ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 330 ผู้ติดตามอันต่ำต้อย
บทที่ 330 ผู้ติดตามอันต่ำต้อย
“พี่ใหญ่กวง”
เม่ยซิน หรือก็คือสาวงามชุดแดงได้วิ่งเข้าไปหาหลี่กวงอย่างลนลาน เธอเขย่าตัวหลี่กวงอย่างไม่หยุดพลางเรียกชื่อของเขา
ยังดีที่ผ่านไปเพียงแค่ครึ่งนาที หลี่กวงก็ได้ลืมตาขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังกองอยู่กลับพื้น จากเดิมที่เดือดดาลก็เปลี่ยนเป็นอับอาย และนี่ทำให้เขาชี้นิ้วไปที่เฉินเฉียงพลางตะคอกออกมา “ไอ้หนู นี่แกทำอะไรข้าวะ”
เฉินเฉียงได้โบกมือไปมาประหนึ่งการปฏิเสธอย่างหมดใจ “ห้ะ ข้าเนี่ยนะ ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย”
“ลองถามคนรอบๆดูก็ได้ว่าข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”
“ท่าทางของเจ้าราวกับจะจับผู้คนกินเลือดกินเนื้อขนาดนี้ ใครจะกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฉียง คนอื่นนั้นต่างก็พากันหัวเราะลั่น
“โอ๊ย ข้าขำจนจะหมดแรงตายแล้วเนี่ย”
“ตอนที่ข้าเห็นท่าทางของนายน้อยหลี่ ข้าก็นึกว่าเขาจะแสดงฝีมือออกมาซะอีก”
“ใครจะไปคิดว่าแทนที่จะแสดงฝีมือ กลับร่วงหล่นไปกองอยู่กับพื้นซะอย่างนั้น”
“ฮ่าฮ่าฮ่า นั่นเขาเรียกว่าเผิงชี (ทุบตีเครื่องลายครามเพราะนึกว่าเป็นแค่แจกันธรรมดา,ลงมือหุนหันแล้วต้องมานั่งเสียใจทีหลัง) เข้าใจกันรึเปล่า ก็ใครใช้ให้เขามาทำตัวอวดร่ำรวยที่นี่กัน ช่างเสียเวลานัก”
เมื่อเห็นว่าทุกคนที่รายรอบได้หัวเราะเยาะตนอย่างหนัก หลี่กวงก็แทบจะยากขุดรูหนีลงไปในทันที
แต่เป็นตอนนี้ที่ถึงคิวที่เขาต้องไปลงทะเบียนแล้ว
“เฮ้ย ไอ้คนนั้นนั้นน่ะ ถ้ายังคิดจะสอบเข้าก็เร็วๆเข้า ไม่อย่างนั้นจะไสหัวไปไหนก็ไปซะ”
เม่ยซินรีบดึงหลี่กวงให้ลุกขึ้นมา ก่อนที่จะเดินไปลงทะเบียนแล้วจ่ายค่าธรรมเนียม
“บอกชื่อ อายุ และค่าธรรมเนียมสองเหรียญคริสตัลม่วง”
คนลงทะเบียนถามข้อมูลออกมาโดยไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมอง
“หยานเสวี่ย 24 ปี นี่สามเหรียญคริสตัลม่วง” หยานเสวี่ยตอบออกมาอย่างไร้อารมณ์
“ฮืม ยี่สิบสี่เรอะ อายุกะ…”
เพียงแค่คนรับลงทะเบียนที่มีนามว่าหลิวเซียงได้เงยหน้าขึ้นมองก็ได้นิ่งชะงักงันก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา
“ก็เป็นชื่อที่ดีนะหยานเสวี่ยนี่ อายุยังถือว่าผ่านเกณฑ์อยู่ เอาล่ะเอาล่ะเอาล่ะ หลังจากจ่ายค่าธรรมเนียมแล้วเจ้าก็เดินเข้าไปรอตรงนั้นเพื่อรอการทดสอบล่ะ”
หลิวเซียงยืนขึ้นมาก่อนที่จะผายมือชี้ทางให้กับหยานเสวี่ยด้วยรอยยิ้ม
เฉินเฉียงได้เดินไปที่ตรงหน้า ก่อนจะวางเหรียญคริสตัลม่วงสามเหรียญไว้บนโต๊ะ
“เฉินเฉียง 23”
หลิวเซียงเลิกคิ้วขึ้นมาก่อนจะเงยหน้ามองเฉินเฉียงและส่งเหรียญคืนให้แม้จะไม่ยากก็ตาม
“ยี่สิบสามปีนั้นมันเกินเกณฑ์ไปแล้ว ทำไมเจ้าไม่ลองไปเข้ากับสำนักเต๋าดาวตกดูล่ะเพื่อเขาจะรับ”
เมื่อเฉินเฉียงได้ยินก็แทบจะแสดงความโกรธเคืองออกมา
หยานเสวี่ยอายุมากกว่าเขาหนึ่งปีแต่กลับสามารถทดสอบได้ แล้วเขาที่อายุน้อยกว่ากลับไม่ผ่านเกณฑ์เนี่ยนะ
หยานเสวี่ยที่ทำท่าจะเดินเลยไปแล้วได้หันขวับกลับมาถามในทันที “ศิษย์พี่ผู้นี้ ข้าอายุมากกว่าเขาแล้วไม่ใช่ว่าข้าไม่ผ่านเกณฑ์หรอกหรือ”
หลิวเซียงได้ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา “ไม่ไม่ เกณฑ์อายุของผู้ชายและผู้หญิงนั่นย่อมแตกต่างกัน”
“อายุของศิษย์หญิงนั้นสามารถเกณฑ์เกินได้นิดหน่อย แต่กับศิษย์ชายนั้นยังไงก็ต้องกว่ายี่สิบสอง”
“หากเป็นอย่างนั้นข้าก็คง…”
ก่อนที่หยานเสวี่ยจะได้พูดจบประโยค เฉินเฉียงก็รีบพูดออกมา “อ้อ โทษทีโทษที พอดีข้าลืมบอกท่านไปว่าข้านั้นเป็นผู้ติดตามของหยานเสวี่ย”
“ผู้ติดตาม…เหรอ” หลิวเซียงนิ่งอึ้งไปก่อนที่จะหันไปมองหยานเสวี่ย
หากพูดกันตามตรง ผู้ติดตามของศิษย์หญิงนั้นปกติมักจะเป็นสาวใช้ไม่ใช่เหรอ
แต่กลับชายหนุ่มผู้นี้แต่มาอ้างว่าเป็นผู้ติดตามของศิษย์หญิงที่งดงามนี่มัน….
ยิ่งไปกว่านั้นคือยามที่เข้าสำนัก ผู้ติดตามต้องพักอยู่กับผู้เป็นนาย
และหากเธอสามารถผ่านเข้าไปได้แล้วต้องอยู่ด้วยกัน อย่าว่าแต่สำนักเต๋าจะไม่อนุญาตเลย เพียงแค่ศิษย์ชายทั้งหลายเขาก็เชื่อว่าพร้อมจะก่อหวอดในทันทีที่ได้รับรู้
หยานเสวี่ยเองก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก่อนที่จะเข้าใจความคิดของเฉินเฉียง
ที่พวกเขาต้องการเข้าสำนักเต๋านั้นไม่ใช่เพื่อการเรียนรู้แต่เป็นต้องการหาข้อมูล ดังนั้น สถานะไหนย่อมไม่สำคัญ
“ถูกต้อง เขาเป็นผู้ติดตามของข้า”
เมื่อเห็นว่าหยานเสวี่ยนั้นเอ่ยปากยืนยัน หลิวเซียงก็ทำได้เพียงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่จะรับเหรียญคริสตัลม่วงทั้งสามไป
“ไอ้ฉิบ เขาเป็นเพียงผู้ติดตามที่ต่ำต้อยเนี่ยนะ ข้าก็นึกว่าเป็นคนใหญ่คนโตจากไหน”
“ตุ๊ยตุ๊ยตุ๊ย ข้าขอถอนคำพูดก่อนหน้านี้แล้วกัน ชายคนนี้ไม่ได้น่าเกาะแข้งเกาะขาแม้แต่น้อย”
หลี่กวงที่จ่ายเงินไปและเดินไปก่อนแล้วเมื่อได้ยินก็ได้ยืดอกของตนขึ้นมาก่อนที่จะมองเฉินเฉียงอย่างดูแคลนและสบถออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “น้องเม่ยซิน เจ้าไม่อาจจะตีค่าหนังสือเพียงแค่หน้าปกหรอกนะ เจ้าเกือบจะถูกผู้ติดตามที่ต่ำต้อยล่อลวงเข้าให้แล้ว เป็นไปได้ว่าตระกูลที่มันรับใช้อาจจะมีเหมืองแก่นวิญญาณด้วยเหมือนกัน”
เม่ยซินเองก็ได้วางมือที่หน้าอกของหลี่กวงก่อนที่จะลูบไล้ไปมาและหัวเราะเล็กน้อยแล้วพูดออกมา “พี่ใหญ่กวง นี่ท่านคิดว่าทุกคนจะรวยได้เหมือนท่านรึไงกัน”
“ทั่วทั้งเมืองนี้หากมีใครรวยกว่าท่านแล้วมีหรือที่ท่านจะไม่รับรู้น่ะ”
“เพียงแต่ข้าเสียดายเจ้าสัตว์วิญญาณตัวจ้อยนั่น มันสมควรจะอยู่กับคนร่ำรวยไม่ใช่คนต่ำต้อยเช่นนั้น ช่างน่าเสียดายนัก”
“เสียดายไปทำไมกัน มันก็แค่สัตว์วิญญาณระดับสองเท่านั้น หากว่าพวกเราได้เขาสำนักเต๋าใต้บาดาลได้เมื่อไหร่ เดี๋ยวพี่ใหญ่คนนี้จะซื้อสัตว์วิญญาณระดับสูงให้เจ้าได้เล่นเลย”
….
หลังจากผ่านไปทั้งวัน จำนวนผู้เข้าสมัครก็ได้รับการยืนยันแล้ว
“ทุกคน ข้าขอให้พวกเจ้าทุกคนสามารถเข้าร่วมกับสำนักเต๋าใต้บาดาลของเราได้”
“แต่ยังไงซะนี่ก็เป็นเพียงแค่ด่านแรกเท่านั้น”
“การที่พวกเจ้าทุกคนจะสามารถเป็นศิษย์ของสำนักเต๋าใต้บาดาลหรือไม่นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับการทดสอบในวันพรุ่งนี้”
“ในตอนนี้พวกเจ้าก็ตามพวกเราสี่คนเข้าไปที่รับรองของสำนักเต๋าใต้บาดาลกันก่อน”
“อ้อ แล้วก็ขอให้พวกเจ้าปฏิบัติตามกฎของพวกเราอย่างเคร่งครัด อย่าได้ไปแตะต้องหรือเดินไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้าหรือทำผิดกฎร้ายแรงอันใด ไม่เช่นนั้นเจ้าจะถูกตัดสิทธิ์ในทันที”
คนที่อยู่ในชุดของสำนักเต๋าคนหนึ่งได้มาพาผู้สมัครศิษย์ทั้งสี่กลุ่มเดินไปยังถนนทิศใต้
ถึงแม้จะบอกว่าสองสำนักเต๋านั้นตั้งอยู่ในเมืองเฉินหลิวก็ตาม แต่สำนักเต๋าทั้งสองก็ไม่ได้มีที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองแต่อย่างใด จะให้พูดกันตรงๆล่ะก็ควรจะบอกว่าตั้งอยู่บนภูเขาใกล้ๆมากกว่า
ศิษย์ภายในของสำนักเต๋าใต้บาดาลนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเฉินหลิว ตรงยอดเขาที่ชื่อว่าสรวงสวรรค์
และนี่ทำให้เฉินเฉียงและคนอื่นๆยังไม่ใช้ศิษย์สำนักเต๋าใต้บาดาล พวกเขาก็จะทำได้เพียงเหยียบย่างเข้าไปที่ตีนเขาเพียงเท่านั้น
แต่ที่นี่เองก็ยังมีที่ให้เข้าพักมากพอแม้แต่ห้องเดี่ยวสำหรับผู้ติดตามของทุกคนที่พามา
ด้วยการที่หยานเสวี่ยเลือกที่จะเข้าสอบในแผนกปรุงยา เพราะมันสามารถใช้ความรู้ของเฉินเฉียงช่วยเหลือได้ โดยสำนักเต๋าใต้บาดาลนี้จะมีการทดสอบเข้าเกี่ยวกับการปรุงยาในสองด้าน หนึ่งคือตัวยา อีกหนึ่งคือพลังจิต
ทางด้านพลังจิตนั้น ถึงแม้หยานเสวี่ยจะไม่ได้แกร่งกล้าบ้าคลั่งแบบเฉินเฉียง แต่หากเทียบกับพวกหน้าใหม่แล้วเธอย่อมไม่ต้องกังวล
ส่วนด้านตัวยา แม้แต่เฉินเฉียงจะไม่มั่นใจในเรื่องนี้แต่เขาก็ยังปล่อยให้หยานเสวี่ยฉายเดี่ยว
เพราะเขามีความรู้สึกว่าโลกปีศาจนี้มีความคล้ายคลึงกับโลกมาก
และต่อให้เธอไม่ผ่าน อย่างมากเขาก็ให้เธอไปสอบเข้าแผนกวิชายุทธก็เท่านั้น
ทั้งสองได้ทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนที่จะออกไป
สำนักเต๋าใต้บาดาลนี้เกรงว่าศิษย์บางคนจะตัดสินใจผิดพลาดในการเลือกลงแผนก และต้องการให้พวกเขาผ่อนคลายจะได้ไม่ทำพลาดไปซะหมด จึงได้เปิดให้มีโอกาสแก้ตัวแบบนี้
และหากเฉินเฉียงต้องการที่จะทดสอบเข้าแผนกวิชายุทธ หยานเสวี่ยย่อมสบายใจกว่าอย่างแน่นอน
หลังจากพูดคุยกันผ่านกำไลสื่อสารเสร็จสิ้น เฉินเฉียงก็ได้นั่งขัดสมาธิในห้องและฝึกฝนเคล็ดวิชาภาพวาดห้วงสมุทรในทันที
นี่กลายเป็นงานอดิเรกของเขาไปแล้ว
ตราบใดที่เขามีเวลา เขาก็จะฝึกฝนเคล็ดวิชานี้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังจิตของเขาและเป็นการขยายขอบเขตของขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขา
นับจากที่เขาออกมาจากเขตแดนจักรพรรดิ ในตอนนี้ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขาขยายออกเป็นสามเมตรแล้ว
ถึงแม้มันจะดูช้าเชื่องแต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ตราบใดที่เขายังคอยหมั่นเพียร เขาเชื่อว่าในสักวันหนึ่ง เขาจะสามารถทำให้ครอบคลุมโลกใบเล็กของเขาได้ทั้งโลก