ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 369 ระดับสอง
บทที่ 369 ระดับสอง
เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเม่ยซินเองนั้นก็ได้ยินคำพูดของเธอ
ถึงแม้หยานเสวี่ยจะรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งกับท่าทางของเม่ยซินมาโดยตลอด แต่ในครั้งนี้ที่เธอเห็นด้วย
“เฉินเฉียง เจ้าว่าหวู่ซงจะสำเร็จรึเปล่า”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็ได้ลองใช้กระแสจิตของตนตรวจสอบหวู่ซงก่อนจะตะแคงหัวแล้วพูดออกมา “ก็พูดยากอยู่นะ”
ผู้ที่ต้องการจะฝึกฝนบ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนั้นจะต้องมีเลือดที่ทรงพลัง หรือก็คือมีร่างกายที่เฉพาะ
“ถึงแม้หวู่ซงจะดูผอมกะหร่องไปหน่อย แต่สายเลือดภายในร่างของเขาพิเศษอยู่ หากเขากินยาสลายเลือดไปแล้วด้วยเรื่องของร่างกายนั้นไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด”
“แต่ตามข้อมูลที่ข้าอ่านมานั้น การได้รับยาสลายเลือดนี้เป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น หลังจากนั้นยังมีก้าวสำคัญที่ต้องฝ่าไปให้ได้อยู่นั่นก็คือการรับตัวอ่อนสัตว์ปีศาจมาไว้ในร่างกาย”
“ในกระบวนการนี้มันขึ้นอยู่กับแรงใจของหวู่ซงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
“ตราบใดที่เขาทนการคุกคามของสัตว์ปีศาจและหลอมรวมกับมันได้ นั่นถึงจะถือว่าเขาคือผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตอย่างแท้จริง”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้พูดออกมาผ่านเสียงทางจิตวิญญาณ –แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม กับคนประเภทนี้สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้นการถูกกลืนกินโดยสัตว์ปีศาจไปตลอดชีวิตอยู่ดี หาใช่มนุษย์อีกต่อไปไม่-
หยานเสวี่ยเมื่อได้ยินก็แสดงออกมาด้วยท่าทางสงสัยเพราะเธอไม่รู้ว่าทำไมเฉินเฉียงถึงได้ข้อสรุปแบบนั้น
เฉินเฉียงถอนหายใจไปเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา –ในสายตาขอผู้คนทั่วไป ผู้บ่มเพาะบ่นเส้นหุ่นเชิดโลหิตนั้นมองดูเหมือนที่สุดกว่าทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการบ่มเพาะ และความแข็งแกร่งในการต่อสู้ นี่ทำให้คนเหล่านี้ไม่มีใครกล้าที่จะหาเรื่องได้-
-แต่เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าการที่คนเหล่านี้มีระดับการบ่มเพาะที่สูงขึ้นมานั้นก็เป็นเพราะว่ามันเป็นเพราะเลือดของสัตว์ปีศาจที่หมุนเวียนในร่างที่มาจากกลืนกินสิ่งมีชีวิตอื่น ไม่ว่ายังไงก็ตาม มันคือเส้นทางการบ่มเพาะที่ชั่วร้ายอย่างที่สุด-
-เส้นทางบ่มเพาะที่ทำให้ผู้คนสูงล้ำโดยการที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน-
-และที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือความกระหายของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด-
-เพื่อที่จะให้ได้มีระดับการบ่มเพาะที่สูงล้ำ ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตจะต้องฟูมฟักสัตว์ปีศาจที่อยู่ในร่างเป็นอย่างดี นั่นย่อมหมายความว่าคนเช่นนี้ย่อมเป็นมหันตภัยของผู้คนและสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น-
เมื่อได้ยินแบบนี้ หยานเสวี่ยก็พยักหน้าเห็นด้วยและเข้าใจอย่างช้าๆ ก่อนที่จะมองไปที่หวู่ซงด้วยสายตาเย็นชา
หวู่ซงที่ในตอนนี้อยู่กลางสนามสอบนั้นได้กำเม็ดยาสีดำไว้ในมือ ก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วโยนเม็ดยานี้เข้าปากไปแล้วนั่งลง
เฉินเฉียงเองก็ปลดปล่อยพลังจิตของตนออกไปเพื่อตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงภายในร่างของหวู่ซง
ดังคำกล่าวที่ว่าคนที่มีใบหน้าสงบยามพบเจอศัตรูคือคนที่รู้จักศัตรูดีกว่าตัวศัตรูเอง
ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะมีข้อมูลเกี่ยวกับการบ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตอยู่ก่อนแล้วจากการอ่านข้อมูลที่มีการบันทึกไว้ จนทำให้เขาเข้าใจกระบวนการต่างๆของผู้บ่มเพาะบนเส้นทางนี้อย่างลุล่วง
แต่การได้เห็นกับตาตนเองย่อมมีค่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ภายใต้การสังเกตการณ์ของเฉินเฉียงนี้ เมื่อเม็ดยาสีดำได้เข้าไปในปากของหวู่ซง มันก็กระจายเข้าสู่เส้นเลือดทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว
ด้วยการที่ผู้บ่มเพาะบนโลกปีศาจนี้ไม่ได้เห็นค่าของพลังสายเลือด แต่ด้วยสายเลือดของหวู่ซงนี้ หากเขาได้ไปอยู่บนโลก เขาจะเป็นตัวตนที่สูงล้ำ
นั่นก็เพราะหวู่ซงมีสายเลือดอัสนีที่หาได้ยากยิ่ง หากเขาได้บ่มเพาะตามเส้นทางบนโลก ต่อให้เขาไม่ได้เดินบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต แต่สัตว์ปีศาจในโลกนี้ก็ไม่อาจจะคุกคามเขาได้แม้แต่น้อย
เฉกเช่นเดียวกับผู้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งอัคคีที่เป็นของแสลงของสัตว์ปีศาจ
ก่อนหน้านี้เฉินเฉียงตั้งสมมติฐานไว้ว่ายาละลายเลือดนั้นจะเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายของหวู่ซง ซึ่งนี่จะทำให้ร่างกายของเขาไม่มีปัญหายามที่ต้องหลอมรวมเข้ากับตัวอ่อนของสัตว์ปีศาจแต่อย่างใด และเพียงแค่เขาทนรับตัวอ่อนของสัตว์ปีศาจที่ถูกฝังเข้ามาในร่างไหว สำนักเต๋าใต้บาดาลก็จะได้สมบัติล้ำค่ามาอีกหนึ่ง
และเป็นไปตามที่คาดไว้ หลังจากรับยาสลายเลือดไปแล้ว มันทำให้ร่างกายของหวู่ซงทรงพลังขึ้นได้และไม่มีสิ่งใดที่ผิดแปลก
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง หวู่ซงที่นั่งอยู่ที่พื้นสนามสอบ ก็ได้พยักหน้าให้กับผู้อาวุโสเฉียนที่นั่งอยู่บนที่นั่งผู้บริหารสำนัก
เมื่อเห็นดังนี้ ผู้อาวุโสเฉียนก็ยิ้มกริ่มในทันที ก่อนที่จะยกมือไปทางศิษย์ภายในสี่คน ให้ยกกรงขนาดสามเมตรมาอย่างช้าๆ
เมื่อศิษย์คนอื่นที่ได้เห็นสิ่งมีชีวิตในกรงขัง ทุกคนก็แตกตื่นฮือฮาในทันที
แม้แต่เฉินเฉียงก็ยังอดไม่ได้ที่จะหน้ากระตุกยามที่เห็นสิ่งที่อยู่ในกรง
ในกรงนั้นคือสิ่งมีชีวิตที่มีร่างสูงกว่าสองเมตร พร้อมกับขนที่ตั้งชันเป็นทิวแถว
และมันก็เหมือนสัตว์ปีศาจที่เขาเคยได้เห็นมาก่อนหน้านี้ มันไม่มีตา
เป็นไปได้ว่าด้วยถิ่นกำเนิดของมันคือหุบเขาฟานหยินที่เต็มไปด้วยหมอกไอดำ สำหรับพวกมันแล้ว ดวงตาก็ไม่ได้ต่างไปจากจุดอ่อนแต่อย่างใด จึงได้ทำให้พวกมันสูญเสียมันไปตามระบบวิวัฒนาการ
สำหรับพวกมัน เพียงแค่จมูกดีก็เพียงพอแล้ว
ตราบใดที่พวกมันได้กลิ่นเลือด มันจะพุ่งตรงเข้าไปอย่างไม่หวาดกลัว
และในตอนนี้เจ้าสัตว์ปีศาจตัวนี้ ได้ถูกศิษย์ภายในทั้งสี่คนตรึงอวัยวะที่ใช้เคลื่อนไหวทั้งสี่ของมันเอาไว้
หากเป็นคนธรรมดาไปจับตัวมัน คนคนนั้นคงจะถูกเลือดของมันกลืนกินไปนานแล้ว
แต่นี่เองก็แสดงให้เห็นว่าศิษย์ภายในแผนกหุ่นเชิดปีศาจนั้นได้ทนทานต่อเรื่องปีศาจอย่างสมบูรณ์
เมื่อมีเสียง ปัง ดังขึ้นมา กรงก็ลอยละลิ่วไปตกอยู่หน้าหวู่ซงโดยศิษย์ภายในทั้งสี่
ผู้อาวุโสเฉียนที่ยืนดูฉากเหตุการณ์อยู่ตรงลานที่นั่งของผู้บริหารสำนักได้ตะโกนออกมา “หวู่ซง ข้าเห็นว่าเจ้านั้นดูดซับยาสลายเลือดเข้าไปแล้วทำให้ร่างกายทรงพลังได้อย่างดียิ่ง ข้าจึงได้เตรียมสัตว์ปีศาจระดับสองไว้ให้เจ้า”
“ตราบใดที่เจ้าหลอมรวมกับมันได้ ข้ารับรองได้เลยว่าวันเวลาของเจ้านั้นจะโชติช่วงกว่าผู้ใดบนเส้นทางนี้อย่างน้อยๆก็สองเท่าตัว”
“แล้วก็ทรัพยากรบ่มเพาะของแผนกหุ่นเชิดโลหิตของสำนักเรานั้นจะถูกส่งมอบให้เจ้าจนหมดสิ้น”
“แต่ข้าเองก็ต้องขอเตือนไว้ก่อนว่าสัตว์ปีศาจระดับสองนั้นกำราบได้ยากยิ่งนัก หากเจ้าทำไม่สำเร็จ ร่างกายที่แข็งแกร่งของเจ้าจะกลายเป็นอาหารหล่อเลี้ยงของสัตว์ปีศาจระดับสองตัวนี้ในทันที”
“แน่นอนว่าหากเจ้ากลัว ข้าสามารถสรรหาสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งให้เจ้าได้ แต่นั่นก็หมายความว่าสิ่งที่ข้าพูดออกไปก่อนหน้านี้ถือว่าเป็นโมฆะไป”
“เอาล่ะ หวู่ซง จงตัดสินใจเลือกมาซะ”
หวู่ซงเปิดเปลือกตาและพูดออกมาในทันที “ท่านผู้อาวุโส ข้า หวู่ซง ต้องการเกียรติยศเหนือผู้คน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดี”
หลังจากหัวเราะจนดังก้องไปแล้ว ผู้อาวุโสเฉียนได้ยกมือขึ้นแล้วพูดออกมา “ปล่อยสัตว์ปีศาจได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น ศิษย์ภายในทั้งสี่ก็รีบแก้เชือกที่มัดอยู่ในกรงเหล็กออกในทันที
“ฮูมมมมมมมมม”
สัตว์ปีศาจเมื่อหลุดพ้นจากพันธนาการได้พุ่งตรงออกมาจากกรง และในตอนนี้ร่างกายของมันกลับใหญ่โตเสียยิ่งกว่ากรงที่มันถูกขังไว้ก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว
ศิษย์มากมายที่เห็นต่างก็แตกตื่นและโวยวายออกมา เพียงแค่เห็นสัตว์ปีศาจตนนี้ทุกคนก็ราวกับจิตใจได้กระเจิดกระเจิงจนหมดสิ้น
แม้แต่หยานเสวี่ยที่อยู่ข้างเฉินเฉียงยังอดไม่ได้ที่จะกำชายเสื้อของเฉินเฉียงไว้แน่น
เพราะสัตว์ปีศาจตัวนี้มันดูน่ากลัวอย่างเลวร้ายจริงๆ
แต่เดิม หากมันยังคงถูกขังอยู่ในกรง ก็คงจะไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ในตอนนี้มันถูกปล่อยออกมาแล้ว ทุกคนจึงได้เห็นความทรงพลังที่น่าหวาดหวั่นอย่างเต็มสองตา
ในตอนนี้ร่างกายของมันสูงใหญ่เกินกว่าสามเมตรไปแล้ว มันมีมัดกล้ามที่ดูแน่นขนัดราวกับถังเหล็ก ทั่วทั้งร่างของมันนั้นมีขนสีน้ำตาลแดง ร่างกายช่วงร่างของมันดูลีบเล็กและมีไอสีเทาลอยออกมา พร้อมกับปากที่มีความกว้างอย่างน้อยๆก็ครึ่งเมตร
ที่บนลานนั่งของผู้บริหารสำนัก ผอ.ฉีที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งประธานได้ชี้ไปที่เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยที่นั่งมองฉากเหตุการณ์อยู่ตรงที่นั่นรอสอบของศิษย์ภายนอกก็ได้หันไปหาหลิวฉิงหยุนแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสสูงสุด เห็นนั่นรึเปล่า”
“ขนาดศิษย์ภายในยังไม่มีท่าทีสงบเสงี่ยมและสุขุมได้เท่าเฉินเฉียงเลย ไอ้เด็กนี่ต้องทำให้พวกเราได้ประหลาดใจกันอย่างใหญ่โตในการงานประลองสองสำนักอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้แน่ๆ”
หลิวฉิงหยุนผู้ซึ่งไม่ได้ละสายตาจากเฉินเฉียงแม้แต่น้อยก็พยักหน้ารับและยิ้มออกมา “ผอ.พูดได้ถูกต้องนัก น่าเสียดายที่ไอ้เด็กนี่ดูเหมือนจะไม่ชอบข้าสักเท่าไหร่ จึงไม่อยากฝากตัวเป็นศิษย์ข้านัก หากไม่ถือว่าข้าไม่ได้พูดเกินไปล่ะก็ ข้าบอกได้เลยว่าไอ้เด็กนี่น่าจะอัจฉริยะที่สุดในภูมิภาคกลางแห่งนี้แล้วล่ะ”
“โฮ่ ถึงขั้นนั้นเลยรึ”
หลิวฉิงหยุนยิ้มกว้างเมื่อได้ยิน “แน่นอนว่าหากได้แต่แก่คนนี้ช่วยสนับสนุนล่ะนะ”