ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 358 การตายของหลิวเซียง
บทที่ 358 การตายของหลิวเซียง
เพียงเฉินเฉียงพูดจบ เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่เฉียบคมทิ่มแทงลงบนใบหน้าของเขา
หยานเสวี่ยกัดฟันของตนก่อนจะพูดออกมา “เจ้าหมายความว่าจะขังข้าไว้ในโลกใบเล็กของเจ้าจนกว่าข้าจะทำได้งั้นรึ”
“มันก็แค่การปรุงยาไม่ใช่รึไง”
“อย่างมากข้าก็แค่เริ่มเรียนมันในตอนนี้ ไม่เห็นจะอะไรมากมายเลย”
“ถ้าคนอื่นเรียนได้ข้าก็เรียนได้”
“เอาอย่างนี้ นับจากวันนี้ เจ้าต้องสอนการปรุงยาให้ข้า”
เมื่อคิดถึงการอยู่คนเดียวในโลกใบเล็กแล้ว หยานเสวี่ยก็นึกโกรธขึ้นมา และนี่ทำให้เธอยอมทำตามโดยมีความโกรธของตนเป็นตัวขับเคลื่อน
เมื่อเห็นท่าทางของหยานเสวี่ยที่ยอมทำตามแม้จะโกรธเคืองนี้ เฉินเฉียงกลับมีความรู้สึกสบายใจขึ้นมา
แต่คำพูดของเธอนั้นทำให้เฉินเฉียงไม่อาจอยู่อย่างเป็นสุขได้อีกพักหนึ่ง
“เจ้าควรจะรู้นะว่าข้าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการปรุงยา การสอนข้าปรุงยานั้นเจ้าต้องเตรียมใจไว้เลย หากว่าเจ้าทนสอนข้าไม่ได้ ข้าก็ไม่คิดจะฝึกฝนมันอย่างแน่นอน”
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็แทบจะอยากตบกะโหลกตัวเองอย่างสุดแรงเกิดพลางคิดในใจ -นี่ข้าหาเรื่องใส่ตัวสินะ-
“แน่นอน เอาล่ะ ข้าจะออกไปซื้อตัวยาหน่อยก็แล้วกัน เจ้ารออยู่ที่นี่ไปก่อนนะ”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้เดินออกไปจากห้อง และตรงไปยังตึกกิจการศิษย์นอก
การกลับมาของเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยนั้น สมควรจะมีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับรู้และสนใจ
แต่ยามที่เขาเดินเข้าไปในตึกกิจการศิษย์นอก กลับเตะตาบรรดาผู้คนที่ทำหน้าที่อยู่ที่นั่น
เพื่อให้ได้รับความดีความชอบจากหลิวเซียง เสี่ยวหลูไจ๋ย่อมจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับหยานเสวี่ยได้ขึ้นใจเพื่อหาโอกาสสร้างความดีความชอบได้ในทุกโอกาส
“โย่ นี่ไม่ใช่ผู้ติดตามของน้องสาวหยานเสวี่ยหรอกรึ”
เสี่ยวหลูไจ๋ได้จับจ้องไปที่เฉินเฉียงแล้วพูดออกมา “เจ้าไม่ได้ติดตามน้องหยานเสวี่ยไปทำภารกิจที่เขาม่อกั๋นหรอกรึ”
“หรือเจ้ากลับมาระหว่างทาง”
เมื่อเฉินเฉียงได้ยิน เขาก็รีบใช้ความคิดของตน เป็นไปได้ว่าเรื่องที่เขากับหยานเสวี่ยออกไปทำภารกิจนั้นได้ถูกรับรู้โดยศิษย์ภายนอกจนหมดสิ้นเสียแล้ว
“โอ้ คุณหนูกลับข้ากลับมาตั้งแต่เมื่อวานน่ะ”
“ห้ะ เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อวาน”
เสี่ยวหลู่ไจ๋ตกตะลึงในทันทีที่ได้ยิน พร้อมท่าทางที่ราวจะร้อนรนจนเก็บอาการไม่อยู่
-หากเฉินเฉียงไม่ได้โกหก แล้วศิษย์พี่หลิวเซียงล่ะ เขาไปไหนกัน-
-แถมตอนที่เขาออกไปนั้นยังพาศิษย์พี่จากแผนกยุทธพี่จ้าวไปด้วยอีก-
แน่นอนว่าเสี่ยวหลูไจ๋นั้นรู้ดีว่าทั้งสองนั้นไล่ตามหยานเสวี่ยไป
แต่ในตอนนี้หยานเสวี่ยกับผู้ติดตามได้กลับมาแล้ว แล้วทำไมเขาไม่ได้ข่าวคราวของหลิวเซียงและคนที่ไปด้วยเลยล่ะ
เป็นไปได้ว่า…..ทั้งสองจะถูกหยานเสวี่ยฆ่า….เหรอ
ไม่มีทางเป็นไปได้
ถึงแม้เขานั้นจะรับรู้ถึงฝีมือของหยานเสวี่ยมาแล้ว
แถมศิษย์พี่หลิวเซียงยังพาศิษย์พี่จากแผนกยุทธไปด้วยอีก
เสี่ยวหลูไจ๋ในตอนนี้รู้สึกคับข้องใจอย่างที่สุด นี่ทำให้หลังจากหยิบยื่นตัวยาที่เฉินเฉียงต้องการจนหมดสิ้น เขาก็รีบวิ่งไปยังที่พักของศิษย์นอกด้วยใจที่ร้อนรน
อย่างที่คิด หลังจากตรวจสอบดูแล้ว หลิวเซียงและศิษย์อีกคนจากแผนกยุทธยังไม่กลับมา
หลังจากชั่งใจอยู่นาน ในที่สุด เสี่ยวหลูไจ๋ก็เดินไปยังที่พักของผู้อาวุโสผู้ดูแลศิษย์ภายนอก
หลิวเซียงนั้นไม่ใช่ศิษย์ภายนอกธรรมดา แต่เขาคือตัวเต็งของแผนกปรุงยาที่มีความสามารถอยู่เหนือศิษย์ทุกคนในแผนก
กับคนเช่นนี้กลับสูญหายไปเสียเฉยๆ ถึงเขาจะปล่อยไปแต่ทางสำนักย่อมไม่มีทางปล่อยผ่าน
และเพื่อไม่ให้เขาต้องติดร่างแหไปด้วย เสี่ยวหลูไจ๋จึงตัดสินใจรายงานเรื่องนี้กับผู้อาวุโส
“เสี่ยวหลูไจ๋ เจ้าว่ายังไงนะ เจ้าบอกว่าศิษย์ภายนอกหัวกะทิของแผนกปรุงยาหลิวเซียง ถูกศิษย์ภายนอกอีกคนที่พึ่งจะเข้ามาใหม่ที่ชื่อหยานเสวี่ยฆ่าตายงั้นรึ”
“นี่เจ้าไม่ได้เพียงแค่เห่าหอนออกมาเล่นๆใช่รึเปล่า”
อาวุโสผู้ดูแลศิษย์ภายนอก ผู้อาวุโสเฉียน ตะคอกใส่เสี่ยวหลูไจ๋อย่างสุดเสียง
“กับแค่เด็กใหม่ที่พึ่งจะเข้าร่วมแผนกเนี่ยนะจะสามารถฆ่าผู้ที่ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของศิษย์ภายนอก”
“ใครจะไปเชื่อคำพูดเช่นนี้ได้กัน”
“เสี่ยวหลูไจ๋ ข้าเองก็ได้ยินมาว่าหยานเสวี่ยที่เป็นเด็กใหม่นั่นมีรูปโฉมที่งดงาม คงไม่ใช่ว่าเจ้านั้นสนใจนางแต่นางไม่เล่นด้วยจึงหาเรื่องใส่ร้ายนางเพื่อระบายความแค้นในใจหรอกนะ”
เมื่อเสี่ยวหลูไจ๋ได้ยินแบบนี้แล้ว เขาก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่งแล้วลั่นคำสาบานออกมา “ผู้อาวุโสเฉียน ต่อให้ศิษย์ผู้นี้จะใจกล้าหน้าด้านขนาดไหน แต่ข้าย่อมไม่มีทางโกหกท่าน”
“แม้ว่าหยานเสวี่ยจะเป็นศิษย์ใหม่ก็จริง แต่ระดับการบ่มเพาะของนางนั้นไม่ได้ต่ำต้อย ขนาดศิษย์ในตอนนี้เป็นนักรบขั้นกลางแต่ยังไม่อาจจับท่วงท่าของนางได้เลย”
“ตามความเห็นของศิษย์นั้น หยานเสวี่ยมีระดับการบ่มเพาะอย่างน้อยก็ระดับนายพลขั้นต้น”
“ฮึ่ม เจ้ายังมีหน้ามาพูดความคิดเห็นของตัวเองอีกรึ หยานเสวี่ยนั้นเป็นเพียงศิษย์ใหม่ แล้วนางจะต่อสู้ถึงขั้นฆ่าตายโดยไม่มีเหตุผลไปทำไม”
“แล้วอีกอย่าง ต่อให้ศิษย์หญิงผู้นั้นเป็นนายพลขั้นต้นแล้วยังไง”
“ทั้งหลิวเซียงและจ้าวเจียต่างก็เป็นนายพลขั้นต้น หากต้องปะทะกันแล้วเจ้าคิดว่าไอ้สองคนรุมอย่างนั้นแล้วยังไม่อาจกำราบนางได้อีกรึไง”
หลังจากสิ้นคำของผู้อาวุโสเฉียน เหงื่อก็ได้แตกเต็มหน้าของเสี่ยวหลูไจ๋ราวกับน้ำตก
แต่เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากเรื่องนี้ ในที่สุด เสี่ยวหลูไจ๋ก็ได้ตัดใจแล้วพูดออกมาเบาๆ “แต่ในวันนั้นศิษย์ได้ยินอย่างชัดเจนว่าศิษย์พี่หลิวเซียงบอกออกมา เขาพูดจากปากของเขาเลยว่ากังวลที่ศิษย์น้องหยานเสวี่ยไปยังเขาม่อกั๋นเพื่อทำภารกิจครับ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาพาศิษย์พี่จ้าวไปด้วยเพื่อที่จะลอบติดตามคอยเฝ้าระวังนางและผู้ติดตาม”
“แต่ในตอนนี้ศิษย์น้องหยานเสวี่ยและไอ้ข้าทาสนั่นกับมาแล้ว แต่กับศิษย์พี่หลิวเซียงและศิษย์พี่จ้าวนั้นกลับไม่ปรากฏตัวเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่ามองยังไงมันก็ผิดปกตินี่นา”
ถึงแม้เสี่ยวหลูไจ๋จะพูดเบาๆราวกับกำลังพร่ำบ่นกับตัวเอง แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้อาวุโสเฉียนได้ยินคำพูดนี้จนหมดสิ้น
นี่ทำให้เมื่อผู้อาวุโสเฉียนได้ยินแล้วก็นิ่งเงียบไป
หากว่าสิ่งที่เสี่ยวหลูไจ๋พูดออกมานั้นเป็นความจริง มันก็มีโอกาสที่หลิวเซียงและจ้าวเจียจะเกิดเรื่องขึ้น
เพียงแค่คิดแบบนี้ ทั้งหยานเสวี่ยและผู้ติดตามของนางย่อมไม่อาจรอดพ้นข้อกล่าวหาไปได้
แถมในตอนนี้สำนักเต๋าใต้บาดาลนั้นยังเกิดเรื่องราวมากมายติดๆกัน ก่อนหน้านี้ก็เรื่องคณะผู้อาวุโสแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่มาเล่นงานสำนักจนทำให้สำนักมีชื่อเสียงเสียหายจนชนิดที่ว่าแทบจะต่ำตมไปแล้ว
แล้วมาตอนนี้ยังมีเรื่องราวแปลกๆเกิดขึ้นกับทางฝั่งศิษย์ภายนอกอีก หากว่าเขาไม่สืบสวนในเรื่องนี้ให้กระจ่าง เขาเองก็เกรงว่ามันจะกลายเป็นการปล่อยให้คนอื่นขุดหลุมฝังศพรอพวกเขาให้ไปฝังอยู่ที่นั่น
เมื่อคิดได้แบบนี้ ผู้อาวุโสเฉียนก็ได้นำผู้คุมกฎและเสี่ยวหลูไจ๋ไปยังบ้านพักของหยานเสวี่ย
ทางด้านเฉินเฉียงนั้น เมื่อเขาออกจากตึกกิจการศิษย์นอกแล้ว เขารีบปลดปล่อยกระแสจิตของตนออกมาทั่วพื้นที่ และนี่ทำให้เขารับรู้การกระทำของเสี่ยวหลูไจ๋ที่รีบเร่งไปยังที่พักของผู้อาวุโสของสำนัก
นี่จึงทำให้ในทันทีที่เขากลับไป จึงได้บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้หยานเสวี่ยฟัง
“แล้วยังไง ต่อให้ยกมาทั้งสำนักพวกเขาก็ไม่อาจทำอะไรพวกเราได้ซะหน่อย จะเป็นพวกเราที่ฆ่าล้างพวกนั้นไป”
หยานเสวี่ยที่ไม่เคยคิดดีกับคนของโลกปีศาจอยู่แล้ว เป็นธรรมดาที่เธอจะไม่แยแสในเรื่องนี้
แต่เฉินเฉียงกลับยกมือคัดค้านความคิดนี้ในทันที “หยานเสวี่ย เจ้าจะทำอย่างนั้นไม่ได้นา”
“พวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อที่จะกวาดล้างสำนักซะหน่อย”
“ภัยคุกคามที่แท้จริงของเรานั้นคือคนที่บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตและสัตว์ปีศาจที่สามารถใช้ทักษะเลือดปีศาจกลืนกิน”
“ดังนั้นพวกเราจะไม่ทำอันตรายผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง นอกจากจะจำเป็นเท่านั้น”
“อีกไม่นาน ผู้อาวุโสเฉียนน่าจะมาที่นี่ เจ้าเองก็เพียงพูดในสิ่งที่ข้าบอกผ่านเสียงผ่านจิตวิญญาณก็พอ”
หยานเสวี่ยพยักหน้าตอบรับอย่างช่วยไม่ได้ “ก็ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก”
และไม่นาน เสียงฝีเท้าก็ได้ดังขึ้นมาที่ด้านนอกประตู
เป็นตอนนั้นที่เสียงปังได้ดังขึ้น มันเป็นเสียงของผู้คุมกฎที่ได้เตะประตูด้านนอกเข้ามาโดยมีเสี่ยวหลูไจ๋นำทาง แถมยังเป็นคนแรกที่เดินผ่านประตูที่ถูกเตะจนเปิดออกเข้ามา