ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 327 พบเจอบอลเลือดปีศาจ
บทที่ 327 พบเจอบอลเลือดปีศาจ
เงาสีดำได้พุ่งออกมาจากร่างของหลี่ฉิงตรงเข้าไปยังหัวของหมูป่าเขี้ยวดาบระดับขุนพลในชั่วพริบตา
ไม่เพียงการโจมตีของหมูป่าเขี้ยวดาบจะหยุดลง แม้แต่การขยับตัวของมันก็ยังแข็งค้าง
หลังจากนั้นมันก็ร่วงลงไปกองกับพื้นในทันที
โดยปกติสัตว์ประหลาดระดับขุนพลจะมีสติปัญญาไม่ได้ต่างไปจากเด็กสิบขวบ
แต่เมื่อต้องพบเจอกับเงาดำที่ถาโถมมาตรงหน้า มันก็รับรู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้ามันนั้นน่ากลัวขนาดไหน
ถึงแม้มันอยากจะหลบมากมายขนาดไหน แต่กว่ามันจะตั้งตัวได้ก็สายเกินไป
นั่นก็เพราะเงาดำเหล่านี้ได้พุ่งตามมันราวกับมีแม่เหล็กดึงดูด ก่อนที่มันจะได้กระโดดหลบ เงาดำเหล่านี้ก็ได้เข้าไปเกาะติดกับร่างของมันแล้ว และนี่ทำให้ไม่ว่ามันอยากจะกระโดดหลบขนาดไหน มันก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะสลัดเงาดำเหล่านี้ให้หลุดไปแล้ว
นั่นก็เพราะในทันทีที่เงาดำเหล่านี้สัมผัสร่างของมัน หนุ่มสาวโดยรอบก็เห็นอย่างชัดเจนว่าผิวของหมูป่าเขี้ยวดาบที่เงาดำสัมผัสก็เหี่ยวแห้งไปในทันใด
เงาดำเหล่านี้ราวกับค้างคาวที่สูบเลือดจากขาของมันจนแห้งเหี่ยวก่อนที่จะปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง
และมันรวดเร็วอย่างที่สุด
หลังจากเงาดำเหล่านี้เริ่มทำให้ร่างของหมูป่าเขี้ยวดาบแห้งเหี่ยว ดวงตาของมันนั้นแสดงออกมาด้วยความหวาดกลัวอย่างที่สุด ก่อนที่จะค่อยๆพร่าเลือนไป และท้ายที่สุดแล้ว ร่างกายของหมูป่าเขี้ยวดาบตัวนี้ก็ค่อยๆฟีบลงประดุจดั่งลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออกไป
อีกฟากฝั่งหนึ่ง เงาดำเหล่านี้ยังคงขยับไปมาประดุจดั่งมันมีลมหายใจของตัวเอง พร้อมกับขยายตัวของมันให้ใหญ่ขึ้น และหลังจากหมูป่าเขี้ยวดาบสิ้นลม มันจึงได้ย้อนกลับไปยังมือของหลี่ฉิงและพุ่งตรงเข้าร่างกายไป
ตลอดทั้งกระบวนการต่อสู้นี้ หลี่ฉิงทำเพียงเฝ้ามองด้วยสายตาเย็นชาประดุจดั่งงูที่มีพิษร้าย รอคอยเหยื่อของมันให้ตกตายไปก่อนที่จะกลืนกิน
ไม่เคลื่อนไหว ไม่บังคับควบคุม ไม่ต้องลงมือโจมตี
ราวกับว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดเลย
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เงาดำนี้กลับเข้ามาในร่างของเขานั้น ทุกคนต่างก็เห็นได้ชัดเจนว่าคลื่นพลังของหลี่ฉิงทรงพลังยิ่งกว่าเดิม
แม้แต่ร่างกายที่ดูผอมเพรียวของเขาเองก็ราวกับมีกล้ามเนื้อขึ้นมาอีกเล็กน้อย พร้อมกับใบหน้าที่มีเลือดฝาดมากขึ้น
“ว้าวววว ช่างน่าตื่นตานัก”
ผู้คนที่ได้เห็นต่างก็โหวกเหวกโวยวายก่อนจะพุ่งตัวไปยังผู้รับสมัครของสำนักเต๋าดาวตกในทันที
“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ข้าต้องเข้าสำนักเต๋าดาวตกให้ได้”
“และแน่นอนว่าเป้าหมายคือแผนกหุ่นเชิดโลหิต”
“พอนึกว่าข้าจะได้มีวิชายุทธแบบนั้นแล้วมันทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก”
“อีกทั้งยังไม่ต้องบ่มเพาะอะไรมากมาย ตราบใดที่พวกเราสามารถฝึกฝนวิชาหุ่นเชิดโลหิตนี้ได้ พวกเราจะสามารถเพิ่มระดับยุทธได้อย่างแน่นอน”
“นายท่าน หากว่าท่านต้องการเข้าร่วมกับสำนักเต๋าดาวตกล่ะก็ โปรดเชิญทางนี้ครับ”
“แต่ข้าต้องแจ้งให้ทราบกันก่อนนะว่าศิษย์ที่จะเข้าร่วมกับแผนกหุ่นเชิดโลหิตได้นั้นต้องผ่านข้อกำหนดเฉพาะ”
“ใครก็ตามที่มีร่างกายและพลังภายในที่ไม่สอดคล้องเหมาะสม คนผู้นั้นจะต้องตกตายไปในทันที”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ทุกคนที่เฮโลไปเตรียมที่จะสมัครต่างก็นิ่งอึ้งไป “ศิษย์พี่ท่านนี้ มันเป็นเพียงการทดสอบไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพวกเราถึงกับต้องเสียชีวิตกันล่ะ”
“นายน้อยคงยังไม่รู้ ศิษย์ผู้ที่ต้องการจะเข้าร่วมกับแผนกหุ่นเชิดโลหิตได้นั้นจำเป็นต้องฝังตัวอ่อนปีศาจเข้าไปในร่าง”
“และคนคนนั้นต้องทำการสะกดข่มและทำให้มันเชื่อฟังรับใช้คนคนนั้นให้ได้ และต้องปล่อยให้มันกลืนกินแก่นโลหิตของตนอยู่ตลอดเวลา”
“หรือก็คือคนที่จะเข้าร่วมกับแผนกหุ่นเชิดโลหิตนั้นคือคนที่ละทิ้งแก่นโลหิตของตนไปแล้วนั่นเอง”
“และหากศิษย์คนใดที่มีพลังภายในและแก่นโลหิตที่ไม่เพียงพอ คนคนนั้นย่อมต้องตกตายกลายเป็นอาหารของตัวอ่อนปีศาจพวกนี้ไป ต่อให้พวกมันจะจดจำได้ว่าคนคนนั้นเป็นนายของมันแล้วก็ตาม”
“เป็นเช่นนั้นรึ ข้าคงต้องคิดดีๆอีกครั้งซะแล้ว”
นั่นก็เพราะระหว่างการเข้าร่วมแผนกหุ่นเชิดโลหิตให้ได้กับชีวิตของตน ชีวิตของตนย่อมสำคัญกว่าเป็นไหนๆ
“หยานเสวี่ย เจ้าคิดว่าไง เจ้าอยากจะลองเข้าร่วมกับแผนกหุ่นเชิดโลหิตรึเปล่า” เฉินเฉียงถามออกมาเบาๆ
“ไม่อ่ะ” หยานเสวี่ยส่ายหัวไปมาในทันทีและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นระรัว “หึ ไม่แปลกใจว่าทำไมสำนักเต๋าดาวตกถึงได้มีคนเข้าร่วมน้อยนิดนักในแต่ละปี”
“แต่คนที่เข้าร่วมได้นั้นย่อมเป็นอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ข้าเชื่อว่าหากมีคนสมัครไปร้อยคน เก้าสิบเก้าคนคงตกตายเป็นอาหารของตัวอ่อนปีศาจนั่นเป็นแน่”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับ “เจ้าพูดถูกแล้ว”
“ดูเหมือนว่าเราจะมาถูกที่แล้ว ทั้งหุ่นเชิดโลหิตและตัวอ่อนปีศาจนี่ ข้ามองมันแล้วไม่ว่ายังไงมันก็คือเลือดปีศาจที่ข้าได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้”
หยานเสวี่ยเมื่อได้ยินก็มีสีหน้าแตกตื่นในทันที “เฉินเฉียง เจ้าคงไม่คิดจะเข้าแผนกหุ่นเชิดโลหิตนี่จริงๆหรอกนะ”
“ไม่เอาน่า”
“ต่อให้เจ้าผ่านการทดสอบ แต่แค่นึกถึงว่าในร่างของเจ้ามีไอ้ของพันธุ์นี้อยู่ข้าก็แทบจะอ้วกออกมาแล้ว”
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าเข้าร่วมกับแผนกหุ่นเชิดโลหิตเด็ดขาด”
“เรามีที่นี่เพื่อทำการสืบสวนเท่านั้นไม่ใช่เหรอ เราแค่เข้าร่วมกับแผนกวิชายุทธหรือไม่ก็แผนกปรุงยาก็พอ เพียงเท่านั้นเราก็พอที่จะสอดแนมแผนกหุ่นเชิดโลหิตจากภายนอกได้แล้วนะ”
ความจริงแล้วเมื่อได้เห็นวิธีการบ่มเพาะของแผนกหุ่นเชิดโลหิตตรงหน้า เฉินเฉียงนั้นไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย และเขาเองก็ไม่ได้คิดยากจะไม่ได้รับมันมาเหมือนกัน แต่ด้วยการที่หยานเสวี่ยยื่นคำขาดออกมาว่าไม่อยากให้เขานั้นมีสิ่งน่ารังเกียจแบบนี้อยู่ในร่าง นี่ทำให้เขาเองคงทำได้เพียงปล่อยวาง
แต่มันก็จริงอย่างที่หยานเสวี่ยพูดมา หากเขาเข้าร่วมกับแผนกปรุงยา เขาก็สามารถสอดแนมแผนกหุ่นเชิดโลหิตได้อยู่ดี
“เอาล่ะ ข้าจะไม่เข้าร่วมกับแผนกหุ่นเชิดโลหิตก็ได้”
“แต่เจ้าเองต้องจดจำเรื่องที่พึ่งจะเห็นไว้ให้ดี หากเจ้าพบเจอคนที่บ่มเพาะหุ่นเชิดโลหิต เจ้าต้องรีบเร่งลงมือก่อนอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นล่ะก็เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้ข้าอยากช่วยเจ้าขนาดไหนก็คงจะสายไป”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าเองก็คงจะไม่อยากจะถูกสูบเลือดเนื้อจนเหี่ยวฟีบแฟบแบบหมูเขี้ยวดาบตนนั้นหรอกใช่รึเปล่า”
หลังจากออกมาจากสถานที่รับสมัครศิษย์ของสำนักเต๋าดาวตก ทั้งสองก็ได้เดินตรงไปยังสำนักเต๋าใต้บาดาลอย่างช้าๆ
“เฉินเฉียง บอกข้ามา ข้าจะหลบเลี่ยงจากเลือดปีศาจกลืนกินนี่ได้ยังไง”
เฉินเฉียงเองก็เดินคิดไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมา “ในมุมมองของข้า วิธีการที่ดีที่สุดก็คือการที่เจ้าฝึกฝนขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้”
“ถึงแม้ว่าขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้นี้แรกเริ่มจะมีระยะเพียงหนึ่งเมตรเป็นอย่างมาก แต่มันก็เพียงพอจะป้องกันทุกสิ่งที่ปรากฏรอบตัวของเจ้าได้ และนั่นจะทำให้เจ้าไม่ต้องสัมผัสโดนพวกมัน”
“หยานเสวี่ย ในเมื่อเจ้าเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งน้ำ เจ้าควรใช้เวลาคลุกคลีกับธาตุน้ำให้มากและลองคิดดูว่าเจ้าจะสามารถฝึกฝนเจตจำนงแห่งการต่อสู้บนเส้นทางแห่งน้ำได้ยังไง”
“ก่อนหน้าที่จะถึงตอนนั้น เมิ่งน้อยสามารถปกป้องเจ้าได้ นั่นก็เพราะเมิ่งน้อยเป็นสัตว์ประหลาดธาตุไฟที่เป็นปฏิปักษ์กับบอลเลือดปีศาจพวกนั้น”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้ลูบหัวเมิ่งน้อยไปมา เมิ่งน้อยเองก็หลับตาพริ้มอย่างสุขใจพลางเอาหน้าซุกถูไถหน้าอกของหยานเสวี่ยไปมาประดุจดั่งจะบอกว่าแม่ของมันมันย่อมเป็นคนปกป้องอยู่แล้ว ไม่ต้องมาบอก
เพียงเมื่อทั้งสองเข้าสู่เขตพื้นที่รับสมัครของสำนักเต๋าใต้บาดาล ชายหนุ่มที่เคยพูดกับทั้งสองก่อนหน้าที่จะเดินเข้าสำนักเต๋าดาวตกไปนั้นเมื่อเห็นก็เบิกตาโตก่อนที่จะรีบวิ่งเข้ามาหา
“นายน้อย คุณหนู เห็นไหมล่ะ ข้าโกหกท่านซะที่ไหนกัน”
“ไม่ต้องบอกเลยว่าทำไมคนที่จะเข้าสำนักเต๋าดาวตกนั้นถึงได้น้อยนิดนัก เอาจริงๆแล้วนอกจากแผนกหุ่นเชิดโลหิตของพวกนั้นแล้วแผนกอื่นๆก็ไม่ต่างจากขยะเลยสักนิด”
“ไม่เหมือนกับสำนักเต๋าใต้บาดาลของข้า ถึงแม้แผนกหุ่นเชิดโลหิตของพวกเราจะไม่ดีเท่า แต่ตราบใดที่ท่านทั้งสองมีความสามารถที่สูงล้ำทั้งในด้านการปรุงยา ท่านทั้งสองจะได้คุณประโยชน์มากมายในอนาคตอย่างแน่นอน และต่อให้ต้องพบเจอกับศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิต พวกเจ้าก็ไม่ต้องเกรงกลัวแต่อย่างใด”
“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีรูปงามอย่างคุณหนู หากได้เข้าร่วมกับสำนักเต๋าดาวตกไปล่ะก็ เมื่อนึกถึงว่าจากเดิมที่เป็นไข่มุกที่งดงามจะกลายเป็นไข่มุกดำที่มีพิษร้ายแล้วช่างน่าเสียดายนัก”
“ที่สำนักของเรานั้นมีผู้อัจฉริยภาพอยู่มากมาย รวมถึงผู้ที่มาจากตระกูลที่ร่ำรวย หากพวกท่านได้มาฝึกฝนบ่มเพาะที่นี่ นอกจากจะได้รับทรัพยากรบ่มเพาะที่ล้ำค่าแล้ว การได้ทำความรู้จักกับบุคคลเหล่านี้ไว้ย่อมเปรียบได้ดั่งการได้รับสมบัติที่ล้ำค่า”
เมื่อนึกถึงว่าต้องพบเจอตามสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าได้พูดไปแล้ว หยานเสวี่ยเปลี่ยนท่าทีเป็นเย็นชาในทันที
นั่นก็ไม่ได้น่าแปลกแต่อย่างใด
ไอ้หมอนี่ไม่เห็นรึไงว่าหยานเสวี่ยนั้นมีคนที่อายุไล่เลี่ยกันมาอยู่ข้างๆน่ะ
คนผู้นี้ถามสักคำว่าเขาสองคนนั้นมีความสัมพันธ์อันใดต่อกันและทำราวกับเฉินเฉียงไร้ซึ่งตัวตน
เฉินเฉียงไม่ได้แยแสกับสิ่งนี้ เขาเพียงแค่ยิ้มให้ก่อนจะไม่พูดจาออกมา
แต่กับหยานเสวี่ยนั้น เธอรู้สึกรำคาญอย่างที่สุด แต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอรำคาญชายหนุ่มปากมากผู้นี้หรือรำคาญล่วงหน้าในสิ่งที่ต้องพบเจอที่คาดเดาได้อย่างง่ายดาย เธอได้ทำการลากเฉินเฉียงพร้อมกับมืออีกข้างที่อุ้มเมิ่งน้อยเอาไว้ออกจากชายหนุ่มคนนี้ในทันที