ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 349 ภารกิจ
บทที่ 349 ภารกิจ
เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉียงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมา
ดูเหมือนว่าด้วยนิสัยของหยานเสวี่ยแล้วจะไม่เหมาะกับการปรุงยาจริงๆ
“ช่างมันก็แล้วกันหยานเสวี่ย เจ้าไม่ต้องลองปรุงยาแล้วล่ะ”
“ไม่ ข้าทำได้ ยังไงข้าก็ต้องทำให้ได้” หยานเสวี่ยยังคงหยิบชุดปรุงยาที่เฉินเฉียงแบ่งไว้ออกมาก่อนจะพูดด้วยท่าทางที่ราวจะร้องไห้ “อาการบาดเจ็บของเจ้านั้นมันหนักมาก ข้าต้องปรุงยาฟื้นฟูให้ได้ เจ้าจะได้หายเร็วๆ”
“หยานเสวี่ย ฟังข้าก่อน”
เฉินเฉียงกุมมือของหยานเสวี่ยเอาไว้ก่อนที่จะยิ้มแล้วพูดออกมา “ให้พูดกันตรงๆแล้ว ข้านั้นแม้จะตกอยู่ในสภาพนี้ก็ยังปรุงยาได้ แต่ข้าเพียงแค่ต้องการสอนเจ้าให้รู้การปรุงยาไว้เพียงเท่านั้น”
“ยังไงซะตอนนี้เจ้าเองก็ถือว่าเป็นศิษย์ของแผนกปรุงยา หากเจ้าไม่เข้าใจเลยมันก็ไม่ควรใช่รึเปล่าล่ะ”
“และในเมื่อเจ้าเองก็ไม่ได้มีความสนใจในเรื่องนี้ จะดีกว่าหากเจ้าไม่ต้องฝืนนะ”
“แต่อาการบาดเจ็บของเจ้านั้นหนักขนาดนี้แล้วเจ้าจะปรุงยาได้ยังไง”
“การปรุงยาฟื้นฟูมันไม่ได้ยากเย็นอะไรนี่นา มันก็เหมือนที่ข้าบอก เพียงแค่ใส่ส่วนผสมในเตาปรุงยาแล้วควบคุมไฟนิดๆหน่อยๆก็ใช้ได้แล้ว”
“ถึงแม้ว่าอาการบาดเจ็บของข้าจะดูหนัก แต่มันก็ไม่ได้มีผลในการควบคุมพลังจิตของข้าสักหน่อย นับประสาอะไรกับการปรุงยาแค่นี้”
เมื่อได้ยินดังนั้น หยานเสวี่ยก็ได้โยนส่วนผสมลงเตาปรุงยาไป ก่อนที่จะปลดปล่อยกระแสจิตของเธอเข้าไปในเตา ก็ได้เห็นว่าเฉินเฉียงควบคุมสมุนไพรต่างๆในเตาปรุงยาอย่างช้าๆจนเหลือเพียงของเหลว
ขั้นตอนถัดไปคือการขึ้นรูป ขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับทักษะในการควบคุมล้วนๆ
เพียงผ่านไปแค่ครึ่งชั่วโมง หยานเสวี่ยก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงได้ปรุงยาออกมาสองเม็ดเป็นที่เรียบร้อย
“ดูสิ ง่ายจะตายไป”
เฉินเฉียงเผยรอยยิ้มก่อนที่จะโยนเม็ดยาที่กำลังอุ่นๆเข้าปากไป
เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงปรุงยาขึ้นมาอย่างง่ายดาย นี่ทำให้หยานเสวี่ยบังเกิดใบหน้าที่แดงจัดอย่างอับอาย เธอเลยไปหยิบชุดปรุงยาอื่นเพื่อเตรียมจะโยนลงเตาไปแก้เก้อ
“หยานเสวี่ย ไม่ต้องแล้ว เม็ดยาฟื้นฟูนี่ไร้ผลกับอาการบาดเจ็บของข้า” เฉินเฉียงส่ายหน้าไปมาพลางเก็บเตาปรุงยาไป
หยานเสวี่ยเมื่อได้ยินก็ถึงกับจิตใจสั่นไหว ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเทา “แล้ว แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดี เจ้าเองคงไม่รอให้มันหายเองเฉยๆแบบนี้หรอกนะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า” เฉินเฉียงยิ้มก่อนจะพูดออกมา “ข้ายังมีวิธีอื่นที่ใช้ในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของข้าอยู่”
“วิธีไหนเหรอ” หยานเสวี่ยเบิกตามองราวกับส่องแสงได้ในทันที “บอกข้ามา เจ้าต้องการยาวิเศษหรือว่ายาชื่ออะไร ต่อให้ต้องขโมยข้าก็จะหามาให้เจ้า”
“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นหรอกน่า พวกเราก็แค่ต้องไปฆ่าสัตว์วิญญาณของที่นี่สักสองสามตัว เดี๋ยวอาการบาดเจ็บของข้าก็จะดีขึ้นเอง”
“แค่ฆ่าสัตว์วิญญาณอ่ะนะ” หยานเสวี่ยขมวดคิ้วแน่น “จะเป็นไปได้ยังไง”
ก็ไม่แปลกใจที่หยานเสวี่ยจะสงสัยเพราะต่อให้คนอื่นมาได้ยินต่างก็ต้องขมวดคิ้วแน่นไปตามๆกัน
เฉินเฉียงที่คิดไว้ก่อนแล้วก็ไม่ได้อธิบายสิ่งใดเพิ่มเติม เขาแค่พูดสำทับออกมาอีกครั้ง “ข้าเข้าใจอาการบาดเจ็บของข้าดี”
“ตอนที่อยู่บนโลก ข้าใช้วิธีการนี้ในการรักษาอาการบาดเจ็บของอวัยวะภายในมาก่อน”
“หากได้กินสัตว์วิญญาณสักตัวสองตัว ข้าเชื่อว่าอาการของข้าจะหายดี”
“หากเป็นอย่างนั้นจริงแล้วพวกเราจะรอช้าอะไรล่ะ รีบไปกันเถอะ”
เมื่อพูดจบ หยานเสวี่ยรีบยืนขึ้นมาก่อนที่จะเข้าไปหาเฉินเฉียงหมายจะช่วยพยุงขึ้น
“รอก่อน หยานเสวี่ย ตอนนี้พวกเราเป็นศิษย์สำนักเต๋าใต้บาดาล หากเราจะออกไปก็ต้องหาเหตุผลที่ดีๆในการออก ยังไงซะเรานั้นไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง จะดีกว่าหากเราทำตามกฎของที่นี่”
“ไม่ใช่ว่าที่ตึกกิจการของศิษย์ภายนอกนั่นมีภารกิจให้ศิษย์นอกทำอยู่บ่อยๆรึ”
“ข้าว่าเจ้าควรจะลองไปดูหน่อยดีกว่าว่ามีภารกิจใดที่ทำให้พวกเราออกไปจากที่นี่ได้บ้าง”
หยานเสวี่ยเมื่อได้ยินก็พยักหน้ารับแล้วพูดออกมา “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็นั่งพักก่อนแล้วกัน ส่วนข้าจะออกไปดูสักพัก”
ตึกกิจการศิษย์นอกนี้เป็นตึกพิเศษที่รวบรวมสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับศิษย์ภายนอกของสำนักเต๋าใต้บาดาลเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นสหกรณ์ร้านค้า ร้านอาหาร หรือแม้แต่ภารกิจ แน่นอนว่าภารกิจเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งเสริมความสามารถให้กับศิษย์ภายนอกของสำนักทั้งสิ้น
ตราบใดที่ศิษย์ภายนอกทำภารกิจสำเร็จ เพียงจะได้แต้มผลงานเอาไว้ใช้แลกเปลี่ยนแล้ว พวกเขาจะได้สิ่งตอบแทนตามแต่ภารกิจเหล่านี้จะกำหนด และนี่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ศิษย์ภายนอกที่ยากจน ได้มีโอกาสหาเงินเพื่อใช้จ่ายยามที่อยู่ที่นี่
ตอนที่หยานเสวี่ยเดินเข้าไปในตึกกิจการภายนอกนี้ มีศิษย์เพียงสองคนอยู่ในหอภารกิจคนละฟากฝั่งกระดานด้วยท่าทางที่ห่อเหี่ยว
“พี่หลู พวกเราสองคนถึงจะเป็นนักรบขั้นสูง แต่ไอ้การจัดการเขาม่อกั๋นที่เป็นสัตว์วิญญาณระดับหนึ่งนั่นจะไม่ยากไปหน่อยเหรอ”
“จะไปยากอะไรกัน ขนาดนักรบขั้นกลางยังจัดการมันได้เลยนะ แล้วทำไมพวกเราจะทำไม่ได้กันเล่า”
“แต่ไอ้หนูนั่นมันเร็วมากเลยนา ไหนจะความสามารถในการขุดรูหนีนั่นอีก ข้าคิดว่าเราควรจะหาเป้าหมายที่ง่ายกว่านั้นไม่ใช่รึ”
“น้องจาง หาเจ้าไม่อยากจะไปงั้นข้าจะไปคนเดียว”
ผู้ที่ถูกเรียกว่าพี่หลูได้ยื่นคำขาดในทันที
เมื่อได้ยินแบบนี้ ศิษย์น้องจางที่ถูกเอ่ยถึงก็ได้กัดฟันแน่นก่อนที่จะพูดออกมา “ช่างแม่….ง ไปก็ไป หากสำเร็จก็ได้ตั้งหนึ่งเหรียญม่วง แถมยังเอาร่างของมันไปขายได้อีก ถ้าทำสำเร็จข้าก็จะไม่ต้องห่วงเรื่องเงินไปอีกหลายเดือน พี่หลู ข้าจะไปกับท่าน”
เมื่อพูดจบ ทั้งสองก็ไปยังเคาน์เตอร์ของเจ้าหน้าที่ภารกิจเพื่อรับงาน เมื่อหันหลังกลับมา ทั้งสองก็เห็นหยานเสวี่ยเดินตรงเข้ามาแล้วเดินผ่านทั้งสองไป เธอได้วางเหรียญสีน้ำเงินไว้ห้าเหรียญไว้ที่เคาน์เตอร์แล้วพูดออกมา
“ข้าต้องการรับภารกิจทะลวงผ่านเขาม่อกั๋น”
ศิษย์คนหนึ่งที่ทำงานในหอภารกิจได้มองหยานเสวี่ยไปปราดหนึ่งก่อนจะรับเหรียญสีน้ำเงินทั้งห้าและโยนแผ่นป้ายหนึ่งให้เธอ “ยามที่เจ้ากลับมาก็นำป้ายภารกิจมาคืนด้วยล่ะ”
ชายคนนี้ได้มองตามหยานเสวี่ยที่เดินจากไปอย่างไม่พูดไม่จาพร้อมกับศิษย์สำนักสองคนก่อนหน้านี้แล้วพูดออกมา “ไอ้ฉิบหาย ผู้หญิงคนเดียวยังไม่ยึกยักเท่าเจ้าสองคนเลย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ พี่หลูและน้องจางที่เล่นใหญ่เล่นโตเมื่อครู่ก็ก้มหน้าลงอย่างอับอาย แต่กระนั้น ทั้งสองก็ยังวางค่าประกันงานให้กับคนดูแลภารกิจอยู่ดี “พวกข้าเองก็ต้องการรับภารกิจนั่น”
ผู้ที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่หลูได้มองตามหยานเสวี่ยที่เกือบจะพ้นครรลองสายตาไปแล้วพูดออกมาอย่างดูแคลน “นั่นมันเด็กใหม่แผนกปรุงยาไม่ใช่รึ ถึงแม้สัตว์วิญญาณระดับหนึ่งจะจับง่าย แต่ข้าว่านางจะกลายเป็นอาหารของพวกมันซะมากกว่านา”
“แถมยังไม่มีใครไปเป็นเพื่อนแบบนี้แต่ยังกล้าจะไปเขาม่อกั๋นเพื่อจับสัตว์วิญญาณงั้นรึ ช่างไร้หัวคิดนึก”
ไม่นานหลังจากหยานเสวี่ยหายลับไป เสี่ยวหลูไจ๋ที่เป็นผู้คุมกิจการของสำนักได้วิ่งเข้ามาที่เคาน์เตอร์เจ้าหน้าที่ดูแลภารกิจทันที
“ไอ้เจ้าสอง เมื่อกี้หยานเสวี่ยมารับภารกิจรึ ภารกิจอะไรกัน”
เมื่อคนดูแลภารกิจได้ยินก็บุ้ยปากไปมาก่อนจะพูดออกมา “ฆ่าสัตว์วิญญาณระดับหนึ่ง เขาม่อกั๋น ระยะเวลาทำภารกิจหนึ่งอาทิตย์”
“มีรายงานเขามาว่าที่เขาม่อกั๋นนั้นมีสัตว์วิญญาณระดับหนึ่งปรากฏตัวอยู่ใกล้หมู่บ้านแถวนั้น แม้แต่นายพรานของหมู่บ้านก็ยังล้มตายไปหลายสิบ”
“ชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นจึงส่งภารกิจมาให้สำนักเต๋าใต้บาดาลและสำนักเต๋าดาวตกให้ช่วยจัดการ”
“นั่นก็หมายความว่าในระหว่างทำภารกิจนี้ มีโอกาสที่คนของเราจะได้พบเจอกับศิษย์สำนักดาวตกที่รับภารกิจเดียวกัน”
“ถ้าอย่างนั้นภารกิจนี้ก็ไม่ได้ง่ายๆเลยนี่หว่า” เสี่ยวหลูไจ๋ได้ลอบจับคางของตนไปมาพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย
เมื่อเห็นแบบนี้ ทุกคนที่อยู่ในหอก็อดที่จะเผยรอยยิ้มอย่างรู้ทันเสียไม่ได้
“เสี่ยวหลู่ไจ๋ อย่าบอกนะว่าเจ้าจะรอให้นางตกอยู่ในวิกฤตแล้วไปสวมบทอัศวินขี่ม้าขาวเข้าไปช่วยนางน่ะ”
“ฮี่ฮี่ฮี่ คนเช่นข้าคงไม่สามารถกับนางผู้นี้หรอก”
“แต่ก็ยังมีคนอื่นที่ต้องการล่ะนะ”
“เจ้าสอง ขอบคุณที่บอกเรื่องนี้กับข้า”
เมื่อพูดจบ เสี่ยวหลูไจ๋ก็รีบพุ่งทะยานออกจากหอภารกิจแล้วตรงไปยังบ้านพักของหลิวเซียง
“ห้ะ เจ้าบอกว่าหยานเสวี่ยไปรับภารกิจจัดการสัตว์วิญญาณที่เขาม่อกั๋นงั้นรึ”
หลิวเซียงที่ได้ยินก็เผยรอยยิ้มที่ปลื้มปริ่มออกมา