ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 364 คืนคำ
บทที่ 364 คืนคำ
หากเป็นศิษย์ภายนอกคนอื่นนั้น พวกเขาคงไม่แม้แต่แยแสเมื่อได้ยินเรื่องราว
แต่ศิษย์นอกที่ตกตายไปกลับเป็นน้องชายศิษย์ที่พวกตนเฝ้าฟูมฟักมาอย่างดี แล้วอยู่ๆเรื่องราวจบไปกลางคันแบบนี้จะให้พวกเขาพูดกับศิษย์ของตนยังไงได้กัน
เมื่อเฉินเฉียงได้เห็นฉากนี้ ก็ทำให้เขาอดจะพูดกับหยานเสวี่ยด้วยเสียงเบาๆไม่ได้ “คุณหนู นี่ข้าจำอะไรผิดไปงั้นรึ”
“ข้าจำได้ว่ามีใครบางคนพูดออกมากับปากว่าทำนองว่าเพียงแค่ศิษย์นอก จะไปแยแสอะไรมากมาย”
“แต่นี่พอศิษย์นอกของตนได้ตกตายไป ก็ทำราวกับต้องให้คนอื่นต้องเดือดเนื้อร้อนแทนเสียให้ได้”
“ตกลงว่าสำนักเต๋าดาวตกเห็นดีแค่พวกพ้องเสียกระมัง”
“แต่ข้าว่าที่พวกเขาห่วงศิษย์นอกขนาดนี้เป็นเพราะกลัวจะไม่มีใครเหลือในสำนักมากกว่า”
“เฮ้อ โชคดีจริงๆที่พวกเราเลือกเข้าสำนักใต้บาดาลไม่ใช่สำนักดาวตก ไม่อย่างนั้นล่ะก็ยามที่เราได้รับฟังคำพูดของผู้อาวุโสที่พูดอย่างทำอย่างราวกับตดไม่มีเนื้อแบบนี้ พวกเราก็คงไม่รู้ว่าคำพูดไหนควรเชื่อควรทำได้บ้าง”
หยานเสวี่ยพยักหน้ารับในเรื่องนี้พลางมองไปที่เฉิงยี่อย่างดูแคลน
เมื่อเฉิงยี่ได้เห็นฉากนี้ก็กลับเป็นเดือดแค้นหมายจะเอาคืนแต่ก็ถูกเจิ้งฮูเชิงหยุดเอาไว้
หากเป็นก่อนหน้านี้ ถ้าเฉิงยี่โดนเฉินเฉียงพูดออกมาแบบนี้เขาเองก็คงจะปล่อยให้เฉิงยี่ลงมือสั่งสอน
แต่ในตอนนี้ ผอ.ฉีได้ออกมาบอกด้วยปากตนเองว่าเฉินเฉียงนั้นไม่ว่ายังไงก็ถือว่าเป็นศิษย์ในของสำนักเต๋าใต้บาดาล หากเฉิงยี่ลงมือ ผอ.ฉีย่อมไม่ปล่อยเอาไว้
นี่ทำให้เจิ้งฮูเชิงมองเฉินเฉียงด้วยสายตาที่นิ่งลึก ก่อนจะหันไปหาผอ.ฉีแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “พี่ฉี ช่างน่าเสียดายนักที่พวกเรามาที่นี่ในวันนี้กลับไม่ได้อะไรกันเลย”
“อย่างไรก็ตาม ในอีกสามเดือนข้างหน้า ในงานประลองระหว่างสำนักที่กำลังจะมาถึง เมื่อเราได้พบเจอกัน ข้าเชื่อว่าจะต้องได้พานพบสิ่งดีๆในวันนั้นเป็นแน่”
คำพูดของเจิ้งฮูเชิงนั้นแม้จะพูดออกมาราวกับเป็นเรื่องของภาพรวม แต่ความจริงแล้วเขานั้นให้ค่าและเชื่อใจหลี่ฉิงมากจนกล้าพูดออกมา
ไม่ว่าเฉินเฉียงจะมีทักษะเลิศเลอมาจากไหน แต่ในทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในลานประลอง หลี่ฉิงจะต้องเด็ดหัวเฉินเฉียงได้ในทันที
ถึงแม้เจิ้งฮูเชิ้งนั้นจะหมายตาเฉินเฉียงเอาไว้ แต่ในเมื่อเขาไม่ได้ตัวไป เขาย่อมถากถางไม่ให้กลายเป็นเสี้ยนหนามของเขาในภายหลัง
ผอ.ฉีเองก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี แต่ก็ไม่ได้คิดมากแต่อย่างใด
นั่นก็เพราะในวันนี้ เขาได้พบเจอสมบัติล้ำค่าอย่างเฉินเฉียงแล้วนั่นเอง
ต่อให้หลิวเซียงตกตายไป มันเทียบไม่ได้กับการได้พบเจอเฉินเฉียงเลยสักนิด
แม้แต่หลิวฉิงหยุนเองก็ยังมีความสุขไม่ต่างกัน
นับจากที่โดนข่มเหงโดยวิหารศักดิ์สิทธิ์ แม้ใจเขาอยากจะแก้แค้นแต่ความแข็งแกร่งของเขากลับไม่อำนวย
แต่การปรากฏตัวของเฉินเฉียงนี้ สำหรับเขาแล้วนี่คือโอกาสที่สวรรค์ประทานมาให้
หากเฉินเฉียงยังคงรักษาและแสดงออกในความเลิศล้ำของตนได้แบบนี้ไปตลอด เขาเชื่อว่าเฉินเฉียงย่อมมีโอกาสได้เข้าร่วมกับวิหารศักดิ์สิทธิ์
ตราบใดที่เขายังรักษาสายสัมพันธ์กับเฉินเฉียงเอาไว้ และคอยสนับสนุนเขาอย่างต่อเนื่อง ในอนาคต เขาจะเห็นเฉินเฉียงทวงคืนความแค้นที่โดนกดขี่โดยมหาราชาทั้งสิบแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์
เมื่อคดิได้แบบนี้ ร่างกายของหลิวฉิงหยุนราวกับจะปลอดโปร่งโล่งสบายมากขึ้น เข้าเดินไปหาผอ.ฉีแล้วพูดออกมา “ผอ. เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่เห็นทีน่จะเป็นพวกโจรพลัดถิ่นเสียกระมัง เกรงว่าพวกเราน่าจะจนปัญญาสืบสวนแล้ว”
“ข้าคิดว่าเราควรจะรีบกลับไปยังสำนักจะดีกว่า ยังมีเรื่องราวมากมายที่พวกเราต้องจัดการอยู่อีก”
เมื่อพูดจบ หลิวฉิงหยุนก็ได้หันไปมองเฉินเฉียงหยานเสวี่ยโดยไม่ปิดบังรอยยิ้มบนใบหน้า
ผอ.ฉีเองก็เข้าใจในความคิดของหลิวฉิงหยุน เขาเผยรอยยิ้มแล้วหันไปพูดกับเจิ้งฮูเชิง “พี่เจิ้ง ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้าเชื่อว่าพวกเราก็คงไม่มีสิ่งใดที่ค้างคาใจต่อกันอีก เอาเป็นเราแยกย้ายกันตรงนี้แล้วกัน”
เจิ้งฮูเชิงพยักหน้ารับพลางมองตามผอ.ฉีและคนอื่นๆที่บินจากไป
“ฮึ่ม สำนักเต๋าใต้บาดาลในที่สุดก็ได้สมบัติล้ำค่าไปจนได้”
“เป็นเพียงแค่ผู้ติดตามตัวน้อยแต่กลับดีดนายพลวิญญาณจนกระเด็นได้ นี่มันกั๊กเอาไว้ชัดๆ”
หลี่ฉิงที่ในตอนนี้ใช้มือหนึ่งกุมอกของตนไว้ เมื่อได้ยินเขาก็กำหมัดนั้นพลางมองตามไปด้วยสายตาที่เดือดแค้นแล้วพูดออกมา “อาจารย์ อย่าได้เป็นกังวลไป ถึงแม้เฉินเฉียงนั่นจะเป็นอัจฉริยบุคคล แต่ในการประลองข้างหน้า ศิษย์จะไม่ยอมให้มันได้เบ่งบาน”
เจิ้งฮูเชิงพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสสูงสุด หลี่ฉิง ไอ้เด็กนี่ฝีมือไม่เลวเลย แถมดูเหมือนว่าตัวมันนั้นยังสามารถยกระดับการบ่มเพาะไปอยู่ในระดับนายพลได้ในช่วงสามเดือนก่อนการประลองเป็นแน่”
“หลังจากกลับไปแล้ว เจ้าต้องดูแลหลี่ฉิงให้ดี และเตรียมวัสดุบ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตให้กับหลี่ฉิงจนยกระดับให้ได้ หากทำไม่ได้ล่ะก็ พวกเราคงไม่อาจจะโงหัวขึ้นมาได้อีกต่อไป”
เจิ้งฮูเชิงพูดออกมาประหนึ่งมั่นใจแต่เขาก็ขยับคิ้วประกบกันไปมาราวกับกำลังคาดคำนวณพลางมองตามทั้งสี่คนจากไปราวกับคิดอะไรบางอย่าง และในที่สุดก็ได้พูดออกมา
“ในการประลองสองสำนักครั้งต่อไป การประลองระหว่างหลี่ฉิงและเฉินเฉียงจะเป็นการชี้ชะตาสำนักของเราและสำนักเต๋าใต้บาดาล”
“ดังนั้น สำนักเต๋าดาวตกของเราต้องห้ามแพ้เป็นอันขาด”
…..
หลังจากกลับไปยังยอดเขาเทียมฟ้า ผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุนยังไม่ได้กลับไปยังตึกในแต่อย่างใด พวกเขาต่างก็ไปยังบ้านพักของหยานเสวี่ย
และนี่ทำให้เหล่าศิษย์นอกที่รับรู้กันต่างก็พากันพูดคุยถึงเรื่องนี้ ก่อนที่จะยกโขยงกันไปเพื่อต้องการรับรู้ความจริงของคนอื่น
แม้แต่เสี่ยวหลูไจ๋เองก็ยังไปมุงดูกับเขาด้วย
เสี่ยวหลูไจ๋ที่ถือว่าตัวเองมีข้อมูลภายในอยู่บ้างก็ได้จ้องมองไปยังบ้านพักของหยานเสวี่ยด้วยท่าทางยืนมองกอดอก ก่อนที่จะสบถและพูดจาระรานหยานเสวี่ยออกมา
“ฮึ่ม หยานเสวี่ยผู้นี้ไม่รู้ไปมีดีมาจากไหน ไม่เพียงปฏิเสธคนอย่างศิษย์พี่หลิวเซียงแล้ว แม้แต่ตอนนี้ทั้งศิษย์พี่หลิวเซียงและศิษย์พี่จ้าวเจียได้สูญหายไปเพราะนาง คอยดูเถอะ ผอ.และผู้อาวุโสสูงสุดจะไม่ยอมปล่อยนางและผู้ติดตามไปง่ายๆเป็นแน่”
เม่ยซินและหลี่กวงที่ยืนอยู่อีกฟากฝั่งเมื่อมาถึงและได้ยินคำพูดของเสี่ยวหลูไจ๋แล้วก็ได้มองหน้ากันพร้อมเผยท่าทางร้อนรน
ถึงแม้หลี่กวงจะไม่ชอบเฉินเฉียง แต่กับสาวงามอย่างหยานเสวี่ยนั้นมันน่าเสียดายเกินไปหากนางต้องเกิดเรื่องขึ้นกับเรื่องเพียงเท่านี้
ส่วนเม่ยซินนั้น แม้เธอจะทำตัวดูเอ๋อๆไปบ้าง แต่เธอไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์ทั้งหยานเสวี่ยและเฉินเฉียงแต่อย่างใด
เอาจริงๆแล้วเธอกับหยานเสวี่ยนั้น นับแต่เข้ามาในสำนักนั้น เธอเหมือนจะสนิทกับหยานเสวี่ยเกินกว่าใครในแผนกเสียด้วยซ้ำ และเมื่อรับรู้ว่าหญิงสาวที่อยู่ในแผนกเดียวกันที่เธอรู้จักมักจี่ด้วยกำลังจะมีเรื่องเดือดร้อนแบบนี้ เธอเองก็อดที่จะทนดูเฉยๆเหมือนกับการฆ่ากระต่ายเล่นและย่างหมากินไม่ได้ เอาจริงๆเธอค่อนข้างจะสนใจในตัวหยานเสวี่ยเสียด้วยซ้ำ
“พี่หลี่กวง ทั้งผอ.และผู้อาวุโสสูงสุดมาด้วยกันทั้งคู่แบบนี้ ท่านว่าพี่สาวหยานเสวี่ยจะโดนลงโทษจริงๆรึเปล่า”
หลี่กวงได้พยายามพูดปลอบเม่ยซิน “เม่ยซิน ไม่ต้องกังวล พอดีข้าพึ่งผบเพื่อนใหม่มาเมื่อไม่กี่วันก่อน”
เมื่อพูดจบ หลี่กวงได้ดึงชายที่เตี้ยกว่าตนออกมาจากด้านหลังแล้วแนะนำตัว “เม่ยซิน นี่คือพี่หลูเฟิงที่อยู่ในแผนกปรุงยาของเรา นอกจากศิษย์พี่หลิวเซียงแล้วก็มีเขานี่แหละที่เก่งเป็นสองรองลงมา”
“อีกไม่นานศิษย์พี่หลูเฟิงก็จะได้กลายเป็นศิษย์ในแห่งแผนกปรุงยาของเรา”
“ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้ยินเรื่องราวจากด้านใน แต่ศิษย์พี่หลูเฟิงนั้นมีพลังจิตที่แกร่งกล้า เขาจะเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวภายในห้องให้พวกเราได้ฟังกัน”
ถึงแม้หลูเฟิงจะตัวเตี้ยไปหน่อย เขานั้นสูงเพียงประมาณระดับอกของหลี่กวงเท่านั้น แต่อายุของเขาก็ปาเข้าไปยี่สิบเอ็ดไม่ก็ยี่สิบสองปีเข้าไปแล้ว
เมื่อหลี่กวงเรียกเขามา หลูเฟิงก็เบิกตาเรียวๆของตนใหญ่โตในทันทีได้พบเจอเรือนร่างที่งดงามและใบหน้าสะคราญโฉมของเม่ยซินในทันที
แต่ด้วยการที่เม่ยซินลุ้นเรื่องภายในห้องของหยานเสวี่ยจนราวกับสติใกล้จะแตก เธอก็ไม่ได้แยแสในเรื่องนี้ แถมยังถามออกมาด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานเสียอีก “พี่หลูเฟิง… พี่ท่านได้ยินเรื่องราวภายในห้องได้จริงๆหรือคะ”