ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 370 ความหวังริบหรี่
บทที่ 370 ความหวังริบหรี่
ถึงแม้สัตว์ปีศาจระดับสองจะดูน่าสะพรึงกลัว แต่เฉินเฉียงเองก็ได้สู้กับไอ้ตัวที่ทรงพลังกว่าสัตว์ปีศาจตัวนี้มากมายหลายเท่านัก นี่จึงทำให้เขาไม่ได้แยแสกับมันแต่อย่างใด
เม่ยซินที่ถอยกรูดออกไปหลายสิบเมตรจนราวกับเธอลืมวิธีการวิ่งหนีไปนั้น เมื่อเห็นว่าทั้งเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยยังยืนนิ่งไม่ไหวติงก็ได้รีบเร่งตะโกนออกมา “พี่สาวหยานเสวี่ย รีบมาตรงนี้เร็วเข้า ระวังจะโดนมันทำร้ายเอานะ”
เพื่อไม่ให้เป็นที่เตะตา เฉินเฉียงจึงได้สะกิดหยานเสวี่ยที่ยังคงมองสัตว์ปีศาจอย่างไม่อาจละสายตาได้ให้ถอยไปอยู่ใกล้ๆคนอื่น
หลังจากที่สัตว์ปีศาจได้คำรามลั่นออกมาอย่างหนำใจแล้ว มันก็ได้หันไปจ้องมองศิษย์ภายในสี่คนที่กักขังมันเอาไว้ก่อนหน้านี้
ถึงแม้ศิษย์ทั้งสี่คนนี้จะไม่ได้เกรงกลัวต่อสัตว์ปีศาจระดับสองตัวนี้แต่อย่างใด แต่เพื่อให้การสอบนั้นลุล่วงไปอย่างปกติสุข ทั้งสี่จึงได้กดน้วไว้ที่หน้าอกของตน และทำให้มีหุ่นเชิดโลหิตสี่รูปร่างได้ปรากฏออกมาตรงหน้าแต่ละคน และพวกมันได้กีดขวางกลิ่นของผู้เป็นนายเอาไว้
ถึงแม้สัตว์ปีศาจทั้งสี่ที่ปรากฏตัวออกมานี้จะไม่ได้ตัวใหญ่โตเท่าสัตว์ปีศาจระดับสอง แต่ทั้งสี่ก็มีวิธีการในการสื่อสารของพวกมัน
และนี่ทำให้สัตว์ปีศาจระดับสองตัวนี้หันขวับไปมองที่หวู่ซงอย่างประหลาดใจ
ไม่ว่าใครก็ตามที่เห็นเจ้าสัตว์ปีศาจตัวนี้ต่างก็ต้องเกรงกลัวกันไปจนหมดสิ้น
แต่หวู่ซงที่รู้จักเจ้าตัวนี้อยู่ก่อนแล้วจึงไม่ได้มีท่าทางอะไรออกมา
แถมหากเขายังพลาดในการสะกดข่มมัน เขาจะตกกลายเป็นอาหารของมันแทนเสียอีก
ด้วยเหตุนี้ จะดีกว่าหากเขาจะวางท่าวางทางเอาไว้ให้อยู่สูง เพื่อที่จะทำให้มันนึกยอมรับในตัวเขาขึ้นมาบ้าง นี่จึงทำให้ใบหน้าที่อดสูก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ราวกับเป็นญาติสนิทมิตรสหายที่กำลังเอ็นดูเด็กน้อย
“ไอ้หนู มานี่มา”
“เข้ามาในร่างข้าซะแล้วพวกเราจะเติบโตไปด้วยกัน”
ด้วยท่าทางที่แสดงออกมาอย่างประหลาดขัดกับสิ่งที่คนอื่นคิดว่าควรจะเป็นกันนั้นจึงทำให้ท่าทางของเขาราวกับคนบ้า ที่กำลังเรียกหมาน้อยทั้งๆที่อีกฝั่งนั้นคือสัตว์ปีศาจระดับสอง
เมื่อโดนทำประหนึ่งการดูแคลนแบบนี้ สัตว์ปีศาจระดับสองก็คำรามลั่นก่อนพุ่งตรงเข้าใส่ร่างผอมแห้งของหวู่ซง ราวกับรถถังที่ไล่เหยียบผู้คน
เมื่อเสียงดัง ปัง ได้ก้องกังวาน หวู่ซงที่เมื่อครู่อยู่ห่างจากสัตว์ปีศาจไปเมื่อครู่สองเมตร ก็ได้ถูกชนจนกระเด็นถอยหลังไปเจ็ดถึงแปดเมตรเห็นจะได้
สัตว์ปีศาจระดับสองนั้น หากไม่ได้ใช้ทักษะกลืนกินเลือดปีศาจล่ะก็ มันจะแข็งแกร่งราวๆกับนักรบขั้นกลางผู้หนึ่ง
แต่หวู่ซงพึ่งในตอนนี้เป็นเพียงนักรบขั้นต้นซึ่งเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำในการสอบเข้าเป็นศิษย์ภายในแผนกหุ่นเชิดโลหิต นั่นก็เพราะเขาพึ่งจะเข้ามาในสำนักได้เพียงสามเดือนเท่านั้น
“”พรู๊ดดดดด
หวู่ซงที่ถูกส่งถอยหลังไปนั้นได้เอนกายล้มตัวลงนอนกับพื้น พร้อมกับพ่นเลือดจนกระจายไปทั่ว
ด้วยการที่สัตว์ปีศาจระดับสองนั้นมีความไวต่อกลิ่นเลือดและอาหารของมันมากพอดู นี่จึงทำให้หลังจากที่มันได้กลิ่นเลือดและเนื้อของหวู่ซง มันจึงรีบเร่งพุ่งเข้าไปหาหวู่ซงและทำการดูดเลือดที่หลี่ซงพ่นออกมาก่อนหน้าจนแห้งสนิทราวกับฟองน้ำที่ดูดซับน้ำเป็นอย่างดี
เมื่อหวู่ซงได้เห็นฉากนี้ เขาเผยรอยยิ้มเย็นยะเยือกพร้อมถลึงตากว้างแล้วตะโกนออกมา “ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้หนู เจ้าไม่ใช่ว่าต้องการจะดื่มเลือดของข้ารึไง”
“ร่างของข้ายังมีเลือดสดๆให้เจ้าอีกมากมายนัก หากเจ้าต้องการอีกก็เข้ามาได้เลย”
เมื่อเห็นท่าทางที่ราวกับไม่แยแสต่ออาการบาดเจ็บของตนที่หวู่ซงกระทำอยู่นี้ สัตว์ปีศาจระดับสองได้คำรามลั่นอีกครั้ง ก่อนจะใช้แขนเล็กๆของมันจับบ่าของหวู่ซงเอาไว้ ก่อนที่จะใช้หัวอันใหญ่โตกระแทกเข้าไปที่อกของเขา
“ปัง…ปัง…ปัง….”
เสียงกระทบที่รุนแรงดังกึกก้องไปทั่วสนาม เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้อาวุโสเฉียนที่ยังคอยมองดูอยู่อย่างไม่วางสายตาก็ได้กำหมัดของตนแน่น ในขณะเดียวกันเขาก็ได้ออกคำสั่งศิษย์ภายในสี่คนที่อยู่บนเวทีออกไป “ระวังตัวไว้ อย่าได้ปล่อยวางการระแวดระวังเป็นอันขาด”
“ครับ อาจารย์”
ศิษย์ทั้งสี่ได้กล่าวรับคำสั่งในทันที พร้อมกับปลดปล่อยสัตว์ปีศาจของตนที่ได้หลอมรวมเอาไว้ในร่างออกมา และบังคับให้อยู่ห่างร่างของหวู่ซงสามเมตร
ในทันทีที่หวู่ซงไม่อาจกำราบสัตว์ปีศาจระดับสองตนนี้ได้ และมีท่าทีที่จะไม่ไหว สัตว์ปีศาจทั้งสี่ที่เป็นหุ่นเชิดโลหิตของศิษย์ภายในทั้งสี่คนนี้จะกลืนกินร่างของหวู่ซงและฆ่าสัตว์ปีศาจระดับสองตนนี้ในทันที
กับเรื่องนี้นั้นเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งในโลกปีศาจแห่งนี้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าแตกตื่นโหดร้ายแต่อย่างใด
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตถึงได้มีเพียงน้อยนิด และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้ที่หลอมรวมกับสัตว์ปีศาจได้ล้วนแล้วแต่เป็นที่หมายปองของวิหารศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ตาม กับศิษย์ที่หลอมรวมกับร่างปีศาจล้มเหลว พวกเขาจะถูกสังหารในทันทีที่เป็นไปได้
นั่นก็เพราะสัตว์ปีศาจที่ได้กินร่างของคนไปแล้วไม่เหมาะที่จะนำมาเป็นหุ่นเชิดโลหิตต่อแต่อย่างใด
สำหรับพวกเขา หากว่าสำเร็จคนผู้นั้นจะได้ดี หากล้มเหลว ก็ต้องตกตายไปทั้งคู่
และเท่าที่ดูนี้โอกาสสำเร็จของหวู่ซงก็ช่างน้อยนิด
ด้วยการที่หวู่ซงพึ่งจะเข้าสำนักมาได้ไม่นาน หากเขาใช้เวลาอีกสักครึ่งปี ทำให้ระดับการบ่มเพาะของตนให้อยู่ในระดับกลางเสียก่อนแล้วค่อยมาสอบ ในตอนนั้นเขายังมีโอกาสสำเร็จเสียมากกว่า
แต่ในตอนนี้เขาเป็นเพียงนักรบขั้นต้น การที่ต้องมาเผชิญหน้ากับสัตว์ปีศาจระดับสอง เรียกได้ว่าแค่เรื่องของพละกำลังเขาก็สู้มันไม่ได้แล้ว
ด้วยการที่เกณฑ์การสอบศิษย์ภายในของแผนกหุ่นเชิดโลหิตไม่ได้มีอะไรมากมายนอกจากระดับการบ่มเพาะ นี่จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆสำหรับการสอบแผนกนี้
แต่ฉากนี้มันก็ทำให้เหล่าศิษย์ภายนอกที่พบเห็นต่างก็ปวดเศียรเวียนเกล้าและหวาดหวั่นไปนักต่อนักเมื่อได้เห็นฉากที่เกิดขึ้น
เม่ยซินได้จับชายเสื้อของหลี่กวงด้วยมือทั้งสอง ก่อนที่จะหันไปมองฉากที่เกิดขึ้นแล้วพูดออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ “มันจบแล้ว หวู่ซงคงจะจบแค่นี้สินะคะ”
หลี่กวงที่มีสีหน้าที่ไม่ได้สู้ดีไปกว่ากันก็อดไม่ได้ที่จะถอนลมหายใจแล้วพูดออกมา “จะโทษใครได้กัน หากหวู่ซงยังคงทนรอได้อีกสักปีหนึ่ง เขาต้องผ่านขั้นตอนนี้ได้อย่างแน่นอน”
หากจะโทษก็โทษได้เพียงแค่เขานั้นใจร้อนเกินไป เขาคิดว่าตัวเองดีเด่มาจากไหนกันที่พึ่งจะเข้ามาเป็นศิษย์นอกได้เพียงไม่กี่เดือนก็คิดจะสอบเข้าเป็นศิษย์ในแล้ว“
เมื่อเม่ยซินได้ยิน เธอก็รีบปล่อยมือออกจากชายเสื้อของหลี่กวง พร้อมกับท่าทางหวาดกลัวก่อนหน้าก็ได้หายไปเล็กน้อย
ถึงแม้หลี่กวงพูดออกมาโดยไม่ได้มุ่งเป้ามาที่เธอ แต่ด้วยการที่เธอเองก็มีความทระนงตนสูงไม่น้อยไปกว่าหวู่ซง เธอจึงไม่อาจยอมรับคำพูดนี้ได้
นั่นก็เพราะเธอเองก็เข้ามาเป็นศิษย์ภายนอกของสำนักพร้อมกับหลี่ซงเมื่อสามเดือนก่อน
คนที่ต้องการพัฒนาตัวเองนั้นมันผิดมากรึไงกัน
และในตอนนี้ เม่ยซินไม่มีทางเลือกทำได้เพียงยอมรับตัวเลือกนี้
นับจากนี้เส้นทางของเธอและหลี่กวางจะแตกแยกออกจากกัน
และนี่ก็ทำให้เมื่อเธอมองไปที่เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยที่อยู่ตรงหน้าก็เริ่มนึกอิจฉาขึ้นมา
เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยนั้นต่างก็เข้ามาเป็นศิษย์นอกแผนกปรุงยาพร้อมกับเธอ แต่ทั้งสองกลับไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกเวลาพบเจออันตรายที่ทรงพลังแบบนี้เลยสักนิด
เฉินเฉียงที่รู้สึกว่ามีคนจับจ้องจากด้านหลังก็ได้หันกลับไปดู ก็พบเม่ยซินที่จ้องมองมาที่ตน
เฉินเฉียงพยักหน้าให้เป็นมารยาทไปทีหนึ่งก่อนที่จะหันกลับไปดูหวู่ซงที่นานราบพลางถูกโจมตีโดยสัตว์ปีศาจที่กลางสนามสอบ
ในตอนนี้หวู่ซงที่เลือดกบปากนั้น หัวของเขาไร้เรี่ยวแรงจนไม่อาจจะบังคับให้ตั้งอยู่จนพับไปอยู่ข้างลำตัว
เมื่อเห็นฉากนี้ทุกคนต่างก็หมดหวังในตัวเขาแล้ว
ผอ.ฉีที่จ้องมองเหตุการณ์อยู่นั้นก็ได้ส่ายหน้าไปมาพลางถอดถอนลมหายใจ “อั๊ยยา……..ผู้อาวุโสเฉียน ปล่อยเรื่องนี้ไปซะ ปล่อยให้เด็กนี่ตายอย่างสงบดีกว่า”
ผู้อาวุโสเฉียนนิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับอย่างจนปัญญา
เขานั้นไม่ได้รู้สึกเสียใจในชีวิตของหวู่ซง แต่เพียงแค่เสียดายที่สูญเสียเมล็ดพันธุ์ชั้นดีไปอีกหนึ่ง
หากเขาไม่นำเมล็ดพันธุ์ชั้นดีอย่างสัตว์ปีศาจระดับสองออกมา แต่นำเพียงสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งมาใช้กับหลี่ซง ผลก็คงจะออกมาดีกว่านี้
แต่ต่อให้หวู่ซงจะกำราบสัตว์ปีศาจระดับหนึ่งได้สำเร็จ นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ลูกศิษย์ในสังกัดของเขาชนะสำนักเต๋าดาวตกได้แต่อย่างใด และศิษย์ของเขาก็ไม่เคยชนะสำนักเต๋าดาวตกได้เลย
เขาทำได้เพียงอดทน
เขาหวังว่าจะมีสมบัติที่สำนักเต๋าดาวตกที่ปล่อยหลุดมือมาหาเขา และเปลี่ยนสถานการณ์ของตัวเขาที่อยู่ในสำนักเต๋าใต้บาดาลนี้ให้สามารถผ่านเลยไปด้วยดี