ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 350 เข้าเขา
บทที่ 350 เข้าเขา
ถึงแม้ว่าอาการของเฉินเฉียงจะไม่ได้ดีขึ้นมากนักในช่วงสองวันมานี้ แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับการเดินทางของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินเฉียงยังปฏิเสธการช่วยเหลือของหยานเสวี่ย เขาอุ้มเมิ่งน้อยพลางเดินตามหยานเสวี่ยอยู่ข้างหลัง เดินลงเขาเทียมฟ้าไป
“พี่สาวหยานเสวี่ย พี่จะไปไหนหรือคะ”
ก่อนที่ทั้งสองจะออกจากเขา เม่ยซินก็ได้วิ่งเข้ามาหาพร้อมถามอย่างกระตือรือร้น
“ลงจากเขาไปทำภารกิจ”
หยานเสวี่ยตอบอย่างเย็นชา
“ภารกิจ…เหรอ”
เม่ยซินไม่ได้แยแสต่อท่าทางของหยานเสวี่ยแต่อย่างใด กลับกันเธอประหลาดใจเสียด้วยซ้ำและได้ถามต่อ “พี่สาวหยานเสวี่ย ถ้าพูดกันตรงๆท่านเองก็ไม่ได้ขาดเงินนี่นา”
“แล้วทำไมท่านต้องออกจากเขตศิษย์นอกไปทำภารกิจอีกล่ะ”
เฉินเฉียงที่อยู่ในฐานะผู้ติดตามอยู่นั้นได้อธิบายออกมาด้อยรอยยิ้ม “นายหญิงของข้านั้นต้องการกินเนื้อสัตว์วิญญาณน่ะ เธอเลยคิดจะออกไปจับสัตว์วิญญาณมาทำอะไรกินสักหน่อย”
“กินสัตว์วิญญาณ…โอ้…แม่…เจ้า”
เม่ยซินมองอย่างจับจ้องไปที่เมิ่งน้อยที่กำลังเกาะอยู่ที่แขนของเฉินเฉียงอย่างไม่วางตาอีกครั้ง
นี่ทำให้หยานเสวี่ยกลัวว่าเม่ยซินจะเอ่ยปากซื้อเมิ่งน้อยอีกจึงรีบดึงมือเฉินเฉียงให้รีบจากไป
ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะไม่ได้หันหลังกลับมามอง แต่ด้วยกระแสจิตของเขานั้นก็สามารถรับรู้ได้ทุกสิ่งในระยะร้อยไมล์อย่างไม่อาจมีอะไรหลบซ่อน
และนี่ทำให้เขาพบว่ามีคนสองคนลอบติดตามพวกเขามาในทันทีที่เขาเดินลงจากยอดเขา
หนึ่งในนั้นคือหลิวเซียง ผู้คุมสอบของแผนกปรุงยาในตอนนั้น
หลิวเซียงผู้นี้มีเจตนาร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย เห็นได้จากการที่เขาจับจ้องหยานเสวี่ยอย่างไม่วางตา
แน่นอนว่าเฉินเฉียงเองก็รับรู้ได้ถึงความเกลียดชังที่เขามองมาที่ตัวของเฉินเฉียงเช่นกัน
ถึงแม้เขาในตอนนี้จะออกแรงได้ไม่มากนัก แต่ต่อให้ไม่มีหยานเสวี่ย เพียงแค่เมิ่งน้อยก็เพียงพอจะจัดการหลิวเซียงได้แล้ว
เขาม่อกั๋นอยู่ห่างจากเขาเทียมฟ้าร้อยห้าสิบกิโลเมตรโดยประมาณ หากไม่ใช่เพราะมีปลิงคอยติดตามอยู่ห่างๆ ทั้งเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยจะไปถึงได้เพียงชั่วพริบตา
แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา ด้วยคำแนะนำของเฉินเฉียง หยานเสวี่ยก็ได้มาซื้อในเมืองเฉินหลิว ก่อนจะขึ้นขี่ม้าไปด้วยกัน มุ่งตรงไปยังเขาม่อกั๋น
สัตว์วิญญาณส่วนใหญ่บนโลกปีศาจนั้นอยู่ในภูมิภาคภาคกลางและภูมิภาคตะวันตก
แต่เพราะด้วยเรื่องของภูมิประเทศที่ไม่ค่อยจะมีเขา ทำให้เขตเป่ยหมิงนี้ไม่ค่อยพบเจอสัตว์วิญญาณสักเท่าไหร่
ต่อให้พบเจออยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ระดับสูงแต่อย่างใด
นี่ทำให้นายพรานยึดพื้นที่เขาม่อกั๋นเป็นแหล่งทำมาหากิน เพราะที่นั่นไม่เคยพบเจอสัตว์วิญญาณมาก่อน
แต่ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ในแผนที่อาศัยอยู่แทบนั้นได้พบเจอภัยอันตรายที่เขาม่อกั๋น
นายพรานผู้พบเจอนั้นเป็นกลุ่มนายพรานที่มีอยู่หกถึงเจ็ดคน แต่หลังจากเผชิญหน้ากับภัยอันตรายนี้ทำให้พวกเขาเหลือรอดกลับมาได้เพียงสองคนเท่านั้น และคนที่รอดมีความแข็งแกร่งเทียบเท่านักรบขั้นกลาง
และจากข้อมูลที่นายพรานที่เหลือรอดบอกเล่าทำให้เหล่านายพรานในแต่ละหมู่บ้านรวมกลุ่มกันกำจัดแต่ก็ไม่ประสบผล นี่จึงทำให้พวกเขาต้องมาเสนอเป็นภารกิจให้กับสองสำนักเต๋าแห่งเมืองเฉินหลิว
หากเป็นเรื่องทั่วไปแล้ว โดยปกติสำนักเต๋าใต้บาดาลจะมอบเรื่องแบบนี้ให้กับศิษย์ภายนอกเป็นผู้จัดการ
ยังไงซะ สัตว์วิญญาณระดับหนึ่งก็ไม่ได้ทำให้ศิษย์ภายในได้รับประโยชน์แต่อย่างใด
ด้วยการที่ว่าศิษย์ภายนอกนั้นผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะสูงที่สุดจะอยู่ในระดับนายพล กับเรื่องเช่นนี้จึงเป็นโอกาสฝึกฝนอย่างดีให้กับศิษย์ภายนอก
นี่ทำให้ก่อนที่เฉินเฉียงจะรับภารกิจ สำนักเต๋าดาวตกก็ได้มอบภารกิจนี้ให้กับศิษย์ภายนอกของตนเช่นกัน
เมื่อเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยไปถึงเขตของเขาม่อกั๋น พวกเขาก็ได้รับรู้ถึงคงอยู่เขาสร้างศิษย์ภายนอกของสำนักเต๋าดาวตกที่พึ่งจะเดินเข้าไปในเขาก่อนแล้ว
เมื่อทั้งสองไปถึง หลังจากปล่อยม้าไว้ที่ตีนเขา ทั้งสองก็ได้เดินตามขึ้นเขาไป
ถึงแม้เขาม่อกั๋นจะไม่ได้กว้างใหญ่ มันก็ยังถือได้ว่าเป็นเขาน้อยลูกที่อยู่ในเขตเป่ยหมินแห่งนี้ ขนาดของมันมีพื้นที่อยู่ราวๆหกร้อยถึงเจ็ดร้อยเมตรเห็นจะได้
แต่ด้วยพลังจิตของเฉินเฉียงและท่าเท้าในการเคลื่อนไหวที่ทรงพลัง เขาสามารถตรวจสอบพื้นที่ทั้งหมดของเขาลูกนี้ได้ในไม่กี่นาที
แต่หากทำอย่างนั้น ตัวตนของเขาก็จะถูกเปิดเผยในทันที
เพราะว่าเขายังคงถูกหลิวเซียงติดตามมาอยู่
ถ้าหลิวเซียงเป็นคนที่ดีกว่านี้ เฉินเฉียงก็คงไม่คิดจะทำอะไรเขา
แต่หากว่ากันตรงๆ ต่อให้ดีกว่านี้เขาก็ไม่คิดจะใส่ใจ เพราะเขาไม่ได้คิดจะสร้างสัมพันธ์อันดีกับคนในโลกนี้อยู่แล้ว
เฉกเช่นตอนที่ลงมือกับหลิวฉางเชิง เขาไม่ได้คิดใส่ใจเลยด้วยซ้ำ
หากว่าคนเฉกเช่นหลิวฉางเชิงได้ไปเหยียบย่าง มันคงจะพุ่งเล็งไปที่ผู้คนบนโลกในทันทีที่ได้พบเจอ
แต่หากให้ว่ากันตามตรง ผู้บ่มเพาะที่นี่ทุกคนล้วนแล้วแต่จะกลายเป็นศัตรูของคนบนโลกเขาในอนาคต
แน่นอนว่ามันยังเป็นเรื่องของอนาคต
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตขึ้นอยู่กับการสำรวจของพวกเขาในโลกแห่งนี้
เฉินเฉียงไม่ใช่พวกเลือดเย็นที่จะฆ่าทุกคนที่เขาได้พบเจอ
แต่จากประสบการณ์ที่เขาต้องเผชิญหน้ากับมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาดบนโลกของเขา รวมถึงการเผชิญหน้ากับขยะของเผ่าพันธุ์มากมายหลายหน ทำให้เขานั้นไม่อาจจะทำตัวเป็นนักบุญที่คอยช่วยเหลือผู้คนได้
หากหลิวเซียงทำให้แผนของเขาต้องติดขัด แม้เพียงล่าช้าไปเล็กน้อย เขาก็ไม่คิดจะปล่อยเอาไว้อย่างแน่นอน
ไม่นาน หลังจากเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยได้เข้าเขาไป ท้องฟ้าก็ได้มืดลง
วิธีการที่จะสลัดคนเช่นนี้ จะดีที่สุดก็คือการเคลื่อนไหวในยามค่ำคืน
แต่ไม่ว่าเฉินเฉียงจะไปทางไหนก็ตาม หลิวเซียงก็สามารถติดตามพวกเขามาได้ และรักษาระยะห่างเอาไว้ที่ห้าไมล์อย่างไม่ขาดไม่เกิน
ดูเหมือนว่าคนผู้นี้จะทิ้งร่องรอยไว้ที่หยานเสวี่ย
หากว่าเขาอยากจะสลัดให้หลุดดีๆ คงมีแต่ต้องพาหยานเสวี่ยไปอยู่ในโลกใบเล็กของเขาเสียกระมัง
แต่ด้วยการที่เธอนั้นไม่พอใจในตอนที่เขาให้เธออยู่ในโลกใบเล็กคนเดียวก่อนหน้านี้ หากเขายังคงทำอีกโดยเฉพาะกับเรื่องเพียงแค่นี้ เธอคงจะงอนเขาไปอีกนาน
หากต้องพบเจอกับหยานเสวี่ยเหวี่ยงใส่ เขายอมเลิกล้มความนี้ไปดีกว่า
แต่ในเมื่อหลิวเซียงไม่รู้ที่ตาย เขาก็คงจะต้องทำให้มันตายสมใจ
นี่ทำให้ในทันทีที่ท้องฟ้ามืดสนิท เฉินเฉียงก็ได้ส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณไปหาหยานเสวี่ย –หยานเสวี่ย พาข้าไปในโลกใบเล็กของเจ้าแล้วค่อยปล่อยข้าออกมาหลังจากไปที่นี่สักร้อยกิโลเมตร-
เฉินเฉียงตรวจสอบเรียบร้อยแล้วว่าในระยะหนึ่งร้อยกิโลเมตรไม่มีวี่แววของสัตว์วิญญาณแต่อย่างใด
แต่กับการที่เขาต้องการฟื้นฟูร่างกายให้เร็วที่สุด เพียงดูดซับพลังงานจากสัตว์ธรรมดาเองก็คงไม่ได้ช่วยเขาสักเท่าไหร่นัก
เฉินเฉียงจึงตัดสินใจที่จะเคลื่อนไหวจริงจังหลังจากนี้ไปอีกร้อยไมล์ หนึ่งคือเพื่อค้นหาได้อย่างเต็มที่ อีกหนึ่งคือเพื่อสลัดคนที่ติดตามมาให้หลุดพ้น
หยานเสวี่ยพยักหน้ารับ หลังจากที่เธอพาเฉินเฉียงเข้าไปในโลกใบเล็กแล้วเธอก็ได้หายไปจากตรงนี้แล้วไปโผล่อีกทีที่ห่างไปหนึ่งร้อยเมตร
ไม่นานหลังจากที่ทั้งสองหายไปจากจุดเดิม เงามืดสองร่างก็ได้ปรากฏตัวในที่ที่หยานเสวี่ยและเฉินเฉียงเคยอยู่
“พี่หลิวเซียง ทำไมรึ”
คนคนหนึ่งได้หันไปหาหลิวเซียงที่มาด้วยกันแล้วถามออกมา
“ช่างแปลกนัก”หลิวเซียงพูดออกมาเบาๆอย่างมึนงง “ต่อให้หยานเสวี่ยจะมีระดับการบ่มเพาะอยู่บ้างแต่นางก็ไม่ควรจะเร็วจนไร้ร่องรอยแบบนี้นี่นา”
“แถมกลิ่นคาวเลือดที่ลอยโชยออกมาจากไอ้เด็กนั่นก็เลือนรางเสียเหลือเกิน”
“ดูท่าอย่างน้อยๆตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างจากที่นี่ไปสามสิบไมล์แล้วนะนั่น”
“ไม่ใช่ว่าไอ้เด็กนั่นแกล้งบาดเจ็บหรอกนะ”
“หึหึหึ ศิษย์พี่หลิวเซียง ต่อให้ไอ้เด็กนั่นแกล้งบาดเจ็บอยู่ก็เท่านั้น”
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเมื่อพวกนั้นเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะระดับนายพลเช่นพวกเราแล้ว กับอีแค่คู่นายบ่าวที่มีคนหนึ่งบาดเจ็บและพึ่งเข้าสำนักได้ไม่นานจะทำอะไรพวกเราได้น่ะ”