ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 377 ย้ายหลุมศพ
บทที่ 377 ย้ายหลุมศพ
มันก็เป็นไปได้เหมือนกันว่าหากเขาไม่ได้พบเจอเว่ยฉิงเชิง เขาก็คงมีใจตอบต่อหยานเสวี่ยไปแล้วเหมือนกัน
“ไอ๊ยา…….”
เฉินเฉียงถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างยาววววววว
หลังจากอยู่ด้วยกันมานาน ทั้งสองต่อให้ไม่พูดออกมา ก็ราวกับได้รู้ใจกันแล้ว
หยานเสวี่ยได้ยืนขึ้นจ้องมองไปที่เฉินเฉียงอย่างไม่วางตาแล้วถามออกมาด้วยเสียงอันสั่นเครือ “เจ้าไม่เคยคิดเรื่องมีข้าไว้ในใจมาก่อนเลยเหรอ”
เฉินเฉียงส่ายหน้าไปมาในทันทีเมื่อได้ยิน “หยานเสวี่ย ข้านั้นไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยจริงๆ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หยานเสวี่ยก็มีน้ำตาไหลเอ่ออกมาอีกครั้ง ที่ทำให้หัวใจของเฉินเฉียงถึงกับอ่อนระทวยและได้พูดออกมา “ข้าคงต้องกลับไปที่นั่นสักพัก เจ้าพอจะอยู่ที่นี่แล้วรอข้ากลับมาได้รึเปล่า”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเฉินเฉียง หยานเสวี่ยได้บ่ายหน้าหนีพลางปาดน้ำตา ก่อนจะหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มละไมที่ได้ปรากฏบนใบหน้า
เธอพยักหน้าอย่างหนักแน่นแล้วพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าจะรอคอยจนกว่าเจ้าจะกลับมา”
นับจากที่ต้องแยกจากกับเว่ยฉิงเชินไปนั้น เฉินเฉียงเองก็ไม่กล้าคิดที่จะมีความสัมพันธ์กับผู้ใดอีก
หนึ่งคือด้วยต้นเหตุการณ์ตายของพ่อเขาอย่างฮั่นจุยยังคงอยู่ จนทำให้เรื่องราวล่วงเลยจนมาถึงจุดที่เขามาอยู่ในโลกปีศาจนี้
แต่ต่อให้การมีชีวิตอยู่ที่นี่ของเขาจะสงบสุข แต่นั่นก็ไม่อาจจะทำให้เขาหลงลืมได้ว่าตนคือมนุษย์บนโลกใบนั้น
และท่าทางของหยานเสวี่ยในตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเผชิญกับเรื่องนี้
ด้วยการที่เธอนั้นกล้าจะเผชิญหน้ากับเขาในเรื่องสายสัมพันธ์ของพวกเขาตรงๆ เฉินเฉียงก็รู้ว่าไม่ว่ายังไงก็ตาม เฉินเฉียงก็ไม่อาจจะหลีกหนีเรื่องนี้ได้อีกต่อไป
ยังดีที่ในตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนได้กลายเป็นศิษย์ภายในของสำนักเต๋าใต้บาดาลแล้ว นี่จึงทำให้พวกเขาสามารถเคลื่อนไหวได้คล่องตัวมากขึ้นในโลกปีศาจ ยังไม่รวมถึงการที่หยานเสวี่ยในตอนนี้ยังสามารถใช้ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ได้ในระยะครึ่งเมตรแล้ว
นี่จึงทำให้หลังจากตัดสินใจแล้ว เฉินเฉียงก็รีบใช้เคลื่อนย้ายพริบตาออกจากเขาเทียมฟ้าและพุ่งตรงไปยังหุบเขาฟานหยิน(หุบเขาเสียงกระซิบ)ที่อยู่ในภาคกลางได้โดยไม่มีห่วง
สถานที่แห่งนี้มีอุโมงค์เขตแดนแห่งที่สองที่สามารถเชื่อมระหว่างโลกและโลกปีศาจแห่งนี้อยู่ ในส่วนอุโมงค์ที่เชื่อมโยงกับเขตแดนจักรพรรดินั้น ก่อนที่เขาจะได้ร่างของราชาจักรพรรดิทั้งสาม เขาวางแผนไว้ว่าจะไม่ได้ผ่านทางนั้นอีก นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาคิดจะกลับไปจากอุโมงค์ที่อยู่ที่อยู่ใต้ทะเลสาบในหุบเขาฟานหยินนี้แทน
ด้วยการที่เขานั้นดูดซับสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตมาแล้ว ยามที่เขาเข้ามาที่นี่อีกครั้ง เขาไม่ต้องเปิดใช้ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้แต่อย่างใด เขาเพียงแค่ทะลวงเข้ามาตรงๆก็เพียงพอ
ในระหว่างการดำดินมานี้ เขาได้พบเจอสัตว์ปีศาจมากมายหลายระดับนับไม่ถ้วน แต่พวกมันก็ได้ถูกเปลี่ยนกลายเป็นเศษโคลนผ่านการทะลุทะลวงอย่างไม่หยุดยั้งของเฉินเฉียง เรียกได้ว่า บอลเลือดปีศาจของพวกมันนั้นไม่ได้ส่งผลต่อเฉินเฉียงอีกต่อไป
นี่ทำให้ไม่นาน เฉินเฉียงได้มาถึงก้นทะเลสาบจุดที่ดอกไม้ร้อยสีสันเบ่งบานอยู่
ด้วยการที่อุโมงค์เขตแดนแห่งนี้เปิดปิดเป็นเวลา และในตอนนี้มันกำลังปิดอยู่
แต่ด้วยการที่เฉินเฉียงนั้นรู้จุดที่ตั้งของมันอยู่แล้ว เขาจึงสามารถผ่านมันเข้าไปได้โดยไม่ต้องรอเวลา
และหลังจากที่เขาคาดไว้ เมื่อเขาออกจากอุโมงค์ เขาก็พบไอ้ตัวยึกยืออยู่ตรงหน้าเขาสิบกว่าตัว พร้อมกับสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยในก้นสมุทรแห่งคาบสมุทรมังกรคลั่ง
ดูเหมือนว่าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้ กำแพงเขตแดนได้เปิดขึ้นมาอย่างน้อยๆก็หนึ่งครั้ง และนั่นได้นำพาไอ้ตัวยึกยือพวกนี้มายังที่นี่
ในครั้งนี้เฉินเฉียงไม่ได้มีความลังเลแต่อย่างใด เขาออกไปจากที่นี่ก่อนเป็นอย่างแรก
หลังจากว่ายน้ำไต่ระดับขึ้นมาจากใต้ทะเลลึก เฉินเฉียงก็ได้สูดลมหายใจเข้าไปอย่างลึกสุดปอด
เขากลับมาบนโลกแล้วจริงๆ
หากไม่นับเวลาจากตอนที่เขาเสียไปในเขตแดนจักรพรรดิ เขาจากโลกนี้ไปกว่าครึ่งปีแล้ว
เป็นเวลากว่าหนึ่งปีที่เขาแยกจากเว่ยฉิงเชินไป
ในปีที่ผ่านมา เขาเองก็ไม่รู้ว่าจิตใจของเว่ยฉิงเชินนั้นจะเลิกคิดนึกโทษการกระทำของเขาบ้างรึยัง
แต่หากเขาต้องการไปพบเจอเว่ยฉิงเชินที่เขาโชวหยางในตอนนี้ นั่นคงจะทำให้เธอนั้นขุ่นเคืองไม่น้อยเลยเสียกระมัง
จะดีกว่าหากเขากลับไปฮุยตู๋แล้วถามข่าวคราวของฮั่นจุยกันเป็นอย่างแรก
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว เฉินเฉียงก็ได้ใช้ท่าผ่ามิติในทันที และนี่ทำให้เพียงแค่ครึ่งวัน เขาก็ไปถึงตีนเขาเอเอวเรสต์ได้ ในตอนนี้เขาอยู่ที่หน้าทางเข้าพื้นที่ตั้งของฮูยตู๋
หลังจากได้รับรู้การกลับมาของเฉินเฉียง ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋หรือก็คือฮูเตี๋ยนได้แสดงออกมาอย่างยินดียิ่งและรีบออกมารับเขาด้วยตนเอง
“ท่านนายเหนือหัว ทำไมท่านถึงกลับมาได้กัน หรือมีเรื่องเกิดขึ้นในต่างเขตแดนนั่น”
หลังจากนั่งลงแล้ว เฉินเฉียงก็ได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี เพียงแต่การหยุดยั้งการรุกรานอาจจะต้องยืดเยื้อมากกว่าที่คิดเท่านั้น”
“เอ้อ ใช่ ท่านผู้อาวุโสสูงสุด การสืบสวนเรื่องของฮั่นจุยเป็นยังไงบ้าง”
ฮุยเตี๋ยนเมื่อได้ยินก็ทำได้เพียงส่ายหัวไปมาอย่างจนปัญญา “นายเหนือหัว พวกเราได้กระจายคนของตนไปในทุกที่ แถมยังมีเผ่าพันธุ์มนุษย์ สัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์ที่ร่วมมือส่งคนของตนออกไปอย่างไม่ขาด แต่มาถึงตอนนี้ พวกเรายังไม่ได้ร่องรอยของฮั่นจุยแต่อย่างใด”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นไปหรอกท่านผู้อาวุโสสูงสุด ด้วยตัวตนของฮั่นจุย หากมันผู้นั้นต้องการจะหลบซ่อนย่อมไม่ง่ายที่จะค้นหา”
“อีกอย่าง ที่ข้ากลับมาครั้งนี้นั้น นอกจากจะมาเพื่อฟังเรื่องของฮั่นจุยแล้ว ข้านั้นต้องการให้ท่านไปยังเขาโชวหยางกับข้า หากท่านไม่ได้ติดสิ่งใดอยู่ก็ช่วยไปกับข้าหน่อยแล้วกัน”
ฮูเตี๋ยนพยักหน้ารับ “ในเมื่อเป็นคำขอจากนายเหนือหัว ข้าย่อมไม่คิดบ่ายเบี่ยงในเรื่องนี้”
หลังจากออกจากตีนเขาเอเวอเรสต์ เฉินเฉียงตรงไปยังเขาหมางก่อนเป็นที่แรก
ด้วยตัวตนของเฉินเฉียงในตอนนี้เป็นที่รับรู้กันไปทั่วทั้งโลก อาณานิคมเขาหมางเองก็ได้พัฒนาขึ้นอย่างมาก
นั่นก็เพราะสถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่เฉินเฉียงเติบโตมา ตึกเหมันต์จันทรานั้นย่อมไม่ยอมให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน
ด้วยอายุอานามของหลิงเว่ยที่มากล้นแต่ยังไม่อาจทะลวงผ่านระดับขั้นนายพลวิญญาณขั้นต้นไปได้ นี่แทบเป็นไปได้เลยที่เขาจะข้ามขั้นการบ่มเพาะไปได้อีก แต่ถึงกระนั้น เหล่านายทหารและนักรบสายเลือดแห่งเขาหมางนั้นต่างก็ยินดีที่จะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหลิงเว่ยอย่างไม่ต่อต้น
หลังจากได้ยินว่าเฉินเฉียงกลับมา หลิงเว่ยก็รีบวิ่งมาหา จนมาถึงที่หลุมศพของเฉินเทียนเว่ยและซุนต้าฮู่
“นายเหนือหัวเฉินเฉียง”
เฉินเฉียงได้หันไปมองตามเสียงก่อนจะโค้งตัวและกล่าวขอบคุณออกมา “ผู้ควบคุมหลิงเว่ย ขอบคุณท่านมากที่ดูแลหลุมศพของท่านพ่อและปู่ซุนในช่วงเวลาที่ผ่านมา”
“ที่ข้ากลับมาที่นี่นั้น ก็เพราะข้าต้องการจะพาท่านพ่อและปู่ซุนไปด้วยกันกับข้า”
“หลังจากนี้ข้าจะไปยังเขาโชวหยาง เมื่อไปถึงข้าจะขอให้ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าพันธุ์ช่วยตอบแทนท่านอย่างดีก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงที่ในตอนนี้มีสถานะที่สูงส่งแต่ก็ยังไม่วางแสดงออกกับเขาด้วยใจที่เคารพ นี่ทำให้หลิงเว่ยตื่นตันและพยักหน้าซ้ำๆ “นายเหนือหัวเฉินเฉียง ข้ารับใช้ผู้นี้ต้องขอบคุณท่านต่างหากที่ท่านคอยห่วงใยอาณานิคมเขาหมางแห่งนี้เสมอมา”
“ยังไงก็อย่าได้หลงลืมไปว่าที่นี่คือบ้านเกิดของท่าน แวะเวียนมาบ้างก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินเฉียงก็ได้นำดาบดั้นเมฆขึ้นมา ก่อนจะทะยานขึ้นฟ้าแล้วทำการตวัดดาบเป็นรูปสี่เหลี่ยมเป็นระยะห้าเมตรรอบหลุมศพของทั้งสอง ก่อนจะใช้พลังฟ้าดินจากโลกใบเล็กของตนช่วยยกและนำหลุมศพทั้งสองเข้าไปในโลกใบเล็กของตน
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว เฉินเฉียงได้หันไปโค้งคำนับให้กับหลิงเว่ยอีกครั้งก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในพื้นที่ร้อยเมตรห่างออกไป เฉินเฉียงได้ปรากฏตัวอีกครั้ง ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด เราไปกันเถอะ”
ที่หน้าทางเข้าเขาโชวหยาง ชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งขัดสมาธินั่งดิ่มชาอย่างสบายอารมณ์ก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่ง เขาได้ลืมตาขึ้นมาก็พบเห็นเป็นเฉินเฉียงและฮูเตี๋ยนยืนจังก้าอยู่หน้าเขาพร้อมรอยยิ้มละไม นี่ทำให้ชายคนนี้ถึงกับต้องเด้งผึงยืนขึ้นมาในทันที
“ท่านนายเหนือหั้ว”
เจิ้งชานเมื่อยืนขึ้นแล้วก็รีบโค้งคำนับพร้อมกล่าวคำทักทายอย่างเคารพพร้อมเสียงหลงด้วยอารามตกใจ
ด้วยสถานะของเฉินเฉียงนั้นแม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าพันธุ์ก็ยังต้องเคารพยามที่ต้องพบเจอ นับประสาอะไรกับผู้ตรวจการเช่นเขาที่เป็นเพียงคนเฝ้าประตูทางเข้า
“ผู้ตรวจการเจิ้งชาน ข้ารบกวนท่านเข้าไปแจ้งว่านายเหนือหัวและผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋ต้องการขอเข้าเยี่ยมเยือนพอจะได้รึเปล่า”