ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 375 สายตาที่เย็นชา
บทที่ 375 สายตาที่เย็นชา
สิ่งที่เฉินเฉียงไม่รู้ก็คือ ด้วยวีรกรรมของเขาและหยานเสวี่ยที่ได้ก่อเอาไว้เมื่อสองเดือนก่อนในฐานะศิษย์ภายนอก ได้ทำให้เม่ยซินนั้นคิดเปลี่ยนแปลงตนเองและเพียรพยายามขยันฝึกฝนมากขึ้น
แถมในช่วงสองเดือนมานี้ เม่ยซินออกไปทำภารกิจมาแล้วถึงสี่ภารกิจ
และด้วยความเห็นที่ไม่ลงรอยกับหลี่กวงนั้นทำให้เธอต้องออกไปทำภารกิจเพียงตัวคนเดียว
เด็กสาวเช่นเธอที่ไม่มีสิ่งใดคอยอุปถัมภ์ค้ำชู ยามไปที่เขาม่อกั๋น เป็นธรรมดาที่จะดึงดูดภัยอันตรายให้เข้ามาหาจนยากที่จะทำภารกิจให้สำเร็จเสร็จสิ้น
นี่เป็นเหตุผลหลักที่หลี่กวงไม่อยากจะออกไปทำภารกิจกับเม่ยซิน
แต่หลังจากไปทำภารกิจสี่ครั้ง นี่ได้เม่ยซินได้ประสบพบเจอเหตุการณ์ชนิดที่ฝังเข้าไปถึงจิตใจและกระดูกดำ
และเป็นอย่างที่หลี่กวงได้คิดเอาไว้ ที่นั่นไม่เพียงจะมีสัตว์ป่ามากมายที่เขาม่อกั๋น ที่นั่น เธอยังได้พบเจอกับศิษย์สำนักเต๋าดาวตกในทุกครั้งที่เธอได้ออกไป
ยังดีที่เธอนั้นฉลาดพอที่ได้เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดธรรมดาในยามที่เธอออกไป แถมเธอยังแปลงโฉมให้ตัวเองนั้นดูอัปลักษณ์และแสดงท่าทางราวกับนายพรานนักล่าทั่วไปของหมู่บ้านแถวนั้น เธอจึงไม่ตกเป็นเป้าหมายของศิษย์สำนักเต๋าดาวตกยามที่ได้พบเจอ
อย่างไรก็ตามหากเทียบกับการได้พบเจอศิษย์สำนักดาวตกแล้ว เม่ยซินนั้นกลับหวาดกลัวที่จะได้พบเจอแมลงพิษและสัตว์มีพิษที่เขาม่อกั๋นเสียมากกว่า
ด้วยการที่ครอบครัวของเธอนั้นเป็นเพียงคนธรรมดา จึงเป็นธรรมดาที่เธอไม่อาจซื้อหายาถอนพิษจากตลาดการค้ามาเตรียมตัวได้เหมือนคนอื่นๆ
นี่จึงทำให้เธอคิดหาสมุนไพรมาเพื่อปรุงยาถอนพิษ
และนั่นคือจุดเริ่มต้นในความสำเร็จของเธอ
แม้ผลงานที่เสร็จออกมานั้นเมื่อนำไปเทียบกับยาถอนพิษที่มีขายกันทั่วไปแล้ว ไม่ว่าทั้งรูปร่าง หน้าตา หรือสรรพคุณ ล้วนแล้วแต่ไม่อาจเทียบกับยาเหล่านั้นได้
แต่หลังจากผ่านประสบการณ์มาแล้ว นั่นย่อมทำให้เธอนั้นสามารถจับจุดในการปรุงยาถอนพิษมาได้ จึงทำให้เธอนั้นมีความกล้าพอที่จะสอบเข้าเป็นศิษย์ภายในแผนกปรุงยาในครั้งนี้
หากว่ากันตรงๆ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว เธอทำได้เพียงลองดูเท่านั้น
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เฉินเฉียงที่มีประสบการณ์มากล้นเป็นคนแรกที่เปิดเตาปรุงยาของตน
ตามมาด้วยหยานเสวี่ย
หลังจากพร่ำเพียรเรียนรู้อย่างหนักมาสองเดือน ในที่สุดหยานเสวี่ยก็สามารถควบคุมพลังจิตของเธอได้ดีจนเหนือกว่าศิษย์ภายนอกทั้งหลายที่สอบเข้าในครั้งนี้ ทั้งๆที่เธอนั้นจะคอยก่นด่าตนเองว่าไม่มีความสามารถในด้านนี้ก็ตาม
หลังจากเวลาล่วงเลยผ่าน ศิษย์แต่ละคนก็เริ่มจะปรุงยาของตนจนเสร็จสิ้น
และเมื่อเม่ยซินได้เปิดเตาปรุงยาของตนออกแล้วเห็นว่าตนเองปรุงยาได้สำเร็จ เธอกระโดดโลดเต้นยินดีก่อนจะตะโกนไปหาหลี่กวง “พี่หลี่กวง ข้าทำสำเร็จล่ะ”
หลี่กวงที่ยืนอยู่ด้านนอกเวทีนั้นกลับมีท่าทางที่ยากจะเอ่ยเมื่อได้ยิน
ความสำเร็จของเม่ยซินในวันนี้นั้น เธอได้มาด้วยตัวเอง แถมเขานั้นยังทอดทิ้งเธอไปในช่วงเวลาที่เธอต้องการความช่วยเหลือ
ถึงแม้ว่าเม่ยซินยังแสดงตัวออกมาอย่างสนิทสนมกับเขา แต่หลี่กวงก็รู้ดีว่านับจากนี้ ทั้งสองจะอยู่บนโลกที่แตกต่างกัน
ยามที่เหล่าศิษย์พี่ชายได้ยินเสียงของเม่ยซินที่พูดกับหลี่กวงนี้ พวกเขารู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นในใจ พลางมองไปที่หลี่กวงพร้อมสายตาที่เชือดเฉือน
ด้วยการที่เม่ยซินมีความสุขอย่างเปี่ยมล้น เธอจึงไม่ได้รับรู้สายตาของผู้คนในตอนนี้แต่อย่างใด เธอทำเพียงหันไปหาเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก่อนที่จะกำหมัดตัวเองแน่นแล้วพยักหน้าให้กับทั้งสองคน
เมื่อเห็นแบบนี้ ทั้งสองต่างก็พยักหน้าตอบพร้อมรอยยิ้มละไม
ในตอนนี้ แม้แต่หยานเสวี่ยเองก็ยังรู้สึกดีกับเม่ยซินขึ้นมา พร้อมกับความรู้สึกนิยมชมชอบอยู่ในใจ
ซุนเต๋าที่อยู่บนที่นั่งผู้บริหารก็ได้มองศิษย์ที่ปรุงยาสำเร็จด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยเสียงอันดีงลั่น “ศิษย์ทุกคน นำยาที่ปรุงได้สมบูรณ์ขึ้นมาบนนี้ ลองให้ตาแก่ผู้นี้เชยชมผลงานของเจ้าสักหน่อยว่าพวกเจ้าจะผ่านหรือไม่”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เฉินเฉียงและคนอื่นๆต่างก็เดินขึ้นเวทีไป
ในตอนนี้ ผอ.ฉี และหลิวฉิงหยุนที่แสดงท่าทางออกมาอย่างไม่ได้ปลื้มไปด้วยนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปมุงดูยาที่ศิษย์ทั้งหลายที่ปรุงจนสำเร็จเสร็จสิ้น
แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็เห็นอย่างชัดเจนว่าเม็ดยาของเฉินเฉียงที่ปรุงขึ้นมานั้นเหนือกว่าใคร แม้แต่ของหยานเสวี่ยที่หลายๆคนต่างก็หมายมั่นปั้นมือไว้ก็ยังด้อยกว่าหนึ่งระดับขึ้น
“อื้มมมม ไม่เลว เชิงเจี๋ย หนึ่งปีที่เจ้าฝึกฝนฝีมือในฝั่งศิษย์นอกนี้เจ้าพัฒนาฝีมือขึ้นมามากนัก ยาเม็ดนี้ถือได้ว่าปรุงออกมาได้ดีเลยทีเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า”
“โอ้สาวน้อย เจ้ามีชื่อว่าเม่ยซินสินะ เจ้าพึ่งจะเข้ามาเป็นศิษย์นอกได้สามเดือนแต่กลับปรุงยาถอนพิษได้แล้ว ทำได้ดีมาก ถึงแม้ความสามารถของเจ้าจะไม่สูงล้ำ แต่ความขยันหมั่นเพียรของเจ้านั้นได้กลบทับความสามารถที่ขาดไปของเจ้าได้จนหมดสิ้น ขอต้อนรับสู่การเป็นศิษย์ภายในแผนกของข้า”
เมื่อได้รับคำเยินยอจากผู้อาวุโสของแผนกอย่างชุนเต๋า เม่ยซินก็ได้ร้องไห้ออกมาอย่างยินดียิ่ง
หลังจากนั้นซุนเต๋าก็ได้พาผู้บริหารที่ตามมาไปดูผลงานของเฉินเฉียง
เมื่อเห็นเม็ดยาฟื้นฟูที่แวววาวอย่างที่สุดบนมือของเฉินเฉียงนี้ ซุนเต๋าเองก็อดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาดู ก่อนที่จะใช้จมูกของตนเองดมอยู่ห่างๆแล้วส่งไปให้ผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุนดูก่อนที่จะพูดออกมา “ผอ. ผู้อาวุโสสูงสุด พวกท่านเห็นใช่รึเปล่า”
“เม็ดยาฟื้นฟูที่เฉินเฉียงปรุงขึ้นมานี้มีคุณภาพดีอย่างที่สุดเหนือล้ำกว่าศิษย์คนใด ไม่มีสิ่งเจือปนอยู่ในนี้เลยสักนิดหรือเล็กน้อยก็ตาม”
“ดูเหมือนว่าเฉินเฉียงนั้นจะเป็นอัจฉริยบุคคลบนเส้นทางสายนี้จริงๆ”
นี่ทำให้หลิวฉิงหยุนที่เป็นหัวหน้าแผนกวิชายุทธอดไม่ได้ที่จะจับจ้องไปที่ยาเม็ดนี้อย่างไม่อาจเอ่ยสิ่งใดขึ้นมาได้ นอกจากบอกความในใจของตนออกมาเท่านั้น “ไอ้หนู ด้วยความสามารถของเจ้านั้น หากเจ้าเดินบนเส้นทางแห่งการต่อสู้ย่อมได้รับความสำเร็จที่ไม่สิ้นสุดอยู่แล้ว แล้วเจ้าจะเดินไปบนเส้นทางปรุงยาทำบ้าอะไรกัน”
“ด้วยสิ่งแวดล้อมอันโหดร้ายของโลกปีศาจนั้น มีเพียงผู้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการต่อสู้เท่านั้นถึงจะสามารถไปได้ถึงจุดสูงสุดของโลกนี้”
“เจ้าหนู เจ้าคิดจะทบทวนการตัดสินใจแล้วลองสอบเข้าแผนกวิชายุทธของข้าดูรึเปล่า”
ผอ.ฉีและซุนเต๋านั้นไม่ได้หยุดคำพูดของหลิวฉิงหยุนแต่อย่างใด
แต่เดิม พวกเขาเองก็ต้องการจะเห็นเฉินเฉียงสร้างชื่อให้กับแผนกวิชายุทธอยู่แล้ว แต่เมื่อเรื่องออกมาเป็นแบบนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงให้หลิวฉิงหยุนตัดใจไปแทนเพียงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงนั้นไม่ได้คิดจะเคลื่อนไหวตามใจใครอยู่แล้ว
ต่อให้เขาไม่ได้เข้าเป็นศิษย์ภายใน แต่เขาก็มีวิธีการอื่นที่จะเข้าไป แล้วเหยียบย่างเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่ดี
“ข้าต้องขอบคุณที่ท่านผู้อาวุโสสูงสุดนั้นเอ็นดูข้าถึงขนาดนี้ แต่ศิษย์ผู้นี้มีความชื่นชอบในการปรุงยามานานแล้ว โปรดให้อภัยข้าด้วย”
ผู้อาวุโสหลิวที่ได้ยินก็หน้ากระตุกไม่หยุด ก่อนจะหันไปมองหยานเสวี่ยที่อยู่ข้างเฉินเฉียงชนิดที่ราวกับไม่อยากจะแยกห่างแล้วสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ฮึ่ม แค่ดูก็รู้แล้วว่าเจ้านั้นไม่ได้ชื่นชอบการปรุงยาแต่เป็นชื่นชอบสาวงามเท่านั้นล่ะฟะ ข้าพูดถูกไหมล่ะ”
หยานเสวี่ยที่ยืนอยู่ไม่ไกลนั้น แม้นางจะไม่เคยใส่ใจกับคำพูดของผู้ใดในที่นี้ แต่เมื่อได้ยินประโยคนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังเฉินเฉียง
แต่เธอก็นึกไม่ถึงว่าเฉินเฉียงจะหันมามองเธอในเวลาเดียวกัน
นั่นก็เพราะเฉินเฉียงรู้จักนิสัยหยานเสวี่ยเป็นอย่างดี
เขานั้นคิดว่าหยานเสวี่ยจะโกรธคำเย้าแหย่นี้ของหลิวฉิงหยุน จึงคิดไปว่าจะส่งสายตาไม่ให้เธอใส่ใจกับคำพูดของเขา
แต่กลายเป็นว่าเมื่อหยานเสวี่ยหันมาสบตาเขา เธอนั้นไม่ได้โกรธแต่กับมีใบหน้าที่แดงเล็กน้อยและมองเขาด้วยสายตาที่หวานแหววประหนึ่งคนรัก
นับจากที่ทั้งสองได้พบเจอ เฉินเฉียงก็จดจำหยานเสวี่ยในฐานะองครักษ์ผู้ภักดีที่มีสายตาเย็นชา
แต่นับจากเฉินเทียนเว่ยได้จากไป สาวน้อยคนนี้ก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน และตอนนี้เธอยังมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้อีก
เฉินเฉียงผู้ผ่านประสบการณ์การมีความรักมาแล้ว ย่อมรู้ดีว่าสายตาเช่นนี้หมายถึงสิ่งใด