ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 366 ยากจะรับ
บทที่ 366 ยากจะรับ
ภายในห้อง ผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุนยังคงยิ้มร่าออกมา
แม้เฉินเฉียงจะปฏิเสธในการเข้าเป็นศิษย์ภายในของสำนักเต๋าใต้บาดาล แต่ทั้งสองก็ไม่ได้แสดงท่าทางอารมณ์เสียออกมาแต่อย่างใด
ผอ.ฉีนั้นคือผู้ที่หลงใหลในอัจฉริยบุคคล แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีทางโกรธคนที่มีความสามารถล้ำเลิศเช่นเฉินเฉียงไปได้
หลิวฉิงหยุนนั้นมีเป้าหมายอยู่ในใจ และเขาก็ได้พบคนที่เป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นเลิศที่จะทำให้เขาปีนป่ายไปที่นั่นได้
ตราบใดที่เฉินเฉียงได้รับการชุบเลี้ยง เขาเชื่อว่าพวกส่วนกลางนั้นต้องส่งเขาไปที่หอบ่มเพาะเพื่อเตรียมส่งตัวเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์แน่นอน
ดังนั้นในทันทีที่เฉินเฉียงได้เข้าเป็นศิษย์ภายใน เขาจะเสี้ยมสอนเฉินเฉียงให้จงเกลียดจงชังผู้อาวุโสแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์และลงมือแก้แค้นแทนเขาให้จงได้
ส่วนเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยในตอนนี้ก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรเป็นพิเศษเมื่ออยู่ต่อหน้าทั้งสองคน
ยังไงซะ หากนับระดับการบ่มเพาะที่แท้จริง เขาทั้งสองไม่ได้ด้อยไปกว่าผอ.เฉียนและหลิวฉิงหยุนแม้แต่น้อย
แต่หากถึงความแข็งแกร่ง เฉินเฉียงเพียงคนเดียวก็เพียงพอจะถล่มคนทั้งสำนัก
หากว่าผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุนยังคงกดดันเขาอยู่ อย่างมากเขาก็แค่จากไปจากที่นี่
ทั่วทั้งเมืองเฉินหลิวนี้ ไม่มีใครสักคนที่มีความสามารถพอจะหยุดพวกเขาไว้ได้แน่นอน
แต่หากสำนักเต๋าใต้บาดาลไม่สร้างความยุ่งยากให้เขา เขาก็จะหาโอกาสสืบค้นข้อมูลต่างๆต่อไป
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฉินเฉียงจึงเปิดปากพูดความต้องการของตนออกมาตรงๆ “ผอ. ผู้อาวุโสสูงสุดหลิว พวกข้านั้นแม้ไม่ต้องการจะเข้าไปเป็นศิษย์ภายในโดยตรง แต่ข้าว่าพวกข้าลงแข่งชิงตำแหน่งศิษย์ภายในที่จะจัดขึ้นในสองเดือนจะดีกว่า และนี่จะทำให้พวกข้าดูมีคุณค่ายิ่งขึ้นในงานประลองสองสำนักในอีกสามเดือนข้างหน้า”
“แต่กับเรื่องนี้ ข้าเองก็หวังจะให้ทางสำนักนั้นอนุญาตให้พวกเขาลงเขาไปฝึกตนด้วยเช่นกัน”
ผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุนยิ้มร่าในทันทีที่ได้ยิน
“ฮ่าฮ่าฮ่า เฉินเฉียง นั่นย่อมไม่มีปัญหา”
“สำนักของเรานั้นส่งเสริมให้ศิษย์นั้นออกไปฝึกฝนตนเองที่โลกภายนอกมาโดยตลอดอยู่แล้ว”
“ถึงแม้ว่าศิษย์นอกนั้นจะออกไปได้เมื่อรับภารกิจผ่านหอภารกิจก็จริง แต่กับศิษย์ในนั้นสำนักเราไม่มีข้อจำกัดในเรื่องนี้”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ผู้อาวุโสหลิว ข้าว่าพวกเรายกเว้นเฉินเฉียงเป็นกรณีพิเศษแล้วกัน เพราะไม่ว่ายังไงอีกสองเดือนเขาก็จะกลายเป็นศิษย์ในอยู่แล้ว”
“ข้าเห็นด้วย” หลิวฉิงหยุนพยักหน้ารับ “หลังจากเรากลับไปเดี๋ยวข้าจะจัดการเรื่องนี้ในทันที นับจากนี้เจ้าสามารถเข้าออกสำนักได้ตามที่เจ้าต้องการ และไอ้แก่คนนี้จะเตรียมที่บ่มเพาะที่เงียบสงบให้เจ้าภายในเขตศิษย์ในไว้ให้”
“แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม เจ้านั้นห้ามพลาดการสอบเข้าศิษย์ภายในที่จะสอบในสองเดือนข้างหน้ารวมถึงศึกใหญ่กับสำนักเต๋าดาวตกที่จะจัดขึ้นในสามเดือนหลังจากนี้”
หลังจากบรรลุเป้าหมายของตนแล้ว ผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุนก็ได้เดินออกจากห้องพักของหยานเสวี่ยไป
ในตอนนี้เหล่าศิษย์นอกของสำนักหลายสิบคนที่มามุงอยู่ด้านนอกและกำลังมองเข้ามาในห้องประหนึ่งดังเด็กขี้สงสัยนั้น เมื่อเห็นผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุนออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัวก็ถึงกับต้องผงะ
เมื่อหลิวฉิงหยุนเห็นพวกเขาเหล่านี้แล้ว ใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มก็ได้หุบลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะตะโกนออกมาด้วยใบหน้านิ่งเรียบ “จะมองอะไรกันนักหนาห้ะ…..ก็ดีพวกเจ้าจงฟังเอาไว้”
“นับจากวันนี้ห้ามให้ใครเข้ามาก่อเรื่องวุ่นวายในพื้นที่บริเวณนี้ หากใครขัดคำสั่ง ไล่ออกสถานเดียว”
เมื่อสิ้นคำของหลิวฉิงหยุน ศิษย์นอกทั้งหลายต่างก็แตกฮือกันในทันที
ในตอนนี้พวกเขารับรู้ได้แล้วว่าแม้ทั้งเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยจะยังอยู่ในเขตศิษย์นอก แต่ทั้งสองก็จะได้รับการปฏิบัติราวกับเป็นศิษย์ภายใน
นี่ทำให้คนอื่นๆในเหล่าศิษย์นอก โดยเฉพาะเม่ยซินและหลี่กวงผู้ซึ่งเข้ามาในสำนักด้วยกันในฐานะศิษย์ภายนอกแผนกปรุงยาพร้อมกันนั้นรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
นั่นก็เพราะในช่วงเวลาสั้นๆ สถานะของทั้งสองกลับกลายเป็นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
มันยากเกินกว่าที่จะให้คนธรรมดาทั่วไปจะทำใจยอมรับได้
กับเม่ยซินนั้นยังพอว่า นั่นก็เพราะแต่เดิมนั้นเธอไม่ได้รู้สึกเลวร้ายกับทั้งสองคน แถมเธอนั้นยังคอยเข้าหาเลยด้วยซ้ำ และนี่ทำให้ให้เธอนั้นเพียงแค่ผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้ไปถึงขั้นริษยาชิงชังแบบคนอื่น
นี่ทำให้หลังจากหนีเตลิดมาจากการขับไล่ของหลิวฉิงหยุนแล้ว เธอจึงได้จูงมือหลี่กวงมายังหอภารกิจ
“เม่ยซิน เจ้าคงไม่คิดจะออกไปทำภารกิจหรอกนะ”
หลี่กวงถามออกมาราวกับไม่อยากจะคิด ในขณะที่มองเม่ยซินเลือกภารกิจที่ปะไว้บนกำแพง
เม่ยซินพยักหน้ารับในขณะที่มองภารกิจที่อยู่บนกำแพง “ถูกต้องแล้วค่ะพี่ใหญ่หลี่กวง พี่หญิงหยานเสวี่ยและคนอื่นๆต่างก็ออกไปทำภารกิจที่นอกสำนักกันมาแล้ว ข้าเลยอยากจะลองดูบ้าง”
อีกอย่างหนึ่งข้าได้ยินมาว่าศิษย์แผนกปรุงยาอย่างพวกเรานั้นจะเติบโตได้เร็วขึ้นเมื่อได้ออกไปพบเจอสมุนไพรต่างๆตามขุนเขา และเก็บมาปรุงยาของตนเองได้อย่างอิสระ
“แต่….เจ้าก็ได้ยินเสี่ยวหลูไจ๋แล้วนี่ว่าทั้งสองคนนั้นไม่ได้อ่อนแอในกำลังการต่อสู้จึงได้กล้าออกไป”
“แต่เราสองคนนั้นฝีมือไม่ถึงขั้นพวกเขา แล้วพวกเราจะเดินเข้าไปหาอันตรายทำไมกัน”
“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าจะเลือกเพียงแค่ภารกิจเก็บสมุนไพรยังไงล่ะ” เมื่อพูดจบ เม่ยซินก็ได้ชี้ไปที่กระดาษประกาศหนึ่งอย่างตื่นเต้น “พวกเรามาทำภารกิจนี้ด้วยกันดีกว่านะ”
เมื่อเห็นว่าเม่ยซินตัดสินใจแล้ว หลี่กวงก็ได้ทำเพียงเงียบปากลง
เขามาจากตระกูลใหญ่แห่งเมืองเฉินหลิว ไม่มีทางที่เขาจะออกไปเสี่ยงทำภารกิจแบบนี้เป็นอันขาด
“น้องเม่ยซิน ข้าขอโทษ ข้าคงไม่อาจร่วมทำภารกิจกับเจ้าได้”
“ข้าขอแนะนำให้เจ้าคิดให้ดีจะดีกว่า เขาม่อกั๋นนั้นเป็นสถานที่อันตรายอย่างที่สุด นอกจากสัตว์มากมายหลายชนิดแล้ว มันยังมีโอกาสที่เจ้าจะได้เจอไอ้พวกป่วยจิตอย่างสำนักเต๋าดาวตกอีก”
“การเสี่ยงตัวเองเพื่อทำภารกิจนั้นมันไม่ได้คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย”
เม่ยซินส่ายหัวพร้อมกับจ้องมองไปที่หลี่กวงด้วยท่าทางที่ยากจะบรรยาย “พี่ใหญ่หลี่กวง ข้ารู้ว่าคำพูดของท่านนั้นมันสมเหตุสมผล แต่ข้าตัดสินใจแล้วไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ”
ครอบครัวของทั้งสองนั้นต่างก็มาจากเมืองเฉินหลิว แต่ครอบครัวของเม่ยซินไม่ได้มีฐานะดีเท่าหลี่กวง แม้แต่ค่าธรรมเนียมการสอบเข้ามายังที่นี่ เธอยังต้องยืมมาจากหลี่กวงเลย
นี่จึงทำให้เม่ยซินเองไม่ได้ทำตัวรังเกียจหลี่กวงแต่อย่างใด แถมยังเลือกที่จะอยู่ข้างๆเสียด้วยซ้ำ
แต่ด้วยการที่ฐานะครอบครัวที่แตกต่างกัน เธอจึงไม่อาจทำอย่างหลี่กวงได้ที่คิดจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายและอยู่รอดปลอดภัยในสำนักเต๋าใต้บาดาลเพียงเท่านั้น
หลายครั้งหลายหนที่สิ่งแวดล้อมมีผลต่อการตัดสินใจในทางเลือกการใช้ชีวิตของผู้คน
และเพื่อให้อยู่รอด เม่ยซินและหลี่กวงที่มีฐานะทางครอบครัวที่แตกต่างกันไปนั้นย่อมมีวิธีการเลือกที่แตกต่างกัน
ถึงแม้มันจะเป็นทางเลือกเล็กๆ แต่นี่ก็ถือได้ว่าเป็นสัญญาณ
หากในครั้งนี้ เม่ยซินสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ระยะห่างระหว่างเธอและเขาจะห่างมากขึ้นเรื่อยๆ และในท้ายที่สุด ทั้งสองจะแยกจากกันอย่างสมบูรณ์
เม่ยซินนั้นไม่ได้โทษหลี่กวงที่ขัดขวางตัวเธอแต่อย่างใด นั่นก็เพราะเส้นทางที่เธอเลือกนั้นเต็มไปด้วยอันตราย และต่อให้เธอต้องตกตายที่เขาม่อกั๋น เธอก็ไม่นึกเสียใจเช่นเดียวกัน
การเติบโตของผู้คนจำเป็นต้องผ่านค่าใช้จ่ายเช่นนี้
บางครั้งราคาของมันคือความเจ็บปวด บ้างก็ถึงขั้นสูญเสียชีวิต
ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น แต่เม่ยซินกลับรู้สึกดีกว่าก่อนที่จะคอยนั่งอยู่ในสถานที่ที่มีลมพัดโชยเย็นสบายและสายน้ำที่ไหลรินสงบนิ่งอยู่แบบนี้
นั่นก็เพราะบนโลกนั้นใช่ว่าพระอาทิตย์จะฉายแสงอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน มีเพียงผู้ตระเตรียมตัวไว้จึงจะสามารถพบเจอกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน
และเมื่อเห็นเม่ยซินไปรับภารกิจที่โต๊ะรับภารกิจแล้ว หลี่กวงก็ได้จากไปโดยไม่พูดอะไร
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะอยากมีส่วนร่วมด้วย แต่เมื่อคิดถึงชีวิตของตนแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการกระทำสักเท่าไหร่นัก จึงทำได้เพียงแค่ปล่อยเธอไป
เขาเองก็รู้ดีว่าหากเม่ยซินกลับมาอย่างปลอดภัย ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็จะไม่อาจเป็นได้ดั่งเฉกเช่นเดิมอีก
ยังไงซะ เธอนั้นยินดีที่จะเลือกทางเดินของเธอแม้ว่ามันจะทำให้เธอเดินบนเส้นทางที่จะต่างไปจากเขาก็ตาม