ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 324 ขายกระบี่
บทที่ 324 ขายกระบี่
“นายท่าน มีอะไรให้ข้าช่วยรึเปล่าคะ”
เมื่อเฉินเฉียงเดินไปยังแผนกแผนที่ พนักงานสาวอายุประมาณยี่สิบปีได้เดินเข้ามาหาและถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน
เฉินเฉียงได้เงยหน้าขึ้นมามองที่พนักงานสาวคนนั้นก็ได้เอ่ยถามออกมา “ที่นี่รับซื้ออาวุธรึเปล่า”
เมื่อพนักงานสาวได้ยินแบบนั้นก็ได้มองไปที่เฉินเฉียงสลับกับหยานเสวี่ย ก่อนที่จะชี้ไปที่โต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลแล้วพูดออกมา “นายท่าน หากท่านต้องการขายของบางสิ่ง โปรดไปพูดคุยกับผู้จัดการร้านของเราค่ะ”
“โอ้ ขอบคุณมาก”
เฉินเฉียงได้พาหยานเสวี่ยเดินตรงไปที่โต๊ะที่พนักงานสาวชี้มา
ที่โต๊ะตัวดังกล่าวนั้น มีชายแก่อายุประมาณสี่สิบถึงห้าสิบปีนั่งอยู่ข้างใน มือซ้ายของเขาถือลูกคิด พลางใช้มือขวาชี้นิ้วไล่ตัวหนังสือไปพลางดีดลูกคิดไปพลาง
“ผู้จัดการร้าน”
เฉินเฉียงได้เคาะโต๊ะเบาๆ เมื่อผู้จัดการได้ยินก็หยุดคิดเลขแล้วขยับแว่นของตนให้เข้าที่ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองเฉินเฉียง
“ผู้จัดการร้าน ที่นี่รับซื้ออาวุธรึเปล่า”
“โอ้” เมื่อได้รู้ว่าคนที่เคาะโต๊ะมีธุระที่เขาต้องเป็นคนจัดการ ผู้จัดการร้านก็รีบลุกขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะมองเฉินเฉียงพลางพยักหน้ารับ
ก่อนที่จะไปนิ่งค้างที่หยานเสวี่ย
กับเรื่องนี้เอง หยางเสวี่ยก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน ต่อให้นี่เป็นต่างเขตแดนแต่ความงามอันประเมินค่าไม่ได้ของเธอนั้นมันก็ยากที่จะหยุดไม่ให้กระตุ้นจิตใจของผู้ชายให้หลงใหลได้
“ฮี่ฮี่ฮี่ น้องชายตัวน้อย เจ้าต้องการขายอาวุธงั้นรึ ไหนล่ะ นำออกมาให้ข้าดูหน่อย”
เฉินเฉียงยักไหล่เล็กน้อยเมื่อได้ยิน นั่นก็คงเป็นเพราะผู้จัดการร้านนั้นคงเห็นว่าเขานั้นมาด้วยมือที่ว่างเปล่า จึงเป็นธรรมดาที่เขานั้นจะถามออกมาเพราะว่าอาวุธอยู่ที่อื่น
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว เฉินเฉียงก็ได้ถูแหวนเก็บของแล้วนำกระบี่ที่สาดแสงเย็นยะเยียบออกมาไว้ในมือ
เมื่อเห็นฉากนี้ เจ้าของร้านก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
แต่เมื่อได้เห็นแหวนบนนิ้วของเฉินเฉียงแล้ว เขาก็ได้พูดออกมาประหนึ่งดั่งตื่นเต้นยินดี “น้องชายตัวน้อย เจ้าเองก็เป็นศิษย์ของสำนักเต๋าหนันฮู่(ใต้บาดาล/ทะเลสาบแดนใต้)งั้นรึ”
“สำนักเต๋าใต้บาดาล.…เหรอ”
เฉินเฉียงอึ้งไปจนเผลอทวนคำถามซ้ำ
เมื่อเห็นท่าทางของเฉินเฉียง ผู้จัดการร้านก็รู้ว่าตนเข้าใจผิดก็ได้รีบถามใหม่ “โอ้ หรือว่าน้องชายเป็นศิษย์จากสำนักเต๋าดาวตกกันล่ะ”
เมื่อได้ยินคำถามที่สองนี้ เฉินเฉียงเองก็ไม่ได้คิดรีบเร่งขายกระบี่แต่อย่างใด
สำหรับเขา นี่เป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้รวบรวมข้อมูลของที่นี่ มีหรือที่เขาจะปล่อยไปง่ายๆ
“ผู้จัดการร้าน ข้าขอพูดตรงๆเลยก็แล้วกันนะว่าพวกข้านั้นมาจากนอกเมือง พวกข้ายังไม่คุ้นเคยกับที่นี่ และพวกเราก็ได้ใช้จ่ายเงินในการเดินทางไปหมดแล้ว พวกเราจึงจำใจต้องมาขายอาวุธของตนบางส่วน”
“เอ้อ ว่าแต่ผู้จัดการ ไอ้สำนักเต๋าใต้บาดาลที่เจ้าว่านั้นมันคืออะไรกัน”
“แล้วทำไมเจ้าถึงคิดว่าพวกเรามาจากสำนักเต๋ากันล่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วผู้จัดการร้านก็รู้แล้วว่าตัวเองเข้าใจผิดอย่างเต็มประตูจึงได้รีบขอโทษขอโพยแล้วรีบอธิบายออกมา “โอ้ เป็นเช่นนี้นี่เอง กับเรื่องนั้น พอดีข้าเห็นว่าน้องชายใช้แหวนเก็บของที่มีแต่ผู้บ่มเพาะเท่านั้นที่จะใช้กันได้ และน้องชายยังหนุ่มยังแน่นอยู่ข้าจึงคิดว่าพวกเจ้าสองคนมาจากสำนักเต๋าน่ะ”
ส่วนสำนักเต๋าใต้บาดาลกับสำนักเต๋าดาวตกที่ว่าก็คือสถานศึกษาที่ดีที่สุดของเมืองเฉินเหลิว ที่นั่นมีผู้บ่มเพาะอยู่อย่างนับไม่ถ้วนที่ล้วนแล้วเต็มไปด้วยผู้มากความสามารถ
ถึงแม้ผู้จัดการผู้นี้จะขายของที่เกี่ยวข้องกับผู้บ่มเพาะโดยไม่ได้เป็นผู้บ่มเพาะเลยก็ตาม แต่เขานั้นเต็มไปด้วยข้อมูลที่พร้อมจะตอบสนองต่อลูกค้า
หลังจากพูดจบ ผู้จัดการก็รับกระบี่ในมือของเฉินเฉียงมา ก่อนจะพูดต่อในระหว่างการมองดูเพื่อประเมินกระบี่ “น้องชายตัวน้อย สำนักทั้งสองในตอนนี้กำลังรับคนเข้านะ ที่นั่นเปรียบได้ดั่งวังสวรรค์ของผู้บ่มเพาะ เจ้าเองหากมีเวลาก็ควรจะลองไปดูสักหน่อยก็ดี”
ถึงแม้ผู้จัดการร้านจะไม่แนะนำ เฉินเฉียงก็ไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไปอย่างแน่นอน
นี่จะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้พวกเขาเข้าใจธรรมชาติของเขตแดนแห่งนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังเป็นสถานศึกษาอันยิ่งใหญ่ของเมืองแห่งนี้ พวกเขาย่อมต้องลองไปดู
“เคร้ง”
เจ้าของร้านได้หยิบไผ่ต้นเล็กๆมาซึ่หนึ่งก่อนที่จะฟาดลงไปบนใบกระบี่จนก่อให้เกิดเสียงกระทบขึ้นมา
“อื้มมม ไม่เลว เป็นดาบที่ดีที่เดียว” เจ้าของร้านพยักหน้าออกมาอย่างยอมรับในคุณภาพ “น้องชายตัวน้อย เจ้าต้องการขายกระบี่เล่มนี้เท่าไหร่กัน”
กระบี่นี้แม้จะไม่ใช่กระบี่ที่ดีที่สุดของเฉินเฉียง แต่ในเมื่อมนุษย์กลายพันธุ์เป็นคนหลอมสร้าง คุณภาพของมันย่อมไม่ต่ำต้อย
แต่เฉินเฉียงเองก็ไม่เคยรู้เรื่องค่าเงินของที่นี่มาก่อน แล้วเขาจะเสนอราคาที่เหมาะสมได้อย่างไร นี่จึงทำให้เฉินเฉียงทำเพียงยกมือขึ้นห้ามอย่างวางท่า ก่อนที่จะพูดออกมา “ผู้จัดการร้าน เจ้า ในเมื่อเห็นคุณภาพของกระบี่เล่มนี้แล้ว เจ้าก็เป็นคนเสนอราคามาแล้วกันว่าจะยอมจ่ายได้เท่าไหร่”
ด้วยคำพูดของเฉินเฉียงที่ผิดแผกจากคนทั่วไปอย่างมากโข ทำให้ผู้จัดการร้านคิดไปว่าเฉินเฉียงคือลูกของคนใหญ่คนโตในทันที และนี่ทำให้เขานั้นไม่กล้าจะกดราคาแต่อย่างใด
แต่หากเขาเสนอราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็น นั่นย่อมสร้างปัญหาให้กับเจ้าของร้านอย่างแน่นอน ความสูญเสียที่เกิดขึ้น เขาเองก็ไม่อาจจะยอมให้มันเกิดขึ้นได้
เมื่อคิดได้ดังนี้ เจ้าของร้านจึงได้ลองเสนอราคาดู “เอาอย่างนี้แล้วกัน ดาบนี่ถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ หากน้องชายตัวน้อยยินดีให้ข้าเป็นผู้เสนอ ข้าก็จะเสนอซื้อในราคาห้าสิบเหรียญคริสตัลม่วงแล้วกัน”
แล้วไอ้ห้าสิบเหรียญคริสตัลม่วงนี่มันเท่าไหร่ฟะ
ในเมื่อเขาไม่มีตัวเทียบเคียง เขาจะเข้าใจได้ยังไง
แต่มันก็ไม่ยากเกินกว่าที่เขาจะรับรู้ได้
-หยานเสวี่ย เจ้าไปถามพนักงานที่แผนกแผนที่ให้หน่อยสิว่าแผนที่นั่นราคาเท่าไหร่- เฉินเฉียงส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณไปหาหยานเสวี่ย
หยานเสวี่ยลอบพยักหน้าพลางเดินไปที่แผนกแผนที่เพียงลำพัง
เมื่อเห็นเฉินเฉียงเงียบไป ผู้จัดการร้านก็ได้ถามออกมาอีกครั้ง “น้องชายตัวน้อย ราคาที่ข้าเสนอเจ้าไปก็ไม่น้อยเลยนา เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ”
เฉินเฉียงยังไม่ตอบอะไรออกมาก่อนที่จะรับกระบี่คืนมาพลางทำท่าชั่งใจ ทำให้รู้สึกราวกับไม่อยากจะเสียของรักคู่กายไปกับเรื่องนี้
เมื่อเห็นท่าทางชั่งใจนี้ ผู้จัดการร้านจึงได้ถามออกมาอีกครั้ง “น้องชายตัวน้อย งั้นเอาเป็นห้าสิบ….สาม ห้าสิบสามล่ะ เจ้าคิดว่าไง”
เป็นตอนนี้ที่หยานเสวี่ยมากระซิบกับเขา “แผนที่นั่นราคายี่สิบเจ็ดเหรียญคริสตัลน้ำเงิน”
เฉินเฉียงขมวดคิ้วในทันทีก่อนที่จะส่งกระบี่ให้ผู้จัดการร้านแล้วพูดออกมา “เอาอย่างนี้แล้วกัน ผู้จัดการ ข้าต้องการขายกระบี่นี่และต้องการซื้อแผนที่นั่นด้วย ท่านคิดราคาทั้งหมดเท่าไหร่”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ผู้จัดการก็แสดงออกมาอย่างสุขใจก่อนที่จะเร่งพูดออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า ดี น้องชายตัวน้อย ในเมื่อเจ้าอยากได้สิ่งนั้นด้วย เอาเป็นข้าคิดเจ้าที่ราคาห้าสิบสามเหรียญคริสตัลม่วงเหมือนเดิมแล้วกัน ส่วนแผนที่นั่น ข้ามอบให้เจ้าเป็นของขวัญ เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ”
เมื่อเฉินเฉียงได้ยินก็นิ่งอึ้งไป
ไอ้ฉิบ….
ที่เขาจะซื้อแผนที่นั้นเป็นเพราะต้องการตัวเทียบระหว่างเหรียญคริสตัลสีม่วงกับสีน้ำเงินเท่านั้น แต่ผู้จัดการร้านกลับจะยกให้เขาฟรีๆเสียอย่างงั้น
แต่จากคำพูดของผู้จัดการแล้วเขาก็พอจะรับรู้ได้ว่าเหรียญสีม่วงมีค่ามากกว่าเหรียญสีน้ำเงินอยู่
เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงก็ได้พูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง “ผู้จัดการร้าน ข้าดูเหมือนคนที่ต้องการของเล็กๆน้อยๆจากคนอื่นๆรึไงกัน”
“กระบี่ที่ขายก็คือการขาย ส่วนแผนที่นั่นไม่ว่าจะเท่าไหร่มากน้อยเพียงใด ข้าก็ต้องการที่จะจ่ายมันไม่ขาดไม่เกินสักเหรียญเดียว”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ผู้จัดการร้านก็เร่งพยักหน้ารับและพูดออกมา “ก็ได้ก็ได้ก็ได้ ในเมื่อน้องชานตัวน้อยว่ามาเช่นนั้นข้าก็จะคิดราคาตามปกติก็แล้วกัน”
แม้เพียงจะกำไรเล็กน้อย แต่กับคนค้าขายแล้วย่อมไม่คิดปฏิเสธ
หากดูจากเทคนิคการตีกระบี่แล้ว เขาเชื่อว่ากระบี่เล่มนี้ต้องเป็นผลงานของปรมาจารย์บางคน หากเขานำไปขายต่อยังไงซะก็ต้องได้ราคาดีอย่างแน่นอน
ไม่นาน ผู้จัดการก็ได้นำแผนที่พร้อมทั้งเหรียญคริสตัลสีม่วงห้าสิบสองเหรียญและสีน้ำเงินอีกเจ็ดสิบสามเหรียญมาให้แก่เฉินเฉียง
หลังจากเฉินเฉียงได้รับแล้วก็พากันออกจากร้านไป