ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 347 ความเย็นชาของเจ้าหญิง
บทที่ 347 ความเย็นชาของเจ้าหญิง
หากว่ากันตามตรงแล้ว ไอ้การรักษาอาการบาดเจ็บของเฉินเฉียงนั้น วิธีการฟื้นฟูที่ดีที่สุดไม่ใช่การกินยูกยาที่ไหน
แต่ด้วยการที่หยานเสวี่ยเฝ้าเขาอย่างไม่ห่างอยู่หน้าประตู แล้วเขาจะออกไปใช้วิธีนั้นรักษาได้ยังไงกัน
นี่จึงทำให้เฉินเฉียงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้นคือหยานเสวี่ยเองนั้นก็อยู่ในแผนกปรุงยาแห่งสำนักเต๋าใต้บาดาล แต่เธอนั้นกลับไม่สามารถปรุงยาได้ หากอยู่ไปเรื่อยๆอย่างนี้ได้ก็คงแปลกพิลึก
สำหรับหยานเสวี่ยนั้น เธอยินดีทำทุกอย่างให้เฉินเฉียงนั้นดีขึ้น
ต่อให้เธอไม่เคยรู้เรื่องการปรุงยามาก่อนเลยก็ตาม
ตราบใดที่มันทำให้เฉินเฉียงดีขึ้นได้ ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟเธอก็จะทำ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเธอรีบทำตามคำบอกของเฉินเฉียงในทันที
หลังจากผ่านการเยี่ยมเยือนของผู้คุมกฎของวิหารศักดิ์สิทธิ์มานั้นทำให้เหล่าศิษย์ภายนอกทั้งหลายของสำนักเต๋าใต้บาดาลตกอยู่ในความรู้สึกที่แรงกล้า และส่วนใหญ่แล้วจะขวนขวายในการบ่มเพาะของตนและตกอยู่ในสภาพเงียบงัน
แต่ด้วยการปรากฏตัวของหยานเสวี่ยทำให้ใครหลายๆคนที่ไม่ได้มีความคิดนี้เริ่มมีชีวิตชีวา
ในฐานะที่เจ้าหญิงหิมะผู้นี้เป็นหนึ่งในดอกไม้งามเพียงสองดอกของเหล่าศิษย์ภายนอก ถึงแม้ว่าหยานเสวี่ยนั้นจะวางตัวเย็นชามาโดยตลอดจนทำให้รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกยามพบเจอก็ตาม
แต่นางไม่เหมือนกับเม่ยซินที่มีหลี่กวงคอยเดินตามอยู่ไม่ห่างกายจึงทำให้ยากที่จับจ้อง
ด้วยการที่หยานเสวี่ยนั้นมีเพียงผู้ติดตามของเธอที่ไม่อาจจะพาเข้ามาเดินด้วยได้ นี่ทำให้ในทุกครั้งที่เธอมาถึง ผู้คนมากมายต่างก็คิดไปไกลอย่างไม่หยุดยั้งเมื่อได้พบเห็น
ยังไม่รวมถึงการที่เธอนั้นน้อยครั้งที่จะออกมาจากที่พักทั้งๆที่เป็นศิษย์ใหม่นี่อีก
“เฮ้ เจ้าเห็นสาวงามสุดยอดงามตรงนั้นรึเปล่า นั่นใช่ศิษย์ใหม่ของแผนกปรุงยา หยานเสวี่ยใช่ไหมนั่น”
“แล้วไง เจ้าไม่ได้ยินหรอกเหรอที่ว่าหลิวเซียงจับจ้องนางอยู่น่ะ ไม่ต้องคิดให้มากความไปเลย มองมากๆเดี๋ยวจะกลายเป็นงานเข้าเอา”
“จิ๊จิ๊จิ๊ หากว่าศิษย์พี่หลิวเซียงคว้านางเอาไว้ได้จริงล่ะก็จะปล่อยให้มาเดินอยู่แบบนี้รึไง ฟานเซี๋ยน กับสาวงามเช่นนี้น่ะนะย่อมมีความถือตัวอยู่อย่างที่สุด ใครจะรู้ ไปๆมาๆนางอาจจะรอคอยคนเช่นข้าอยู่ก็ได้นา”
“จางซง ไอ้ตัวฝันกลางวันเอ๊ย”
“หากเจ้าคิดเช่นนั้นก็เชิญรีบเสนอหน้าเข้าไปหานางได้เลยไป๊”
จางซงผู้ที่พึ่งจะเข้ามาเป็นศิษย์ในปีนี้เช่นเดียวกันก็ได้จับจ้องไปที่หยางเสวี่ยที่อยู่ไกลๆอย่างไม่วางตา และเดินเข้าไปหาเธอในทันที
“โย่ว นี่มันพี่สาวหยานเสวี่ยไม่ใช่เหรอ อะไรที่ทำให้ท่านมาที่นี่ในวันนี้ได้กัน แล้วท่านคิดจะไปไหนล่ะ”
จางซงได้กล่าวทักทายหยานเสวี่ยมาแต่ไกล แต่หยานเสวี่ยก็ไม่ได้หันไปหาเขาแต่อย่างใด
แต่เมื่อคิดถึงเหตุผลที่มาที่นี่แล้ว เธอเองก็ลืมถามเฉินเฉียงไปเลยว่าที่ขายสมุนไพรนั้นอยู่ตรงไหน
นี่จึงทำให้เธอไม่มีทางเลือกทำได้เพียงหยุดเดินและหันไปถามด้วยท่าทางที่ราวกับไม่อยากจะเอ่ยนัก “ข้าต้องการซื้อสมุนไพรบางตัว ที่ซื้อสมุนไพรอยู่ที่ไหน”
จางซ่งแต่เดิมที่ต้องการหาโอกาสพูดคุยอยู่แล้วนั้น เขาไม่คิดว่าหยานเสวี่ยจะตอบคำถามของเขาออกมาแบบนี้ นี่ทำให้ใจของเขาเองนั้นก็อดที่จะลิงโลดเสียมิได้ แต่เขาเองก็ยังพยายามเก็บอาการจนราวกับคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่หลุดออกมาจากชนชั้นสูงสักตระกูลหนึ่งก็ไม่ปาน
“พี่หญิงหยานเสวี่ยต้องการซื้อสมุนไพรเช่นนั้นรึ หากพี่หญิงไม่ว่าอะไรข้าก็ขออาสานำทางให้ท่าน ข้าเองก็มีตัวยาบางตัวที่ต้องการใช้เหมือนกัน”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หยานเสวี่ยก็พยักหน้ารับเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าจางซงได้เดินนำพาดอกไม้งามไปในทิศทางหนึ่งโดยที่มีสาวงามเดินตามไปนั้น จางซงก็ส่งสายตายียวนใส่เพื่อนของตนที่พูดคุยกันอยู่เมื่อครู่ไปหยิบตาหนึ่ง ก่อนที่จะพาหยานเสวี่ยเดินลับไปจากครรลองสายตา
นี่ทำให้คนที่พูดคุยกับจางซงเมื่อครู่แล้วไม่คิดว่าจางซงจะเอาจริง แล้วหยานเสวี่ยดันยอมพูดคุยด้วยแล้วพากันหายไปต่อหน้าต่อตาเขาแบบนี้แล้วก็อดที่จะก่นด่าตัวเองเสียมิได้
“ไอ้ฉิบหาย รู้อย่างนี้ข้าเขาไปถามเองตั้งแต่เห็นนางแล้ววุ้ย”
และด้วยการที่มีผู้นำทาง นี่ช่วยทำให้หยานเสวี่ยประหยัดเวลาไปได้อย่างมาก
จะเสียก็อย่างเดียวคือนางต้องฟังจางซงพร่ำพูดอย่างไม่รู้เหนื่อยตลอดการนำทาง
“พี่หญิงหยานเสวี่ย ท่านเองคงไม่ใช่คนของเมืองเฉินหลิวนี่ใช่รึเปล่า หากไม่อย่างนั้นล่ะก็ ด้วยความงามของท่านนั้นต้องเป็นที่เรื่องลือไปทั่วทั้งเมืองแล้ว”
“พี่หญิงหยานเสวี่ย ท่านต้องเป็นผู้มีความรู้ในเส้นทางปรุงยาที่สูงล้ำเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่คิดจะหาตัวยาไปปรุงยาอย่างรวดเร็วเช่นนี้”
“พี่หญิงหยานเสวี่ย ข้า จางซงนั้นคร่ำหวอดในการปรุงยามาตั้งแต่เล็กแต่น้อย และข้าเองก็มั่นใจในฝีมือของข้าอยู่ไม่น้อย หากมีสิ่งใดที่ท่านไม่เข้าใจ ท่านสามารถมาถามข้าได้ทุกเมื่อเลยนะ”
“…..”
หยานเสวี่ยในตอนนี้แทบจะกัดฟันทนเสียงเจื้อยแจ้วของจางซงจนเผลอกำหมัดเลยก็ว่าได้ จนในที่สุด เธอก็มายังสหกรณ์การค้าของสำนักเต๋าใต้บาดาล
สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่เพียงหนึ่งเดียวในสำนักที่ขายสิ่งของต่างๆมากมายที่เกี่ยวข้องกับทุกแผนก สถานที่แห่งนี้มีของมากมายเป็นอันดับสองของเมืองเฉินหลิวเลยก็ว่าได้ ด้วยสหกรณ์แห่งนี้ เหล่าศิษย์นอกทั้งหลายแทบไม่ต้องออกไปซื้อหาสิ่งของในเมืองเลยด้วยซ้ำ
“พี่หญิงหยานเสวี่ย หากท่านต้องการสิ่งใดล่ะก็ เพียงแค่ท่านเอ่ยนามตระกูลจางของข้า นั่นจะทำให้ท่านได้รับส่วนลดอย่างมาก แถมมันยังทำให้ท่านสามารถเข้าถึงสินค้าบางอย่างได้เหมือนกัน เอาอย่างนี้แล้วกัน หากท่านต้องการสิ่งใดในวันนี้ท่านเชิญหยิบได้เลย ของของท่านในวันนี้ข้าจะเป็นคนจัดการเอง ถือซะว่าเป็นของขวัญรับขวัญท่านเข้ามาที่นี่แล้วกัน”
คำพูดของจางซงนี้ไม่ได้ทำให้หยานเสวี่ยรู้สึกอะไรแม้แต่น้อย แต่ไม่ใช่กับผู้ดูแลสหกรณ์แห่งนี้
เมื่อเขาได้ยินคำอวดอ้างที่จางซงพูดออกมาแสดงความร่ำรวยนี้ นี่ทำให้เขานั้นอดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากของตน ราวกับกำลังจะได้รับเงินก้อนโต ก่อนที่จะมองไปยังหยานเสวี่ยที่อยู่ข้างหลังจางซงอย่างอดเสียมิได้
สำหรับเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์แบบนี้แล้ว พวกเขานั้นยากที่จะเดินออกไปจากนอกตึกของตน จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่ได้รับรู้เรื่องราวของศิษย์ใหม่ที่เข้ามา รวมถึงการที่ไม่รู้จักหยานเสวี่ย
แต่อย่างน้อยๆเขาก็ได้รับฟังเรื่องราวความงามของเธอมาบ้าง และนี่ทำให้เพียงเขาเห็นหยานเสวี่ยในตอนแรกก็พอจะรู้ได้ว่าเธอนั้นคือศิษย์ใหม่ที่ทุกคนกล่าวถึง
นี่จึงให้เจ้าหน้าที่นั้นเมินเฉยต่อจางซง และเผยท่าทางราวกับหมูที่เห็นอาหารอันโอชะออกมาแล้วถามออกไป “น้องสาวท่านนี้คงเป็นศิษย์ใหม่สินะ แล้วเจ้าต้องการสิ่งใดกัน”
หยานเสวี่ยเองก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนกับท่าทางนี้ เพราะสำหรับเธอแล้ว ท่าทางของจางซงที่นำพาเธอมาตลอดทางนั้นน่ารำคาญยิ่งกว่า เธอได้เอ่ยถามออกมา “ข้าต้องการโสมร้อยปีห้าร้อยต้น มีหรือไม่”
“โสมร้อยปีห้าร้อยต้นรึ มีๆๆ” เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วคนขายย่อมต้องดีใจเป็นธรรมดา แต่ก็ยังแสร้งถามออกมาแสดงความลำบากใจในเรื่องนี้ “น้องสาว พวกเรานั้นมีโสมกองเป็นภูเขา แต่ด้วยสภาพพื้นที่นี้ทำให้ราคามันไม่น้อยเลย แถมเจ้านั้นยังต้องการจำนวนห้าร้อยต้นอีก อย่างน้อยๆมันก็มีมูลค่ากว่าหนึ่งพันเหรียญม่วงเลยนา”
“หนึ่งพันเหรียญม่วงรึ ไม่มีปัญหา น้องชาย ไม่ใช่ว่าเจ้านั้นเสนอที่จะจ่ายค่าของให้ข้างั้นรึ”
เมื่อพูดจบ หยานเสวี่ยก็หันไปสบตามองจางซงที่อยู่ข้างๆประหนึ่งดั่งการมองอากาศธาตุ
ถึงแม้ครอบครัวของจางซงจะไม่ได้อ่อนด้อย แต่ครอบครัวของเขาก็ยังเทียบไม่ได้กับหลี่กวง
แล้วไอ้การต้องจ่ายเงินกว่าหนึ่งพันเหรียญม่วงนี้ ต่อให้เขาขายตัวไปก็ยังหาไม่ได้ด้วยซ้ำ
“เอ่ออออ นี่…. พี่หญิงหยาน สิ่งที่พี่สาวหยานต้องการคือโสมมากมายนี่จริงๆรึ”
“เอ้ออออน้องชายผู้นี้พึ่งจะนึกได้ว่ามีเรื่องที่ต้องไปเรียนรู้เพิ่มเติมก่อนจะซื้อหาสิ่งของ เอาเป็นว่าไว้โอกาสหน้าข้าจะหาเวลามาพูดคุยกับท่านใหม่นะ”
เมื่อพูดจบ จางซงก็จรลีลี้หนีหายไปในบัดดล
“หึหึหึ ไอ้เด็กยาจกนี่มาที่นี่เพียงเพื่อมาทำตัวขายหน้าต่อหน้าสาวสวยเนี่ยอ่ะนะ ช่างน่าขันนัก” พนักงานขายบ่นอุบในทันทีก่อนที่จะหันไปหาหยานเสวี่ยแล้วถามออกมา “น้องสาว เจ้าต้องการสิ่งใดบ้างโปรดบอกข้ามา แล้วข้าจะคิดราคาให้เจ้าไม่แพงนัก”
“ข้างต้องการ.…”
ก่อนที่หยานเสวี่ยจะได้พูดออกมาจนจบประโยค เสียงหนึ่งก็ได้ดังมาจากด้านหลังของเธอ
“เสี่ยวหลูไจ๋ หากศิษย์น้องหยานเสวี่ยต้องการจะซื้อสิ่งใด เจ้าก็ให้นางไปได้เลย แล้วข้าจะมาจัดการเรื่องเงินให้นางทีหลัง”
“เหอเหอเหอ กระยาจกอีกหนึ่งปรากฏตัวสินะ”
เสี่ยวหลูไจ๋แม้จะพูดออกมาแบบนั้น แต่เมื่อเขาได้เห็นว่าเป็นใครที่เป็นผู้พูด ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไป