ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 360 เยี่ยมเยือนสำนักเต๋าดาวตก
บทที่ 360 เยี่ยมเยือนสำนักเต๋าดาวตก
ถึงแม้ผู้อาวุโสแห่งสำนักเต๋าใต้บาดาลนั้นจะไม่ค่อยอยากจะยอมรับในเรื่องสำนักเต๋าดาวตกนัก แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับมันไว้เท่านั้น
นั่นก็เพราะสำนักเต๋าดาวตกนั้นมีชื่อเสียงมากกว่าสำนักเต๋าใต้บาดาลมาโดยตลอด
ในเมืองเฉินหลิวแห่งนี้ หากดูความแข็งแกร่งในภาพรวมนั้น สำนักเต๋าทั้งสองแทบจะเสมอกัน
หากว่าทั้งสองสำนักต้องสู้กันจริง พวกเขาก็ไม่อาจจะรับประกันชัยชนะของฝ่ายตนได้
นั่นก็เพราะสำนักเต๋าดาวตกนั้นมีผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขามากนัก
เพียงแค่จุดนี้ เหล่าตาแก่ที่อยู่ภายในห้องต่างก็คิดตรึกตรองซ้ำไปซ้ำมา
จนในที่สุดแล้วก็ทำได้เพียงเห็นด้วยกับความเห็นของผอ.ฉีที่เสนอมา
…
หลังจากผู้อาวุโสนอกเฉียนและเสี่ยวหลูไจ๋จากไป เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้อีกทำเพียงการฝึกฝนบ่มเพาะต่อไป โดยที่ไม่รู้ถึงการตัดสินใจของผอ.ฉีและผู้อาวุโสคนอื่นแต่อย่างใด
ยังไงซะ ต่อให้ได้รับรู้แต่ในเรื่องกับพวกเขาทั้งสองแล้วหาได้ใช่เรื่องใหญ่ไม่
ต่อให้เฉินเฉียงจะต้องการใช้สำนักเต๋าใต้บาดาลเป็นฐานที่มั่นก่อนจะคืบคลานไปส่วนอื่นของโลกปีศาจก็ไม่มีใครทำอะไรเขาได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงเล่นตามน้ำเท่านั้น เฉินเฉียงเมื่อรับรู้ย่อมไม่อิดออดที่จะผสมโรง และไม่ปกปิดความสามารถของตนต่อหน้าคนเหล่านี้
อย่างมากเขาก็แค่ไปที่เมืองอื่นแล้วหาสำนักเต๋าอื่นเข้าร่วมก็เท่านั้น
นี่ทำให้ก่อนที่ผอ.ฉีและคนอื่นๆมาถึง เฉินเฉียงยังคงวุ่นอยู่กับการสอนหยานเสวี่ยให้ปรุงยาได้
ถึงแม้ผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุนจะไม่ได้มีพลังจิตสูงล้ำเท่ากับเฉินเฉียง แต่เมื่อทั้งสองเข้ามาในบ้านพักของหยานเสวี่ย ก็พบว่าทั้งสองคนกำลังเรียนรู้การปรุงยาด้วยตัวเองอยู่
ถึงแม้พวกเขาจะพึ่งเข้ามาในสำนักในฐานะศิษย์นอกและแทบจะโดนอัปเปหิออกไปด้วยเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเห็นความสามารถของเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยแล้วก็อดที่จะทำให้ผอ.ฉีรู้สึกดีขึ้นมาไม่ได้ที่พวกเขาได้รับศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงล้ำมาแบบนี้
แม้แต่หลิวฉิงหยุนเองก็ยังแสดงออกอย่างแตกต่างจากตัวตนของเขาที่แสดงให้เห็นก่อนหน้า นั่นก็เพราะเมื่อพวกเขามาถึง แทนที่จะพังประตูเข้าไป เขากลับเรียกเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยออกมาจากบ้านพักแทน
เมื่อเห็นทั้งสองออกมา ผอ.ฉีได้พยักหน้ารับประหนึ่งพึงพอใจในความสามารถและพูดออกมา “ศิษย์แผนกปรุงยาหยานเสวี่ยสินะ”
“ข้าได้เห็นเจ้าขยันหมั่นเพียรแบบนี้แล้วทำให้ข้านั้นไม่อยากจะกวนเจ้าเลยจริงๆ”
“แต่ด้วยเรื่องของศิษย์ที่เป็นผู้นำศิษย์นอกอย่างหลิวเซียงทำให้ข้าไม่มีทางเลือกจึงต้องขัดจังหวะเจ้าเพื่อสอบถาม”
“ข้านั้นหวังว่าจะให้พวกเจ้าทั้งสองมากับข้าและผู้อาวุโสสูงสุดไปยังสำนักเต๋าดาวตกสักครา เจ้าพอจะให้ความร่วมมือกับข้าได้หรือไม่”
เมื่อเผชิญหน้ากับสองผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักเต๋าใต้บาดาล หยานเสวี่ยนั้นรู้สึกโชคดียิ่งที่มีเฉินเฉียงคอยอยู่เคียงข้าง หลังจากที่เธอได้ยินเสียงผ่านจิตวิญญาณจากเฉินเฉียง เธอก็ได้พยักหน้าอย่างหนักแน่นแล้วพูดออกมา “ข้าจะทำตามคำสั่งของท่านผอ.ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเลยแล้วกัน”
หลิวฉิงหยุนที่กำลังบาดเจ็บอยู่นั้นได้สะบัดชายเสื้อของตนไปรัดพันเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยเอาไว้ก่อนจะทะยานขึ้นไปบนอากาศ
ในโลกปีศาจนั้น หลังจากที่ผู้บ่มเพาะเข้าสู่ระดับขั้นราชา ผู้นั้นจะสามารถบินได้
และด้วยระดับการบ่มเพาะของผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุน ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่พวกเขาจะนำพาศิษย์ภายนอกเพียงสองคนให้บินไปด้วยกัน
แต่เมื่อผอ.ฉีได้หันมามองดูเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าทั้งสองไม่ได้มีท่าทีหวือหวาในการบินนี้แต่อย่างใด
หากพูดกันตรงๆแล้ว สำหรับศิษย์ภายนอกนั้น การที่จะได้บินแบบนี้ก็ควรจะแปลกใจหรือกระดี๊กระด๊าอยู่บ้าง แต่กับศิษย์สองคนนี้ ไม่สิ กับหยานเสวี่ยที่เป็นศิษย์นั้นกลับไม่มีอาการแต่อย่างใด ทั้งๆที่ทั้งสองนั้นยังเทียบไม่ได้กับศิษย์คนอื่นด้วยซ้ำ
-ผู้อาวุโสสูงสุด เจ้าสังเกตรึเปล่าว่าท่าทางของศิษย์สองคนนี้มันปกติเกินไปน่ะ มันราวกับว่าทั้งสองคุ้นเคยกับการบินยังไงก็ไม่รู้- ผอ.ฉีส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณหาหลิวฉิงหยุน
หลิวฉิงหยุนแม้จะคิดเช่นเดียวกัน แต่หลังจากลองจินตนาการดูโดยนึกประสบการณ์ที่พึ่งจะประสบ มันก็ทำให้เขาพอจะนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง ก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างแหยๆ –สงสัยจะเป็นครั้งแรกจนอึ้งกิ่มกี่ไปจนโง่งมไปแล้วเสียกระมัง-
ผอ.ฉีเมื่อได้ยินก็ไม่ได้ที่จะลอบถอดถอนลมหายใจ
ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บทางใจที่เหล่าผู้อาวุโสแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์สร้างเอาไว้คงจะไม่มีทางหายไปในเวลาอันสั้นเสียแล้ว
สำนักเต๋าดาวตกและสำนักเต๋าใต้บาดาลนั้นตั้งอยู่กันคนละซีกเมืองเฉินหลิวเลยก็ว่าได้ แต่หากว่ากันตามตรงแล้วมันก็ไม่ได้ตั้งห่างกันสักเท่าไหล่นัก และด้วยการบินเพียงไม่กี่นาทีก็ทำให้ทั้งสี่มาถึงประตูทิศตะวันตกของสำนักเต๋าดาวตก
สำนักเต๋าดาวตกนั้นมีผอ.อยู่เช่นกัน เขาชื่อเจิ้งฮูเชิง ทั้งสองต่างก็เป็นราชาขั้นกลาง และต่างก็เป็นเลิศด้านพลังจิตตรวจจับ
นี่ทำให้เมื่อพวกเขาทั้งสี่คนมาถึงที่ทางเข้าสำนักเต๋าดาวตก เจิ้งฮูเชิงก็สามารถรับรู้ได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
เสียงหัวเราะดังลั่นออกมาจากด้านในสำนัก พร้อมกับร่างของเจิ้งฮูเชิงผู้มีอายุประมาณสี่สิบปีได้นำผู้อาวุโสของสำนักของตนออกมาต้อนรับขับสู้
“พี่ฉี ลมอะไรหอบท่านและผู้อาวุโสสูงสุดหลิวให้มาเยี่ยมเยือนสำนักของข้าได้กัน”
เจิ้งฮูเชิงถามออกมาด้วยท่าทางใหญ่โตในทันทีที่ลงสู่พื้นก่อนจับจ้องไปที่หยานเสวี่ยและเฉินเฉียง
ผอ.ฉีได้เดินก้าวขึ้นหน้ามาและเตรียมที่จะพูด แต่หลิวฉิงหยุนกับตัดหน้าเขาเสียอย่างนั้น
“เจิ้งฮูเชิง ไม่ต้องเห่าหอนให้มากความ”
“เรียกหลี่เฟิงศิษย์นอกของเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้”
“เอิ้กกกกกก”
เจิ้งฮูเชิงที่เห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวแค้นเคืองของหลิวฉิงหยุนในตอนนี้ย่อมรู้ดีว่าพวกเขาไม่ได้มาดีเป็นแน่ แถมยังมาพูดให้ส่งตัวศิษย์ของตนออกมาแบบนี้นี่ทำให้เขารู้แล้วว่าหลิวฉิงหยุนนั้นมาหาเรื่องเอาความกับเขาอย่างแน่นอน นี่จึงทำให้เขาพูดออกมาด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยอยากจะเอ่ย “ผู้อาวุโสหลิว นี่มันเรื่องอะไรกันท่านถึงได้มาหาเรื่องกับศิษย์ภายนอกของข้าแบบนี้น่ะ”
ผอ.ฉีได้จ้องเขม็งไปที่หลิวฉิงหยุนให้หยุดการกระทำ
นับจากหลิวฉิงหยุนถูกโจมตีโดยวิหารศักดิ์สิทธิ์ นี่ทำให้หลิวฉิงหยุนต้องทนกับความเสียนิสัยของผู้อาวุโสคนนี้อยู่บ่อยครั้งยิ่งกว่าเดิม
แต่ในครั้งนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงสองสำนัก จะดีกว่าหากเป็นผอ.ของทั้งสองสำนักเป็นผู้จัดการ
หากว่าหลิวฉิงหยุนยังทำตามใจตัวเองอยู่อีก นี่จะทำให้ผู้คนที่รับรู้ว่าสำนักเต๋าใต้บาดาลเป็นพวกรักสงบจะคิดยังไง
หลิวฉิงหยุนเองก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี เขาจึงได้เงียบปากของตนและไม่คิดจะโผงผางออกไปอีก
“พี่เจิ้ง ผู้อาวุโสหลิวช่วงนี้อารมณ์ไม่ค่อยดีน่ะ ท่านก็อย่าถือสาเลยแล้วกัน”
เมื่อเจิ้งฮูเชิงได้ยินแบบนี้ เขาก็มองหลิวฉิงหยุนประหนึ่งดั่งเข้าใจในอารมณ์ของเขาในตอนนี้ก่อนจะเผยรอยยิ้มแล้วพูดออกมา “ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ”
“พี่ฉี ผู้อาวุโสหลิว หากมีเรื่องอันใดเชิญเข้าไปก่อนแล้วค่อยพูดคุยกัน”
หลังจากพูดจบ เจิ้งฮูเชิงได้ผายมือของตนก่อนจะนำพาผู้อาวุโสฉีเข้าไป
หลิวฉิงหยุนที่ยืนอยู่ข้างเฉินเฉียงได้มองตามหลังหลิวฮูเชิงไปด้วยใบหน้าที่บูดบึ้งประดุจอีกฝ่ายติดเงินตนไว้อย่างมากมายและยังมีหน้ามาลอยหน้าลอยตา
ทำไมสำนักเต๋าดาวตกจะไม่รู้เรื่องที่วิหารศักดิ์สิทธิ์มาพังหลังคาบ้านของคู่แข่งของตนกันล่ะ
เพียงแค่สบตากับเจิ้งฮูเชิงและผู้อาวุโสคนอื่นที่ส่งสายตาสมเพชออกมานั้นมันก็เพียงพอที่จะอธิบายได้ในทุกสิ่ง
ในฐานะที่เป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักใต้บาดาลนั้น เมื่อถูกมองด้วยสายตาแบบนี้มันเปรียบได้ดั่งการถูกดูแคลนอย่างที่สุดพอๆตอนที่วิหารศักดิ์สิทธิ์มาฆ่าหลานของตน และนี่ทำให้เขากลายเป็นตัวตลกของผู้คนและถูกหยามเหยียดเมื่อลับหลัง
ยังไงซะที่นี่ก็คือสำนักเต๋าดาวตกที่เป็นที่นับหน้าถือตา
เจิ้งฮูเชิงได้นำพาผอ.ฉีและอีกสามคนเข้าห้องรับรองภายนอก
ในฐานะที่เป็นผู้มาเยือน ในทันทีที่ได้นั่งลง ผอ.ฉีก็ได้พูดเข้าประเด็นในทันที “พี่เจิ้ง ไม่กี่วันก่อนนั้นศิษย์นอกของข้าสองคนได้ไปเขาม่อกั๋นเพื่อทำภารกิจฆ่าสัตว์วิญญาณ อ้อสองคนที่ว่านั่นคือสองคนนี้”
เมื่อพูดจบ ผอ.ฉีก็ชี้นิ้วไปที่เฉินเฉียงและหยานเสวี่ย
“ด้วยเหตุที่ข้านั้นเป็นห่วงในความปลอดภัยของศิษย์สองคนนี้ ศิษย์ภายนอกของข้าอีกสองคนจึงได้อาสาติดตามสองคนนี้เพื่อคอยเป็นเงาระวังหลังให้”
“แต่ศิษย์ของข้าสองคนนี้ได้แจ้งต่อข้าว่าหลังจากที่ทั้งสองเข้าไปในเขาได้ไม่นาน พวกเขาได้พบกับศิษย์ภายนอกของสำนักพี่เจิ้งที่มีชื่อว่าหลี่เฟิง”
“และเพื่อไม่ให้ทั้งสองฝ่ายต้องทะเลาะเบาะแว้งกัน ศิษย์สองคนนี้จึงได้รีบกลับมายังสำนักเต๋าของข้าก่อน”
“แต่หลังจากผ่านไปแล้ว ศิษย์ที่ข้าส่งไปเป็นเงาคอยอารักษ์เขานั้น หรือก็คือหลิวเซียงและจ้าวเจียนั้นกลับไม่ปรากฏตัวหรือกลับมายังสำนักแต่อย่างใด”
“นี่ทำให้ข้านั้นคิดจะมาสอบถามหลี่เฟิง ศิษย์นอกของท่านว่าพอจะรับรู้เรื่องนี้บ้างรึเปล่า”