ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 376 น้ำตา
บทที่ 376 น้ำตา
อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกัน ใบหน้าหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจลึกๆของเขานั้นก็ได้ปรากฏขึ้นมาในใจในเวลาเดียวกัน
และนี่ทำให้สายตาของเฉินเฉียงที่จ้องมองไปยังหยานเสวี่ยนั้นแลดูว่างเปล่า
เมื่อเห็นแบบนี้ หยานเสวี่ยทำได้เพียงถอนลมหายใจอย่างเข้าใจ และหลบมองต่ำอย่างช้าๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดี”
“ในนามแห่งผู้อาวุโสสูงแห่งแผนกปรุงยา ตาแก่ผู้นี้ขอประกาศว่าพวกเจ้าทั้งสิบห้าคน ได้ผ่านการสอบเข้าเป็นศิษย์ภายในในครั้งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“หรือก็คือ นับจากนี้ พวกเจ้าคือศิษย์ของสำนักเต๋าใต้บาดาลอย่างเต็มตัว และใช้ชีวิตได้อย่างสนุกสนานภายใต้นามของศิษย์ภายในของสำนักเรา”
“โอ้ สุดยอดดดดดด”
นอกจากเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยแล้ว เหล่าศิษย์คนอื่นอีกสิบสามคนที่ผ่านการสอบต่างก็ไชโยโห่ร้องออกมาอย่างดังก้อง
หลังจากรอคอยให้ทั้งสิบสามคนแสดงความยินดีกับตนเองจนพอประมาณแล้ว ผอ.ฉีก็ได้ยกมือขึ้นมาห้ามปรามแล้วพูดออกมา “เอาล่ะ ผู้อาวุโสซุน นำศิษย์เหล่านี้ไปยังพื้นที่ศิษย์ในได้แล้ว”
“เฉินเฉียง ผู้อาวุโสสูงสุดได้จัดเตรียมสถานที่ไว้ให้เจ้ากับหยานเสวี่ยแล้ว พวกเราไปดูกันดีกว่า”
เมื่อพูดจบ ผอ.ฉีไม่ได้ไยดีต่อหลิวฉิงหยุนแต่อย่างใด นำพาเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยเข้าไปยังพื้นที่ตึกภายในด้วยคนเองในทันที
เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดหรือก็คือหลิวฉิงหยุนได้มองตามไปด้วยท่าทางที่ยากจะเอ่ย
“อ้าวเฮ้ยยยย ผอ. แผนกวิชายุทธของพวกเรายังไม่ได้สอบเลยนะเว้ย ไหนจะแผนกวัตถุวิญญาณที่….”
หลิวฉิงหยุนตะโกนไล่หลังผอ.ฉีที่แสดงออกมาอย่างไม่ไยดีต่อการสอบที่เหลือ
แต่เมื่อบรรลุจุดประสงค์ของตนแล้ว มีหรือที่ผอ.จะมีอารมณ์มาดูการสอบของสองแผนกที่เหลืออีก
แม้แต่ศิษย์ภายในเองที่เห็นว่าการสอบของแผนกปรุงยาจบลงแล้ว ต่างก็แตกฮือประดุจดั่งผึ้งแตกรัง
เมื่อเห็นว่าแม้แต่ศิษย์ภายในแผนกวิชายุทธของตนเองก็ยังจากไป จะมีเหลือก็เพียงศิษย์นอกที่เพียงรอการสอบอยู่ หลิวฉิงหยุนก็แสดงออกมาด้วยท่าทีที่มืดครึ้มแล้วฮึ่มฮั่มคำรามลั่นออกมา “การสอบเข้าศิษย์ภายในแผนกต่างๆ เริ่มได้ตามอัธยาศัย” เมื่อพูดจบ เขาก็ได้รีบตามไป
…..
พื้นที่ภายในของสำนักเต๋าใต้บาดาลนี้กว้างขวางชนิดที่ว่าทั้งศิษย์และผู้อาวุโสทุกคนนั้นต่างก็มีบ้านพักของตัวเอง
นี่แตกต่างจากพื้นที่อยู่ของศิษย์นอกอย่างสิ้นเชิงที่ต้องพักอยู่จนแทบจะไม่ได้แยกห่างจากกันแต่อย่างใด ยังไม่รวมถึงการที่มีวัตถุที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณที่ประดับประดาไว้ในห้องแถมยังกั้นเสียงไว้ในตัวอีก
ในแต่ละเดือน ศิษย์แต่ละแผนกจะได้รับทรัพยากรบ่มเพาะพื้นฐานแตกต่างกันไปแต่ละแผนก และยังสามารถได้รับการสั่งสอนชี้แนะจากผู้อาวุโสของแต่ละแผนกเมื่อใดก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ ยังไม่รวมถึงการที่มีศิษย์บางคนที่สามารถถูกดึงตัวให้กลายเป็นผู้อาวุโสโดยตรงได้อีก
หรือจะให้กล่าวสั้นๆ ศิษย์ภายในเปรียบได้ดั่งบัวที่ได้ผุดขึ้นจากผืนดิน ส่วนศิษย์ภายนอกเปรียบได้ดั่งบัวที่ยังคงอยู่ในโคลนตม
หลิวฉิงหยุนเองก็ไม่ได้ถอนคำพูดแต่อย่างใดแม้สถานการณ์จะออกมาในรูปแบบนี้ เขาได้หาบ้านดีๆไว้ให้เฉินเฉียง พร้อมกับสภาพแวดล้อมที่ดูหรูหรา เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังฟ้าดินอยู่ภายใน และที่สำคัญที่ยิ่งกว่ามันไกลกว่าพื้นที่อาศัยของศิษย์คนอื่นมากพอที่จะไม่ถูกรบกวนไปได้
หลังจากพาทั้งสองไปยังที่พัก หลิวฉิงหยุนก็ได้กล่าวออกมาอย่างเสียดาย “เฉินเฉียง ถึงมาทักษะของเจ้านั้นไม่ได้เลวร้าย แต่บนเส้นทางการบ่มเพาะ หากไม่ได้รับการชี้แนะที่ถูกต้อง มันจะทำให้เจ้าเดินไปผิดทางและกลายเป็นปัญหาได้”
“ตาแก่ผู้นี้เองก็สำเร็จการบ่มเพาะในหลายช่วงชั้นอยู่เหมือนกัน”
“หากเจ้ามีปัญหาในเส้นทางการบ่มเพาะในภายภาคหน้า เจ้าสามารถมาหาข้าที่ที่พักของข้าได้ทุกเมื่อ”
ถึงแม้เฉินเฉียงจะรู้สึกแย่กับตัวตนเฉกเช่นหลิวฉิงหยุน แต่เขาก็บอกออกมาได้ว่า คำพูดเมื่อครู่ล้วนมาจากใจจริง
“ขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสสูงสุดที่เอ็นดูศิษย์ เมื่อถึงยามนั้น ศิษย์ก็ขอจะขอรบกวนท่านอย่างแน่นอน”
หลังจากจากไป ผอ.ฉีได้กล่าวเตือนเฉินเฉียงออกมา “เฉินเฉียง อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเจ้ายังมีการประลองกับสำนักเต๋าดาวตกที่ต้องเผชิญอยู่”
“ในเรื่องการปรุงยานั้น ข้าจะพูดกับผู้อาวุโสซุนขอให้เจ้ามุ่งเน้นไปที่การบ่มเพาะและฝึกวิชายุทธในช่วงหนึ่งเดือนที่เหลือ เจ้าสามารถเข้าไปขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสหลิวได้ทุกเมื่อ หากเจ้ามีสิ่งใดติดขัดสงสัย”
ถึงแม้ผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุนจะขาดหวังในการประลองระหว่างสองสำนักนี้มากเพียงใด แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำให้เฉินเฉียงคิดแยแสแต่อย่างใด
ขนาดระดับราชาเขายังไม่เกรงกลัว นับประสาอะไรกับหลี่ฉิงที่เป็นเพียงนักรบขั้นสูง
ต่อให้เขายืนเฉยๆ หลี่ฉิงก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้แม้แต่น้อย
หลังจากที่ผู้อาวุโสของสำนักทั้งสองได้ออกไป เฉินเฉียงก็ได้ดึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาคิดอยู่ในใจ
ภายในห้อง เฉินเฉียงได้ถามหยานเสวี่ยขึ้นมา “หยานเสวี่ย ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเจ้าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
หยานเสวี่ยที่นั่งอยู่ไม่ห่าง เธอได้กอดเมิ่งน้อยพลางลูบขนที่นุ่มลื่นของมัน พลางกดหัวของเธอไปซบกับมันโดยไม่พูดไม่จา
เฉินเฉียงที่เห็นเธอนิ่งเงียบก็นึกสงสัยจึงได้หันไปมอง ก็เห็นท่าทางของหยานเสวี่ยที่ดูหดหู่ราวกับเธอได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอะไรบางอย่าง
“หยานเสวี่ย เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า”
เฉินเฉียงได้เดินเข้าไปหาพร้อมถามอย่างห่วงใย
หากพูดกันตรงๆแล้ว ผลการสอบของหยานเสวี่ยนั้นไม่ได้แย่แต่อย่างใด ถ้าจะให้พูดคือดีมากเป็นเพียงรองเขาเพียงเท่านั้น
แม้แต่เฉินเฉียงยังอดเสียดายแทนเธอไม่ได้ ทั้งๆที่ทำผลงานออกมาได้ดีแต่กลับไม่ถูกซุนเต๋าและผอ.ฉีเห็นค่าอยู่ในสายตา เขานั้นยังอดไม่คิดไม่ได้ว่าหากเรื่องนี้ทำให้หยานเสวี่ยนั้นรู้สึกกดดัน เขาก็คงจะต้องไปให้ซุนเต๋าช่วยยกยอเธอสักหน่อย
เธอนั้นสมควรจะรู้สึกแย่เพราะเรื่องนี้ใช่รึเปล่า
เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงจึงเข้าไปหมายจะปลอบโยน แต่เมื่อหยานเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมา เขาก็เห็นเธอกำลังร้องไห้
เมื่อเห็นสาวน้อยที่หนักแน่นดั่งขุนเขามาโดยตลอด เมื่อไหร่กันที่เธอกลายเป็นสาวน้อยแบบนี้ได้กัน
“หยานเสวี่ย…เจ้า…เกิดอะไรขึ้น”
ถึงแม้รู้ว่าการเงียบจะดีกว่าการถาม แต่เฉินเฉียงก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาในตอนนี้ เขาสงสัยจริงๆว่าสิ่งใดกันแน่ที่ทำให้หยานเสวี่ยต้องหลั่งน้ำตา
เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้แล้ว เฉินเฉียงก็นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง
มันเป็นภาพที่คุ้นเคย
ใช่แล้ว
เป็นตอนนี้ที่เขานึกถึงสาวน้อยผู้โดดเดี่ยวอีกคนหนึ่งขึ้นมาในใจ
มันเป็นภาพของเว่ยฉิงเชินที่ยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ได้แต่งงานสมหวังกับเขา
แต่ด้วยการตายของเว่ยหยวนตี้นั้น ทำให้สะพานที่ทอดผ่านคนทั้งสองตั้งขาดลงไป
ในตอนนั้น แม้แต่ห้องแต่งงาน เธอก็ยังเป็นคนเตรียมไว้ให้เขากับมือ แต่ด้วยความแค้นที่มากล้น ทำให้เฉินเฉียงไม่อาจหักใจได้ลง และเขาก็ได้เห็นสายตาแบบนี้จากเว่ยฉิงเชินในวันนั้น
และนับจากนั้นมา สายสัมพันธ์ที่เคยใกล้ชิดก็เปลี่ยนเป็นเริ่มถอยห่าง
โดยเฉพาะหลังจากที่เฉินเฉียงได้อยู่ในรูปลักษณ์ของเฉินเทียนเว่ยทำลายการบ่มเพาะของเว่ยหยวนตี้ไปจนหมดสิ้น นี่ทำให้เว่ยฉิงเชิน ตัดเยื่อใยจากเขาจนราวกับเส้นขนานที่ไม่มีวันได้พบเจออีก
เฉินเฉียงนั้นรู้ดีว่าสายสัมพันธ์ระหว่างเขาและเว่ยฉิงเชินนั้นไม่มีทางกลับมาเกี่ยวดองกันได้ ต่อให้ไม่มีเว่ยหยวนตี้แล้วก็ตาม
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่อาจลืมเว่ยฉิงเชินไปได้เลยจริงๆ
แม้แต่เขาเองก็ยังไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจะลืมเลือนเว่ยฉิงเชินออกไปจากจิตใจได้
แน่นอนว่าท่าทางสลดหดหู่ของหยานเสวี่ยในตอนนี้ก็ได้ประทับจำฝังใจเฉินเฉียงไปในทันที
ยามที่เขายังอ่อนด้อย หยานเสวี่ยนั้นได้ปกป้องเขาไว้ด้วยทุกสิ่งที่มี ต่อให้แลกด้วยชีวิตก็ตาม
แม้แต่หลังจากเฉินเทียนเว่ยตกตายไป หยานเสวี่ยก็ยังคงยึดถือในคำสั่งอย่างแข็งขัน
แล้วยังไงล่ะ
เธอนั้นก็เป็นเพียงหญิงสาว หากจะอยู่ครองคู่กับคนรัก มันก็ไม่ได้แปลกแต่อย่างใด
แต่เธอนั้นกลับยังยึดมั่นในคำสั่งเสียของเฉินเทียนเว่ยไม่ว่าเขาจะบอกยังไงก็ตาม
เฉินเฉียงเองก็ไม่ใช่คนที่ไร้หัวใจแต่อย่างใด หลังจากที่เฉินเทียนเว่ยได้ตายไป เขาก็รับรู้ได้ว่าหยานเสวี่ยนั้นมีนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไปกว่าเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ
…….เขาคงไม่ใช่ต้นเหตุหรอกนะ
แล้วหากไม่ใช่ ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่ดีเวลาเห็นสาวงามผู้นี้โศกเศร้ากันล่ะ