ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 344 ผู้มาเยือน
บทที่ 344 ผู้มาเยือน
“เอาน่ะ อย่าพึ่งไปสนใจเรื่องนั้นในตอนนี้เลย”
หยานเสวี่ยพูดออกมาในขณะที่ดวงตายังแดงก่ำ ก่อนที่จะนำยาฟื้นฟูออกมาจากแหวนของตนส่งให้กับเฉินเฉียง
“ในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เจ้าต้องทำนั้นก็คือการรักษาอาการบาดเจ็บของเจ้า ส่วนเรื่องอื่นไม่ต้องกังวล ข้าจะปกป้องเจ้าอยู่ที่นี่”
เมื่อพูดจบ หยานเสวี่ยก็ได้ออกไปข้างนอก ก่อนที่จะปิดประตูลงแล้วนั่งจังก้าอยู่หน้าประตู
เฉินเฉียงถอดถอนลมหายใจก่อนจะพูดออกไปหาหยางเสวี่ยที่หน้าประตู “หยานเสวี่ย เจ้าอยู่ในสถานะเจ้านายของข้าแล้วมานั่งจังก้ามาปกป้องผู้ติดตามของตนเนี่ยนะ นี่จะยิ่งทำให้คนอื่นสงสัยเอานา”
“ยังมีหน้ามาพูดอีก”
หยานเสวี่ยพูดออกมาอย่างค่อนแคะ “ไม่ว่าใครก็ตามที่กล้าเข้ามาที่ห้องเจ้ามาแต่เพียงครึ่งก้าว ข้าจะฆ่ามัน”
“เรื่องอื่นไม่ต้องสน เจ้าแค่รักษาตัวเองไปเท่านั้นก็พอ”
เมื่อเห็นว่าหยานเสวี่ยยังคงดื้อรั้นที่จะทำ เฉินเฉียงก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาปิดตาลงก่อนที่จะดูดซับผลของยาฟื้นฟู
ในตอนนี้ อาการบาดเจ็บของเขาดีขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างน้อยๆเขาก็คงจะทำอะไรได้คล่องตัวขึ้น ส่วนเรื่องที่ว่าจะทำอะไรต่อหลังจากนี้ค่อยว่ากันอีกที
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิดไว้
เพียงสองวันผ่านไป สำนักเต๋าใต้บาดาลก็ได้เกิดเรื่องขึ้น
“ทุกคนในสำนักเต๋าใต้บาดาลจงฟัง ทั้งศิษย์และผู้ติดตามให้มารวมกันที่ลานกว้างปู่เซียน”
“หากใครไม่มาจะถูกสังหาร”
เสียงที่ดังลั่นจนราวกับจะสะเทือนผืนฟ้าผืนดินได้ดังก้องเขาเทียมฟ้าแห่งนี้ และนี่ทำให้เหล่าศิษย์แห่งสำนักเต๋าใต้บาดาลต่างก็รีบกุลีกุจอมายังที่ลานกว้างกันไปหมด
บนฝากฟ้านั้นมีสิบร่างได้ยืนตระหง่านพร้อมจิตสังหารที่ปลดปล่อยออกมา
“ศิษย์พี่ คนพวกนี้เป็นใครกันทำไมถึงกล้ามาออกคำสั่งทั้งๆที่ไม่ใช่ผอ.ของพวกเรา”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาเป็นใคร แต่การที่สามารถยืนบนอากาศได้แบบนี้แน่นอนว่าพวกเขานั้นย่อมเหนือกว่าผอ.ของพวกเราซะอีก”
“ข้าเคยเห็นผอ.ของพวกเราบินบนฟ้ามานับครั้งไม่ถ้วน แต่หากต้องยืนนิ่งบนอากาศแบบนี้….มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้อยู่ในระดับราชาทั่วไปจะทำได้”
“เท่าที่ดู ข้าว่าพวกเขาอย่างน้อยต้องอยู่ในระดับมหาราชา”
“มหาราชารึ ศิษย์พี่ ข้าได้ยินมาว่ามหาราชาทั้งหมดในโลกปีศาจนั้นมีเพียงสิบกว่าคน แถมพวกเขาล้วนแล้วอยู่ภายใต้วิหารศักดิ์สิทธิ์นี่นา”
“อืม นั่นน่าจะเป็นไปได้มากทีเดียว แต่วิหารศักดิ์สิทธิ์เองก็ลึกลับยิ่งนัก นี่ยิ่งน่าแปลกเข้าไปใหญ่ที่พวกเขามาปรากฏตัวในเมืองที่ห่างไกลของพวกเราแบบนี้”
“ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีเรื่องใหญ่เสียกระมัง”
เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยต่างก็รับรู้คำพูดของผู้คนได้เป็นอย่างดี
“หยานเสวี่ย คนพวกนี้นั้นมาหาข้า พวกเราออกไปกันเถอะ”
เฉินเฉียงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงพลางเปิดประตูด้วยใบหน้าที่ซีดเสียว
หยานเสวี่ยรีบหยุดเฉินเฉียงไว้ในทันที “เจ้าจะไปทำไมกัน เจ้ารออยู่ที่นี่แหละ ข้าอยากรู้นักใครจะกล้าเข้ามา”
เมื่อเห็นแบบนี้ เฉินเฉียงหัวเราะออกมาเบาๆก่อนส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณไปหาหยานเสวี่ย -หยานเสวี่ย คนพวกนี้อยู่ในระดับเทียบเท่าราชาจอมพล พวกเราไม่อาจสู้กับคนพวกนี้ได้ในตอนนี้-
-ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนที่ข้าออกไป ข้าปลอมแปลงรูปลักษณ์ของตนเองตลอด และตอนที่ข้าไปเจอพวกมันข้าได้อยู่ในคราบของหลิวฉางเชิง บรรณารักษ์คนนั้น-
-เจ้าเองก็ต้องกักเก็บคลื่นพลังให้ดีล่ะ อย่าให้พวกมันรู้ได้ว่าเจ้านั้นมีระดับการบ่มเพาะระดับใด ไม่อย่างนั้นไอ้พวกนั้นคงจะสงสัยและสร้างปัญหาให้เราเป็นแน่-
หยานเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจก่อนที่จะเดินไปพยุงเฉินเฉียงแล้วพยักหน้ารับ “อย่าได้กังวล ข้าจะระวังตัวในเรื่องนี้”
“อย่ามาพยุงข้าสิ หากใครเห็นเข้าเดี๋ยวก็ถูกสงสัยหรอก จำไว้ว่าตอนนี้ข้าเป็นเพียงผู้ติดตามของเจ้าเท่านั้น มีเจ้านายที่ไหนมาพยุงผู้ติดตามแบบนี้กันล่ะ”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ออกจากห้องไปเพียงลำพัง
ในขณะเดียวกัน มหาราชาทั้งสิบคนในตอนนี้ยังคงอยู่ตระหง่านอยู่กลางท้องฟ้าพลางสังเกตทุกการเคลื่อนไหวทั้งหมดในสำนักเต๋าใต้บาดาล
สำหรับศิษย์ภายนอกนั้น แทบจะทุกคนเรียกได้ว่าเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาเท่านั้น ระดับการบ่มเพาะที่สูงสุดเองก็เป็นเพียงผู้อยู่ในระดับนายพลเพียงเท่านั้น ย่อมไม่ใช่หัวขโมยแห่งภูเขาโรคาที่พวกเขาตามหา เอาจริงๆแม้แต่ผู้ที่เป็นศิษย์ภายในเองก็ยังหาได้เทียบเท่าไม่
ในตอนนี้ที่ผอ.ฉีได้ออกจากห้องและพุ่งตรงไปหามหาราชาทั้งสิบ
มหาราชาทั้งสิบที่ปรากฏตัวออกมานี้ ต่อให้เขาต้องเอ่ยถามก็รับรู้ได้ว่าพวกเขานั้นมาจากวิหารศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย
ทั่วทั้งโลกปีศาจนั้น มีเพียงวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้อยู่ในระดับมหาราชาในสังกัด เพราะที่นั่นได้รวบรวมอัจฉริยะทั่วทั้งแผ่นดินไว้ที่นั่น
นี่ทำให้ผอ.ฉีไม่กล้าที่จะอืดอาดยืดยาดและเร่งบินไปหาผู้นำของคนทั้งสิบ
ผอ.ฉีนั้นเป็นเพียงราชาขั้นสูง เขาย่อมไม่อาจจะลอยตัวอยู่ในอากาศได้นานนักเฉกเช่นมหาราชาทั้งสิบ เขาทำได้เพียงปลดปล่อยพลังฟ้าดินในร่างให้คอยพยุงตัวไว้ในอากาศเพียงเท่านั้น
“ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าผู้อาวุโสมาจากวิหารศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ”
ชายวัยกลางคนท่าทางไม่เป็นมิตรได้มองไปที่ผอ.ฉีปราดหนึ่ง กอ่นจะพูดบางอย่างออกมาอย่างไร้อารมณ์ “เจ้าคือผู้ดูแลสำนักเต๋าใต้บาดาลงั้นรึ เรียกผู้บ่มเพาะของสำนักเจ้าออกมาให้หมด”
ผอ.ฉีรับโค้งรับคำสั่งอย่างเคารพก่อนจะหันหน้าไปตะโกนออกมาอย่างดังลั่น “ศิษย์สำนักเต๋าใต้บาดาลจงฟัง วางทุกอย่างในมือแล้วออกมาต้อนรับเหล่าผู้อาวุโสผู้คัดเลือกแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์เดี๋ยวนี้”
เมื่อได้ยินคำสั่งผอ.ของตน ทุกคนต่างเร่งรีบหลั่งไหลออกมายังลานกว้าง
แม้แต่ศิษย์ที่เก็บตัวบ่มเพาะ ในตอนแรกแม้จะได้ยินมหาราชาทั้งสิบตะโกนออกมา พวกเขานั้นก็ไม่ได้แยแส
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของผอ.ฉีที่บอกกล่าวว่าคนทั้งสิบคือผู้อาวุโสแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ นี่ก็ทำให้พวกเขาไม่อาจเมินเฉิน แถมยังต้องการจะเสนอหน้าของตนไปพบเหล่าผู้อาวุโสแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ด้วยซ้ำ ต่อให้ตัวเองต้องเจ็บปวดจากการถูกขัดจังหวะในการบ่มเพาะก็ตาม
ผอ.ฉีได้มองที่ศิษย์ในสำนักของตนที่อยู่เบื้องล่างอย่างพึงพอใจก่อนจะพยักหน้ารับและพูดออกมา “เรียนท่านผู้อาวุโสผู้คัดเลือก ศิษย์ในสำนักทั้งหมดในสำนักเต๋าใต้บาดาลของข้าออกมาครบแล้ว เชิญท่านโปรดพิจารณา”
แต่กระนั้น ผู้นำเหล่าผู้อาวุโสกลับตอบกลับด้วยสายตาที่เย็นชาปราดหนึ่ง
“ผอ. คนของเจ้าออกมาหมดแล้วรึ”
ผอ.ฉีที่ไม่เข้าใจในความหมายของประโยคนี้ก็เร่งรีบพยักหน้ารับ “ใช่แล้วครับ ท่านผู้อาวุโสผู้คัดเลือก ศิษย์ของสำนักเต๋าใต้บาดาลของข้านั้นต่างก็มารวมตัวกันที่นี่จนหมดสิ้นแล้ว”
“หลิวฉิงของสำนักเรานั้นถึงแม้ว่าจะพึ่งเข้าสำนักมาได้เพียงสามปี แต่เขาเองก็มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับนายพลเรียบร้อยแล้ว”
“ในส่วนของแผนกปรุงยา ลูกศิษย์โม่หยานเองแม้จะติดอยู่ในระดับของนักปรุงยาระดับสามมาสองปี แต่ตอนนี้เขาก็สามารถข้ามขั้นได้จนกลายเป็นศิษย์ที่มีความสามารถโดดเด่นคนหนึ่งของสำนัก”
“แล้วก็ยังมี….”
ผอ.ฉีนั้นคิดว่าผู้อาวุโสแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้านั้นมาในฐานะผู้คัดเลือกเพื่อเลือกศิษย์ที่มีความสามารถโดดเด่นของสำนักไปเข้าร่วม จึงเป็นธรรมดาที่เขาต้องเสนอชื่อผู้มีความสามารถโดดเด่นของสำนัก
แต่ในขณะที่เขากำลังบรรยายสรรพคุณของศิษย์ที่โดดเด่นอยู่นี้ ผู้นำของเหล่ามหาราชาก็ได้ยกมือขึ้นห้ามปรามให้เขาหยุดพูด
“น้องสี่ ไปหาดูสิว่ามีใครยังหลบซ่อนตัวอยู่อีกหรือไม่”
“ครับ พี่ใหญ่”
ชายจมูกเหยี่ยวที่อยู่ในวัยกลางคนได้ตอบรับอย่างนอบน้อมก่อนที่จะปลดปล่อยพลังจิตของตนกวาดไปทั่วหุบเขาเทียมฟ้าแห่งนี้
ชายที่ถูกเรียกว่าน้องสี่นี้แม้จะเป็นมหาราชาขั้นต้น แต่พลังจิตของเขานั้นก็ยังอ่อนด้อยกว่าเฉินเฉียงหลายเท่าตัว
นี่ทำให้เขานั้นต้องบินไปทั่วถึงจะสามารถตรวจสอบได้
แต่ถึงอย่างนั้น พลังจิตของเขาก็สูงกว่าคนทั่วไปนับสิบเท่าเช่นกัน
ผอ.ฉีมองไปยังผู้อาวุโสที่ถูกเรียกว่าน้องสี่นี้ด้วยท่าทางตกตะลึง หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ได้หยุดฉงัก ก่อนที่จะหันหน้ามาหาผอ.ฉีด้วยสายตาที่ดูดุร้ายอย่างน่าประหลาดใจ