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าจะมีผู้บ่มเพาะปะปนอยู่บ้าง แต่สำหรับเขานั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากมดปลวก
นั่นก็เพราะผู้บ่มเพาะเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วเทียบเท่าเพียงแค่นักรบสายเลือดบนโลกของเขา กับสถานที่แห่งนี้ ต่อให้เป็นนายพลวิญญาณมาเยือนก็เปรียบได้ดั่งราชา
เขาจึงไม่แปลกใจที่ในคราแรกที่ราชาจักรพรรดิทั้งสามมาเยือนก็กวาดผู้คนไปจนหมดสิ้น
และผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะเหล่านี้นั้น ดูเหมือนสำหรับในเมืองแห่งนี้ พวกเขาจะมีศักดิ์ฐานะที่สูงอยู่เหมือนกัน นั่นก็เพราะคนที่เขาพบเจอว่ามีระดับการบ่มเพาะ คนผู้นั้นจะมีการประดับประดาบางสิ่งบนหัว และทำตัวราวกับผู้อาวุโสสูงสุดของโลกใบนี้
“น้ำตาลกรวดจ้า….”
“ส้มไหมจะส้ม ส้มลูกใหญ่หอมหวานละมุนลิ้น”
“ซาลาเปา……ซาลาเปาเนื้อลูกใหญ่ๆ โอ้พี่ชาย ซาลาเปาสักสองลูกรึเปล่า ซาลาเปาเนื้อลูกโตเลยนา เพียงแค่สองเหรียญคริสตัลเท่านั้น”
บนท้องถนนในเมืองเฉินหลิว ผู้คนมากมายต่างก็ร้องเร่ขายของกันอย่างอื้ออึง
“เฉินเฉียง ไอ้ต่างเขตแดนนี่มันดูไม่น่ากลัวอย่างที่พวกเราคิดเลยสักนิดนะ ผู้คนที่นี่ก็ดีมีความสุขกันดี ดีไม่ดีข้าว่ามันจะผาสุกเสียยิ่งกว่าโลกของเราเสียด้วยซ้ำ”
เฉินเฉียงเองก็ถึงกับต้องเกาหัวในทันใด
ก่อนหน้านี้ที่เขาจะมีที่นี่ เขานึกว่าเขตแดนแห่งนี้จะเต็มไปด้วยความมืดมิด และสีแดงฉานของเลือดเนื้อ พร้อมกับสิ่งมีชีวิตที่รูปร่างพิลึกกึกกืออีกมากมาย
แต่ในตอนนี้ มันราวกับว่าเขาได้กลับไปในโลกเมื่อพันปีก่อนยังไงอย่างนั้นเลยทีเดียว
ไหนสัตว์แปลกๆพวกนั้นล่ะ
ไหนจะไอ้พวกที่มีเลือดปีศาจอีก
เฉินเฉียงได้ส่ายหัวไปมาในทันทีก่อนจะพูดออกมา “อย่าพึ่งสนเรื่องนั้นเลยละกัน เรามาหาร้านอาหารกันก่อน แล้วหาอะไรกันนั่งฟังผู้คนไปก็แล้วกัน”
“ร้านอาหาร” หยานเสวี่ยรีบดึงแขนของเฉินเฉียงจนหันหลังกลับมาหาในทันที “เจ้ามีเงินงั้นรึ อย่าบอกข้าว่าเจ้าจะใช้แก่นวิญญาณหรือแก่นคริสตัลที่นี่น่ะ ไม่ได้ยินที่พ่อค้าซาลาเปาพูดเมื่อกี้เหรอว่าเขาใช้สิ่งที่เรียกว่าเหรียญคริสตัลแลกเปลี่ยนกัน”
“ฮี่ฮี่ฮี่ ก็ไม่เห็นจะยากนี่นา”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้ชี้ไปยังร้านหนึ่งที่อยู่บนถนนตรงหน้าที่พวกเขาพึ่งจะเดินจากมา
มันเป็นร้านที่มีขนาดประมาณสองร้อยตารางเมตร มันมีชื่อว่า หอการค้าซิ่งเซียน ข้างในมีคนอยู่สิบกว่าคน และมีลูกค้าในแต่ละแผนกกำลังมองหาสิ่งที่ต้องการ
เฉินเฉียงได้ได้พาหยานเสวี่ยเข้าไปในร้าน หลังจากเห็นของร้านแล้ว พวกเขาก็ได้ความคิดหนึ่งขึ้นมา
ทั้งสองได้มองเห็นว่ามีแผนกที่ขายเม็ดยา สมุนไพร อาวุธ ตำรา แผนที่ และของอื่นๆ
ของส่วนใหญ่ที่ขายที่แผนกนี้เป็นของเกี่ยวกับวิชายุทธ จึงเป็นธรรมดาที่มีผู้คนเข้ามาดูอย่างน้อยนิด