ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 359 ตั้งคำถาม
บทที่ 359 ตั้งคำถาม
เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงเองก็อยู่ในห้อง นี่ทำให้เสี่ยวหลูไจ๋ที่เห็นนึกโกรธเคืองขึ้นมาก่อนจะหันไปฟ้องผู้อาวุโสเฉียนในทันที “ผู้อาวุโสฉียน ดูสิท่าน ศิษย์น้องหยานเสวี่ยนำผู้ติดตามที่เป็นผู้ชายเข้าห้องกลางวันแสกๆ หากเรื่องนี้ใครรู้ ชื่อเสียงของสำนักเต๋าใต้บาดาลของเราจะเป็นยังไง”
ผู้อาวุโสไม่ได้แยแสคำพูดนี้แถมยังพูดตอกกลับไปอย่างไม่ไยดี “เสี่ยวหลูไจ๋ มันมีกฎที่ว่าห้ามผู้ติดตามเข้าห้องเจ้านายรึไงวะ ห้ะ”
“ไอ้นี่ กังวลได้ผิดเรื่องผิดราวเกินไปแล้ว รีบๆเข้าเรื่องซะ”
เสี่ยวหลูไจ๋หน้าชาในทันทีก่อนที่จะรีบเร่งพยักหน้าด้วยความอับอาย ก่อนจะหันไปหาหยานเสวี่ยแล้วถามออกมา “ศิษย์น้องหยานเสวี่ย ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปเขาม่อกั๋นเพื่อปฏิบัติภารกิจสินะ”
ด้วยการที่มีเฉินเฉียงคอยอยู่ข้างกาย หยานเสวี่ยไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด เธอนั้นได้ถามกลับไปอย่างสงบ “ศิษย์พี่หลู ท่านขายของอยู่ร้านสหกรณ์ไม่ใช่รึ แล้วท่านไปรู้เรื่องของภารกิจได้ยังไงกัน”
เสี่ยวหลูไจ๋ที่ไม่คิดว่าหยานเสวี่ยจะเป็นฝ่ายตั้งคำถามกลับนั้นทำให้เขาต้องหันไปจ้องมองผู้อาวุโสเฉียนในทันใด
หากจะให้พูดกันตรงๆแล้ว ไม่ว่าเสี่ยวหลูไจ๋จะตอบออกมายังไง แต่ในเรื่องนี้เขาไม่ได้มีธุระกงการใดที่ต้องข้องเกี่ยวเลยสักนิด
อย่างไรก็ตาม ที่ผู้อาวุโสเฉียนมาในครั้งนี้ไม่ใช่มาด้วยเรื่องพฤติกรรมของเสี่ยวหลูไจ๋ แต่เป็นการสืบสวนเรื่องราวของหลิวเซียงและจ้าวเจียต่างหาก
นี่จึงทำให้หลังจากเห็นว่าเสี่ยวหลูไจ๋จ้องมายังตน ผู้อาวุโสเฉียนก็ได้ก้าวเดินขึ้นหน้าออกมาอย่างมาดมั่นแล้วถามออกมา “ศิษย์แผนกปรุงยาหยานเสวี่ย ข้าต้องการจะถามเจ้า ตอนที่เจ้าไปทำภารกิจที่เขาม่อกั๋นนั้น เจ้าได้พบเจอศิษย์หัวหน้าแผนกปรุงยาหลิวเซียงและจ้าวเจียบ้างรึเปล่า”
ผู้อาวุโสเฉียนได้ถามออกมาตรงๆ และเมื่อถามเสร็จแล้วก็ได้จับจ้องไปที่ท่าทางของหยานเสวี่ย
ด้วยระดับการบ่มเพาะของหยานเสวี่ยนั้น ต่อให้ผู้อำนวยการของสำนักเต๋าใต้บาดาลมาด้วยตัวเองเธอนั้นยังไม่แยแส นับประสาอะไรกับเพียงแค่ผู้อาวุโสนอกที่เป็นเพียงนายพลขั้นต้นคนหนึ่งที่มาทำท่าทางกดดัน
แม้จะอย่างนั้น แต่หยานเสวี่ยก็พยักหน้ารับด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยจะยากรับแล้วพูดออกมา “ใช่ค่ะ ผู้อาวุโสเฉียน ไม่นานหลังจากผู้ติดตามและศิษย์เข้าไปที่นั่น พวกเราได้พบศิษย์พี่หลิวเซียงกับอีกคนหนึ่งจริง”
“ไม่เพียงเท่านั้น ศิษย์พี่ทั้งสองยังช่วยข้าทำภารกิจจนเกือบสำเร็จอีกด้วย”
“แต่ในตอนนั้น พวกเราได้พบกับศิษย์สำนักเต๋าดาวตกที่ชื่อหลี่เฟิง นั่นทำให้ศิษย์พี่ทั้งสองให้ข้ารีบกลับมาก่อน”
“ศิษย์เองได้ยินพวกเขาพูดคุยกันว่าคนผู้นั้นเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต”
“นี่จึงทำให้ศิษย์ทำได้เพียงถอนตัวจากภารกิจและรีบกลับมาที่นี่ก่อน”
“ห้ะ ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตของสำนักเต๋าดาวตกงั้นรึ”
เมื่อสิ้นคำของหยานเสวี่ย ผู้อาวุโสเฉียนก็ตัวสั่นสะท้าน
ด้วยเสียงเฉินเฉียงที่ดังขึ้นในใจ หยานเสวี่ยก็ได้ถามออกไปอย่างสงสัย “ผู้อาวุโสเฉียน ท่านเป็นอะไรรึเปล่า”
ก่อนที่ผู้อาวุโสเฉียนจะตอบอะไรออกมา เสี่ยวหลูไจ๋ที่มีท่าทางราวกับโกรธเคืองได้พูดออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น “น้องหยานเสวี่ย เจ้าฆ่าศิษย์พี่หลิวเซียงชัดๆ”
“สำนักเต๋าดาวตกและพวกเรานั้นไม่เคยมีไมตรีต่อกัน แต่เจ้ากลับได้พบเจอพวกมันยามที่ออกไปทำภารกิจเนี่ยนะ”
“ในเมื่อเจ้าพบเจอคนของสำนักเต๋าดาวตกแล้วทำไมไม่ร่วมมือกับพี่หลิวเซียงต่อสู้กับมันกัน”
หยานเสวี่ยที่ได้ยินก็ตามกลับอย่างของขึ้น “นี่แกยังมีสมองอยู่รึเปล่าเนี่ยถึงกล้าพูดออกมา”
“ข้าเป็นเพียงศิษย์นอกที่พึ่งจะเข้ามาแล้วจะรู้ไหมว่าสำนักของพวกเราจะมีเรื่องขัดแย้งกันถึงขั้นนั้นน่ะ ห้ะ”
“ต่อให้ข้ารู้แล้วยังไง”
“ก่อนหน้าที่ข้าได้เข้ามาที่นี่ข้าได้เห็นอานุภาพของผู้ที่ฝึกฝนบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตมาแล้วกับตาตอนที่คัดเลือกเข้าสำนัก คนอย่างไอ้พวกนั้นหากได้พบเจอก็แทบจะตกตายไปแล้ว แค่ข้าหนีมาได้ก็บุญหัวเท่าไหร่แล้วน่ะ”
“หรือแกจะบอกว่าหากเป็นแกจะไม่วิ่งหนีกลับมาเหมือนข้าน่ะ ห้ะ”
หยานเสวี่ยได้ตอบคำถามเสี่ยวหลูไจ๋ไปอย่างของขึ้นแล้ว ใบหน้าของเธอเปลี่ยนกลับมาเป็นเย็นชาและพูดออกมาอย่างเย็นยะเยียบ “ไอ้ศิษย์พี่หลู แกเองก็น่าจะรู้ว่า ไอ้เหตุผลที่ว่าทำไมศิษย์พี่หลิวเซียงและศิษย์พี่จ้าวอะไรนั่นตามข้าไปที่เขาม่อกั๋นนั้นเป็นเขาไปกันเองหาได้เกี่ยวอะไรกับข้า”
“ข้า หยานเสวี่ย ย่อมไม่เสียใจในการตายของสองคนนี้”
“แล้วก็นะ ไอ้ศิษย์พี่หลู หลิวเซียงและจ้าว….เจียนั่นน่ะ แกไม่รู้จริงๆเหรอว่าพวกมันไปที่นั่นทำไม”
“ถึงแม้ว่าข้า หยานเสวี่ยผู้นี้ไปรับภารกิจมาทำด้วยตนเองและไม่ได้ป่าวประกาศเรื่องนี้ให้ผู้ใดในโลกได้รับรู้ แล้วพวกเขาทำไมถึงรู้ได้กัน”
“หากไม่ใช่แกเสนอหน้าไปบอก แล้วพวกเขาจะรู้ไหม”
“แต่พอสถานการณ์ของพวกเขายังไม่น่าชัด แต่แกกลับมีหน้ามากล่าวหาข้าเนี่ยนะ”
“เจ้า…..”
เสี่ยวหลูไจ๋นั้นแม้จะทำท่าราวกับอยากจะตอกหน้ากลับหยานเสวี่ยอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่อาจสรรหาคำมาเถียงได้เลยสักนิด
“ถูกต้อง”
ผู้อาวุโสเฉียนที่ยืนอยู่ข้างๆพูดออกมาด้วยเสียงดังลั่นพร้อมใบหน้าที่เคร่งขรึม “สิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดนั้นก็คือพวกเราไม่อาจด่วนตัดสินใจในเรื่องนี้ได้ ข้าต้องรายงานให้ผู้อาวุโสในรับรู้ก่อน”
“หยานเสวี่ย สิ่งที่เจ้าพูดออกมานั้นเป็นความจริงทั้งหมดใช่รึเปล่า”
“แน่นอนค่ะ” หยานเสวี่ยกลับมาอยู่สภาพปกติและพูดตอบออกไปด้วยท่าทางสุขุม “ทุกคำพูดที่ข้าพูดออกไปนั้นเป็นความจริงทุกประการ”
ผู้อาวุโสเฉียนพยักหน้ารับก่อนที่จะหันหลังกลับแล้วเดินออกไปจากห้องพักของหยานเสวี่ยพร้อมเสวี่ยหลูไจ๋และผู้คุมกฎ
ไม่นาน หลังจากเรื่องราวถูกรายงานไปยังผู้อาวุโสใน เรื่องก็ไปถึงหูผอ.สำนัก ผอ.ฉี
หลังจากผ่านเรื่องราวน่าอัปยศอดสูมาไม่กี่วัน อาการของหลิวฉิงหยุนก็ดีขึ้นมาบ้างแล้ว
อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บที่ได้รับมานั้นส่งผลให้เขานั้นกลับไปอยู่ในระดับราชาขั้นต้น หากเขาต้องการจะกลับไปยังขั้นสูงนั้นคงต้องใช้เวลาหนึ่งปีเป็นอย่างน้อย
นับจากการปะทะกับคณะผู้อาวุโสจากวิหารศักดิ์สิทธิ์มา หลิวฉิงเหยุนนั้นไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในสำนักเต๋าใต้บาดาลเนื่องจากต้องพักฟื้นอาการบาดเจ็บ
แต่หลังจากได้ยินเรื่องราวนี้จากผู้อาวุโสใน หลิวฉิงหยุนก็ได้หัวเราะออกมาด้วยความแค้นเคืองและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “ผอ.ฉี ตามความคิดของตาแก่คนนี้ ไอ้การที่คนของเราไปพบเจอกับคนของสำนักเต๋าดาวตกในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่เหตุบังเอิญ”
“ตามประวัติศาสตร์ของสำนักนั้น ความขัดแย้งของพวกเราสองสำนักนั้นมันสืบทอดมาอย่างยาวนานเพราะต่างก็เป็นสำนักใหญ่ของเมืองนี้ก็จริง”
“แต่นับจากที่คณะผู้อาวุโสของวิหารศักดิ์สิทธิ์มาเยือนพวกเรานั้น ข้าเชื่อว่าคนพวกนั้นไม่ได้มาอย่างไร้เหตุผล ตาแก่ผู้นี้คิดว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องเข้าใจผิด”
“เป็นไปได้ว่าไอ้เรื่องนั้นเองก็เป็นเจิ้งฮูเชิงอยู่เบื้องหลัง มันอาจจะไปพบเจอกับคนใหญ่คนโตทำให้พวกนั้นพุ่งเป้ามาที่พวกเรา”
“แถมมาในตอนนี้ ไอ้พวกสำนักเต๋าดาวตกยังมาหาเรื่องพวกเราซ้ำๆ ข้าเกรงว่านอกจากพวกเราจะสูญสิ้น พวกมันคงไม่เลิกรา”
“และหากเป็นอย่างนั้นจริง คงจะไม่เหลือชื่อของสำนักเต๋าใต้บาดาลของเราอีกต่อไป”
ผอ.ฉีนั้นย่อมรู้ดีว่าหลิวฉิงหยุนแค้นเคืองวิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่เต็มหัวใจ เห็นได้จากน้ำเสียงเวลาที่พวกเขาพูดถึงวิหารศักดิ์สิทธิ์
แต่กลับผู้อาวุโสคนอื่นนั้นกลับรับรู้ได้ว่ามันเป็นคำพูดที่อยากจะประกาศสงครามกับสำนักเต๋าดาวตกอยู่เต็มอกเสียอย่างนั้น
“ที่ท่านผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวมาได้ถูกต้องแล้ว ท่านผอ. ในครั้งนี้ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ไม่อาจอดกลั้นกับการกระทำของไอ้พวกดาวตกได้อีกต่อไปแล้ว”
“ไม่อย่างนั้นล่ะก็ แม้แต่ศิษย์ของพวกเราเองก็คงไม่อาจจะเงยหน้ามองผู้คนยามที่ออกไปยังโลกภายนอกได้”
“ผอ.ฉี หากปล่อยเรื่องราวให้เป็นแบบนี้ต่อไป ไม่เพียงจะเป็นการเพิ่มความโอหังให้ไอ้พวกสำนักดาวตกเท่านั้น แถมพวกมันจะยิ่งกดขี่พวกเรามากยิ่งขึ้นไปอีก”
“ในครั้งนี้ข้าจะต้องสั่งสอนมันให้ได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหล่าผู้อาวุโสแล้ว ผอ.ฉีถึงกับต้องกุมขมับและนวดไปมาก่อนจะยกมือขึ้นแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโส พวกเรานั้นปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้ก็จริง”
“แต่ในเรื่องนี้เป็นการพูดของพวกเราฝ่ายเดียว แต่พวกเรายังไม่มีหลักฐานอะไรในมือเลยสักอย่าง จะเป็นการดีกว่าหากพวกเราจะไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะลงมือ”
“พรุ่งนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดและข้าจะไปนำตัวศิษย์นอกสองคนนั้นไปยังสำนักเต๋าดาวตก”
“หากว่าเป็นคนของสำนักดาวตกที่เริ่มหาเรื่องเราจริง นั่นก็ยังไม่สายที่พวกเราจะลงมือสั่งสอนพวกมัน”