ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 367 เริ่มสอบ
บทที่ 367 เริ่มสอบ
หลังจากยืนส่งผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุนจากไปแล้ว เฉินเฉียงก็ได้กลับไปยังห้องของตน
หลังจากสายเลือดของเขายกระดับเป็นขั้นสูง เฉินเฉียงก็พบว่าการฝึกเคล็ดวิชาภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรของเขาก็ดูละมุนและลื่นไหลยิ่งขึ้นเมื่อเขาตั้งจิตมั่นกว่าเดิม
และผลลัพธ์ที่ได้นั้นก็คือพลังจิตของเขานั้นแข็งแกร่งมากกว่าเดิมยิ่งๆขึ้นไปชนิดที่ว่ายกระดับอย่างน่าหวาดหวั่น
ด้วยช่วงเวลาสั้นๆหลังจากเขากลับมาจากเขาม่อกั๋นนั้น ค่าพลังจิตของเขาไปอยู่ที่หนึ่งพันสามร้อยห้าสิบแปดหน่วยแล้ว
มันมากกว่าเดิมเกือบร้อยหน่วยเลยทีเดียว
และนี่ก็ยิ่งทำให้ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นเสียยิ่งกว่าเดิม
หากจะให้ยกตัวอย่างล่ะก็ ด้วยค่าพลังจิตที่เพิ่มขึ้นมานี้ ระยะขอบเขตการตรวจจับของเขาจะเพิ่มขึ้นไปอีกเกือบสามร้อยไมล์
และนั่นเทียบกับขนาดโลกใบเล็กของเขา
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ โลกใบเล็กของเขานั้นมีขนาดพื้นที่อยู่ที่พันไมล์ เมื่อเขาส่งพลังจิตของตนเข้าไปแล้ว มันจะขาดไปอีกเพียงไม่กี่ไมล์เท่านั้นเขาก็จะรับรู้สถานะโลกใบเล็กของตนได้จนหมดสิ้น
บนโลกมนุษย์นั้น ผู้บ่มเพาะในระดับราชาขุนพลเองก็มีโลกใบเล็กในร่าง และโดยปกติจะอาศัยการขยายพื้นที่ของโลกใบเล็กเป็นการบ่มเพาะ
แต่นั่นก็ทำให้พวกเขานั้นใช้โลกใบเล็กของตนได้เป็นเพียงแค่พื้นที่เก็บของของตน รวมถึงสร้างสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าระดับของตนได้เพียงเท่านั้น เต็มที่ก็แค่ปลดปล่อยพลังฟ้าดินในร่างออกมาใช้ในการต่อสู้ได้เพียงนิดหน่อย
แต่หากคนเหล่านี้ต้องการจะควบคุมและจัดการโลกใบเล็กได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขาจำเป็นต้องอาศัยพลังอื่นเข้ามาควบคุม และสำหรับเขานั้นมันคือขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้
หากให้ยกตัวอย่างล่ะก็ เขาสามารถเข้าไปในโลกใบเล็กของหยานเสวี่ยและออกมาเมื่อไหร่ก็ได้
แต่การเข้าไปในโลกใบเล็กของเฉินเทียนเว่ยจะไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น
นั่นก็เพราะเฉินเทียนเว่ยได้รับพลังควบคุมโลกใบเล็กของตนที่เรียกว่าขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้มา ถึงแม้จะมีระยะเพียงเมตรเดียวแต่มันก็เพียงพอจะควบคุมเขาไว้ได้
ถึงแม้เขาจะเข้าใจในหลักการและอยากจะใช้ขอบเขตเจตจำนงของเขามากมายเพียงใด แต่ระดับขอบเขตเจตจำนงของเขาก็เป็นเพียงขั้นต้นเท่านั้น
นี่จึงทำให้เขานั้นไม่เพียงจะแสดงผลของมันได้ในระยะเพียงห้าเมตรรอบตัวเท่านั้น แม้แต่การควบคุมโลกใบเล็กของตนก็ยังทำได้อย่างน้อยนิด
แต่นี่ก็แสดงให้เห็นว่าขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้นั้นเป็นทักษะที่สำคัญมากมายเพียงใด
เมื่อเขาใช้ขอบเขตเจตจำนงของตน ไม่ว่าศัตรูหน้าไหนก็ตาม นอกจากเขาจะอนุญาตแล้วก็ไม่มีใครหน้าไหนสามารถแตะต้องตัวเขาได้
และด้วยการที่มันนั้นไร้รูปไร้สี มันสามารถแทรกซึมเข้าไปหาศัตรูและตัดสินเป็นตายได้อย่างไม่ยากเย็น
เป็นไปได้ว่านี่คือตัวตนของผู้ที่อยู่ในระดับราชาจักรพรรดิที่แท้จริง
แต่นี่ก็เป็นเพียงสมมติฐานของเฉินเฉียงเพียงเท่านั้น และเขาเองก็ต้องยกระดับขอบเขตเจตจำนงของตนให้ไปอยู่ในขั้นกลางให้ได้ก่อนเขาถึงจะแน่ใจในเรื่องนี้ได้
สองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เฉินเฉียงเปิดเปลือกตาขึ้นมาแล้วออกมาจากห้อง พร้อมกับกระแสจิตที่ไหลออกมาจากร่างอย่างเปี่ยมล้น
เจ้าของระบบ: เฉินเฉียง
ระดับ: นักรบสายเลือดระดับราชาขุนพลขั้นต้น
การหลอมรวมทักษะ: 1
การคัดเลือกทักษะ : 12
ค่าพลังงาน: 94,816,140
ค่าการใช้ประโยชน์:1
ค่าความอดทน:690
ค่าความแข็งแกร่ง:648
ค่าความเร็ว:495
ค่าพลังจิต:2246/2246
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: หลอมเลือดทำลายล้างระดับสูง
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: ภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทร ระดับสูง
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: เทคนิคฝึกฝนร่างกายพื้นฐาน ระดับสูงสุด
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: เทคนิคการเล่นแร่แปรธาตุแบบดั้งเดิม ระดับต้น
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: เทคนิคการยิงธนูของโฮ่วอี้(ผู้ดับตะวัน) ระดับสูงสุด
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: หุ่นเชิดโลหิต ระดับต้น
ทักษะ: …
ทักษะ: ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ ระดับต้น (ทักษะที่ 12)
ทักษะ: กลืนกินเลือดปีศาจ
ทักษะ: โลกใบเล็ก ระดับ 4
……
สายเลือด: โกลาหลอาชาไนย(โกลาหลขั้นสูง)
ไม่เพียงการยกระดับสายเลือดจะทำให้เคล็ดวิชาการบ่มเพาะเทคนิคการยิงธนูของโฮ่วอี้ของเขานั้นจะไปอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว โลกใบเล็กของเขาเองในตอนนี้ก็ได้ยกระดับไปอยู่ที่ระดับสี่ และนั่นทำให้มันมีพื้นที่มากกว่าเดิมเป็นสองพันไมล์
แต่ที่เขาปลื้มปริ่มมากที่สุด คงจะหนีไม่พ้นที่ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขาได้ยกระดับเป็นระดับต้น และนั่นทำให้เขาสามารถใช้มันได้เป็นระยะกว่าห้าสิบเมตร
ในทางทฤษฎีแล้ว ด้วยระยะเท่านี้มันมากพอที่จะทำให้เฉินเฉียงไร้เทียมทานในการต่อสู้ไม่ว่าจะต้องพบเจอกับผู้ใด
แต่นี่ก็เป็นเพียงทางทฤษฎีเพียงเท่านั้น
แต่อย่างน้อยๆมันก็เพียงพอที่จะทำให้เขานั้นสามารถรับมือกับภัยอันตรายในทันทีที่ได้พบเจอ
แต่ด้วยการที่ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขานั้นสิ้นเปลืองพลังจิตอย่างมหาศาล หากว่าเขาจะใช้มันจริงๆเขาก็สามารถใช้มันได้เพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น และหลังจากนั้นเขาก็จะถูกไล่ฆ่าเฉกเช่นดังเดิม
ที่ห้องข้างๆ หยานเสวี่ยเองยังคงทำตามคำสอนและหมั่นฝึกฝนตามคำแนะนำของเฉินเฉียงในการปรุงยาอยู่ไม่ขาด
ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในระดับเฉินเฉียง แต่อย่างน้อยๆเธอก็สามารถปรุงยาพื้นฐานอย่างเม็ดยาฟื้นฟูได้แล้ว
และด้วยการปรุงยาระดับนี้ นี่ทำให้เธอเพียงพอที่จะเข้าสำนักใต้บาดาลในฐานะศิษย์ภายในได้
และนี่ต้องขอบคุณความดื้อดึงของเฉินเฉียงที่ไม่ยอมถอดใจในการสอนหยานเสวี่ยสักที มันทำให้เธอนั้นก้าวหน้าในฝีมือของเธออย่างมาก
แน่นอนว่าหากเป็นศิษย์นอกคนอื่น พวกเขาไม่มีทางรับความดื้อรั้นของเขาไว้ได้อย่างแน่นอน
แต่ดังคำกล่าวว่าในทุกกรณีย่อมมีข้อยกเว้น
ไม่เช่นนั้นแล้ว การสอบเข้าศิษย์ภายในของสำนักเต๋าใต้บาดาลในครั้งนี้ก็คงจะแกร่วอย่างแน่นอน
ด้วยการที่เขตศิษย์นอกสำนักเต๋าใต้บาดาลนั้นไม่ได้มีผู้เชี่ยวชาญในด้านการสอนการปรุงยา อย่างมากพวกเขาจะได้พบเจอผู้ให้ความรู้ที่แท้จริงได้ก็ต่อเมื่อเข้าเป็นศิษย์ภายในเท่านั้น
นี่จึงทำให้บางคนคิดว่าตนเองไร้ความสามารถเพราะขาดผู้ชี้นำ จึงเป็นธรรมดาที่คนในแผนกนี้แทบจะไร้ความหวังในการเข้าเป็นศิษย์ภายในของสำนักเต๋าใต้บาดาล
แต่กับใครบางคนที่ตั้งเป้าเอาไว้เพื่อที่จะได้รับการสั่งสอนในการปรุงยาที่แท้จริงพร้อมกับได้รับวัสดุการบ่มเพาะอย่างมากล้นให้ได้
นี่จึงเป็นเหตุให้สำนักเต๋าใต้บาดาลใช้วิธีที่ให้ศิษย์ภายนอกเรียนรู้ด้วยตัวเองในการคัดเลือก หนึ่งคือเพื่อการคัดสรรเมล็ดพันธุ์ชั้นเยี่ยม อีกหนึ่งคือต้องการได้รับศิษย์ที่มีศักยภาพในการปรุงยาที่มากล้น
“ฮูมมมมม”
เสียงครางต่ำที่ดังก้องลากเสียงยาวดังสนั่น นี่คือสัญญาณประกาศการเริ่มสอบศิษย์ภายในสำนักเต๋าใต้บาดาล
การสอบเข้าเป็นศิษย์ภายในนั้นจัดขึ้นในทุกๆปี และสำหรับคนที่ได้เข้าไปเป็นศิษย์ภายในแล้วนั่นย่อมไม่สิ่งใดที่พิเศษแต่อย่างใด
แต่ในครั้งนี้มันแตกต่างจากที่เคยจนทำให้พวกเขาต่างก็สนใจ
แม้แต่ศิษย์นอกก็ยังรู้เลยว่าในการสอบครั้งนี้มีตัวเก็งสองคนที่เพียงแค่พวกเขาผ่านเกณฑ์พื้นฐานก็จะกลายเป็นศิษย์ภายในในทันที
แล้วจะไม่ให้พวกเขาประหลาดใจได้ยังไงล่ะ
นั่นก็เพราะในทุกๆปีที่มีการสอบเข้านั้น ไม่ว่าใครที่จะลงสอบก็ต้องคิดให้ดีก่อนที่จะลงสอบ เพราะผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากสอบไม่ผ่านมันยากที่จะรับได้
แต่ในตอนนี้กลับมีใครบางคนที่เพียงแค่ทำได้ตามความต้องการขั้นต่ำก็สามารถเข้าได้เลย จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะมาดูหน้าค่าตา
“เฮ้เฮ้ เจ้าเห็นแม่นางคนที่พึ่งจะเข้ามาในสนามสอบรึเปล่า”
ท่ามกลางผู้คน ชายหนุ่มหล่อลากดินคนหนึ่งชี้ไปที่หยานเสวี่ยด้วยท่าทางตื่นเต้นตื่นตูมแล้วพูดกับคนที่อยู่ข้างๆ “ข้าได้ยินมาว่าแม่นางคนนั้นได้รับการเชื้อเชิญเป็นพิเศษเลยนา รู้สึกว่านางจะชื่อหยานเสวี่ย”
“โอ้ นั่นรึหยานเสวี่ยไอ้แว่น เจ้าแน่ใจรึ นางก็ดูน่ารักดีอยู่หรอก แต่ข้าเห็นก็เท่านั้นนี่นา”
“โอ้ใช่ เจ้าแว่น เจ้าไปนั่งคัดเลือกศิษย์ภายนอกในแผนกปรุงยามาไม่ใช่เหรอ เจ้าคงไม่ใช่จะเลือกนางให้เข้าร่วมกับเราเพราะความสวยหรอกนา”
“ไร้สาระเว้ย” ชายใส่แว่นได้ดันแว่นตาของตนโดยใช้นิ้วดันเหล็กครอบจมูกขึ้นแล้วพูดออกมา “เจ้าไม่รู้อะไรแล้วยังทำมาเป็นพูด ตอนที่ข้าทดสอบนางนั้น ค่าพลังจิตของนางอยู่ในระดับม่วงเลยนะเว้ย”
“ข้าขอถามพี่ท่านทั้งหลายหน่อยเถอะว่าหากพวกเจ้าลองวัดค่าพลังจิตในตอนนี้นั้น ค่าพลังจิตของพวกเจ้าจะอยู่ในระดับใดกัน”