ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 391 ท้าทาย
บทที่ 391 ท้าทาย
อีกฝากฝั่งหนึ่งนั้น โฮวเจิ้นที่กำลังปรุงยาอย่างสบายอารมณ์นั้น ยามที่เขากำลังเฝ้ารอระหว่างกระบวนการ เขาก็ได้จับจ้องไปที่เม่ยซินที่กำลังปรุงยาอย่างไม่แยแสต่อท่าทางของผู้คน
เขาเห็นเม่ยซินพึ่งจะโยนตัวยาสมุนไพรสุดท้ายเข้าไปในเตาปรุงยา
นั่นยังไม่น่าสนใจ
ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือเหงื่อของเม่ยซินนั้นหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาด
โฮวเจิ้นผู้ซึ่งกำลังเหม่อลอยมองดูเม่ยซินอยู่นั้น ก็เริ่มสังเกตเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของเธอที่เกิดจากเหงื่อที่หลั่งไหลประดุจดั่งวิ่งฝ่าสายฝน และนี่ยิ่งทำให้เขานั้นจ้องเขม็งไปที่เม่ยซินเข้าไปใหญ่
เม่ยซินที่รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ในที่สุดก็ได้จ้องมองไปที่โฮวเจิ้นที่กำลังจ้องมองเธออยู่
ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอหลอมยาออกมาได้ไม่ดีรึอย่างไร ในตอนนี้เธอได้แสดงท่าทางเอียงอายออกมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นรอยยิ้มเอียงอายชนิดกระชากบาดใจของเม่ยซิน โฮวเจิ้นในตอนนี้ก็ได้ถูกตกไปเรียบร้อยแล้ว
มันกลายเป็นเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมา
ด้วยการที่การปรุงยานั้นเป็นเรื่องของเทคนิค เขาจึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรมากมาย
อย่างไรก็ตาม โฮวเจิ้นในตอนนี้นอกจากจะไม่ตั้งใจปรุงยาแล้ว เขายังจับจ้องไปที่เม่ยซินอย่างไม่ละสายตา
และความผิดพลาดนี้เองได้นำไปสู่การพ่ายแพ้ของโฮวเจิ้น
เพียงชั่วพริบตา กลิ่นไหม้ก็ได้ลอยตลบอบอวลอยู่ในลานประลอง
แม้กระทั่งตอนนี้ โฮวเจิ้นก็ยังมองไปยังเม่ยซินราวกับเป็นตัวโง่งมตัวหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เม่ยซินที่รับรู้ถึงบางสิ่ง ก็รีบตั้งใจปรุงยาของตน เพราะกลัวว่าตนจะทำผิดพลาดแบบโฮวเจิ้น
ที่ด้านนอกสนาม ฉินหมิงที่กำลังสอดส่องการแข่งขันอยู่นี้ ก็ได้เห็นควันโขมงโฉงเฉงที่ลอยออกมาจากเตาปรุงยาของโฮวเจิ้น
และเพื่อไม่เห็นความพ่ายแพ้ของคนคนหนึ่ง เป็นการรบกวนศิษย์ที่ลงแข่งคนอื่น โฮวเจิ้นจึงถูกส่งออกไปนอกกำแพงเขตแดนลานประลองในทันที
เป็นเพียงตอนที่โฮวเจิ้นรู้ตัวว่าตนอยู่นอกประลองแล้ว เขาจึงได้รับรู้ว่าตัวเองนั้นพ่ายแพ้
แต่เมื่อมารู้สึกตัวเอาตอนนี้ ความเสียใจก็ยังสายเกินกว่าที่จะแสดงออกมาได้
ยามที่ฉากที่ไม่อาจจะเอ่ยคำด่าได้หมดนี้ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าเจิ้งฮูเชิง เขาผู้ซึ่งอยู่บนเวทีในตอนนี้ทำได้เพียงตัวสั่นเพราะความโกรธเกรี้ยว
เขานั้นหวังว่าโฮวเจิ้นจะกลายเป็นผู้ทำคะแนนตีตื้นให้กับสำนักเขามาได้บ้าง แต่เจ้าศิษย์เวรตะไลของเขากลับหลงเสน่ห์สาวงามจนทำให้เรื่องราวมันแย่ยิ่งกว่าเดิม
แม้แต่ผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุนเองก็ยังต้องประหลาดใจ
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เจิ้งฮูเชิงรู้สึกขุ่นเคืองไปมากกว่านี้ ทั้งสองจึงทำได้เพียงยิ้มกริ่มออกมาและมองไปยังพื้นที่ปรุงยาของหยานเสวี่ย
นอกจากเม่ยซินที่ยังไม่ยอมละมือแล้ว ในตอนนี้ก็เหลือเพียงหยานเสวี่ยเท่านั้นที่ยังปรุงยาไม่เสร็จ
เธอนั้นฝึกฝนอย่างหนักโดยไม่แหนงหน่ายในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา จนทำให้เธอนั้นมั่นใจว่าทักษะในการปรุงยาของเธอนั้นสามารถปรุงแม้แต่ยาระดับสองก็ยังได้
แต่ในระหว่างกระบวนการขึ้นรูปนี้ เธอรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องมาที่เธออย่างไม่เป็นมิตร และไม่ยอมละสายตาแต่อย่างใด
ด้วยการที่หยานเสวี่ยมีสถานะร่างกายที่สูงล้ำ ประสาทสัมผัสของเธอย่อมอยู่เหนือกว่าที่ผู้คนจะเข้าใจ
มันเป็นสายตาจากศิษย์ชายสำนักเต๋าดาวตกที่เป็นคู่ต่อสู้ของเธอ ชายคนนี้ไม่เหมือนกับโฮวเจิ้นที่หลงใหลในสาวงามจนมองจ้องอยู่นานและพลาดท่าไป
อย่างไรก็ตาม หยานเสวี่ยก็สัมผัสได้ว่าพลังจิตของตนผู้นี้ไม่ได้อ่อนด้อยแต่อย่างใด
และนี่ทำให้หยานเสวี่ยระวังตัวมากยิ่งขึ้น
ด้วยการที่ชายคนนี้มั่นใจในความแข็งแกร่งทางจิตของตน เขาได้แบ่งจิตวิญญาณส่วนหนึ่งออกมา และหมายจะใช้มันไปรบกวนไฟในเตาปรุงยาของหยานเสวี่ย
แต่นี่ก็ไม่ได้ต่างไปจากการรนหาที่เสียกระมัง
หยานเสวี่ยแต่เดิมก็คิดไปว่าชายตรงหน้าเธอนั้นจะเป็นอีกคนที่หลงใหลในความงดงามของคู่แข่ง กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายพยายามจะใช้วิธีการแบบนี้เพื่อจะใช้ชนะการแข่งกับเธอเสียอย่างนั้น
หากกล้าทำมาแบบนี้ก็อย่าหาว่าไม่ปรานีเลยก็แล้วกัน
และนี่ทำให้หยานเสวี่ยแสดงท่าทีออกมาอย่างเย็นชา ก่อนที่จะปลดปล่อยพลังจิตของเธออย่างเต็มพิกัด
นอกจากเฉินเฉียงและผู้อาวุโสสำนักบางคนแล้ว คนอื่นๆไม่อาจต้านทานพลังจิตของเธอได้ไม่
หยานเสวี่ยในตอนนี้ได้ทำการควบคุมระดับไฟในเตาปรุงยาของเธอ หลังจากได้ขจัดการรบกวนก่อนหน้านี้ไปได้เป็นปกติ
หลังจากนั้นเธอก็ได้ใช้พลังจิตที่รุนแรงอย่างที่สุด พุ่งเข้าใส่เตาปรุงยาของศิษย์สำนักเต๋าดาวตกที่กล้ามาก่อกวนเธอก่อนหน้านี้
ฉากนี้ถึงแม้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแต่อย่างใด ถึงแม้ที่ด้านนอกลานประลองจะไม่ได้ยินว่าเกิดสิ่งใดขึ้นข้างใน แต่ควันที่ลอยโขมงโฉงออกจากเตาปรุงยาที่พึ่งระเบิดไปนี้ ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นมา
ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป ความหวังสุดท้ายของสำนักเต๋าดาวตกนั้นได้จางหายไปกับกลุ่มควันไปทั้งอย่างนี้
ในตอนนี้ การประลองสองสำนัก สำนักเต๋าใต้บาดาลตกเป็นผู้นำ
เมื่อเห็นหยานเสวี่ยเดินออกมาด้วยรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย เฉินเฉียงก็สุขใจในทันที
นั่นก็เพราะนี่จะทำให้เธอนั้นได้รับใบเบิกทางไปยังภูมิภาคกลาง
“เฉินเฉียง ต่อไปก็เป็นตาเจ้าสินะ”
เฉินเฉียงยักไหล่ราวกับไม่ใส่ใจไปทีหนึ่ง เมื่อเห็นท่าทางของเขา หยานเสวี่ยก็เผยรอยยิ้มที่หวานประดุจดั่งดอกไม้งามในทันที
เขานั้นไม่ได้แยแสกับการประลองกำลังกับเด็กผู้นี้อยู่แล้ว
หลิวฉิงหยุนที่นั่งอยู่บนที่นั่งผู้ทรงเกียรติได้ส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณออกไป -ผอ. ข้าได้ยินมาว่าพลังจิตของหยานเสวี่ยนั้นไม่อ่อนด้อยแต่อย่างใด-
-ไอ้การระเบิดของเตาปรุงยาที่ศิษย์สำนักเต๋าดาวตกได้ประสบพบเจอเมื่อครู่ก็คงเป็นนางเสียกระมัง-
ผอ.ฉีได้พยักหน้ารับ – เด็กนี่มีพลังจิตที่แกร่งกล้า การมอบตำแหน่งตัวเลือกของสำนักภาคกลางให้เด็กนี่ย่อมคุ้มค่า หากว่าเด็กนี่กับเฉินเฉียงได้เข้าไปในสำนักเต๋าภาคกลางด้วยกันทั้งคู่ ชื่อเสียงของสำนักเต๋าใต้บาดาลของเรานั้นย่อมขจรขจายเป็นแน่-
คนที่นั่งอีกฟากข้างหนึ่งของผอ.ฉี หรือก็คือผอ.สำนักเต๋าดาวตก เจิ้งฮูเชิงนั้น ในตอนนี้แสดงออกด้วยท่าทางที่เรียกได้ว่าน่าเกลียดน่ากลัวอย่างที่สุด ก่อนที่เขาจะกระแอมไอออกมาอย่างดังและพูดต่อ ผู้อาวุโสฉินหมิง รอบต่อไปคงจะเป็นการแข่งระหว่างศิษย์แผนกวิชายุทธใช่รึเปล่า
ในฐานะที่เป็นประธานจัดงาน ฉินหมิงย่อมมีอารมณ์ที่เริงร่าเมื่อสำนักเต๋าใต้บาดาลของตนนั้นแสดงผลงานออกมาได้อย่างดีเยี่ยมแบบนี้ นี่จึงทำให้เข้านั้นประกาศการแข่งรอบต่อไปด้วยใจที่ฮึกเหิมภูมิใจ “ศิษย์แผนกวิชายุทธ์จากทั้งสองสำนัก ขึ้นมายังสนามประลองได้”
ภายใต้การจับจ้องของผู้คน เฉินเฉียงและศิษย์แผนกวิชายุทธอีกสองคนได้ก้าวเดินขึ้นไปยังสนามประลองพร้อมกัน
แต่เป็นตอนนี้ที่มีเสียงหนึ่งได้ดังขึ้นมา “รอก่อน”
ทุกตนที่ได้ยินต่างก็มองหาต้นเสียง และพบว่ามันคือเสียงของศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตที่มีชื่อว่าหลี่ฉิง ผู้ซึ่งนำพาชัยชนะตีเสมอในการประลองแผนกหุ่นเชิดโลหิตของตนมาได้ และในตอนนี้ เขาได้หันไปหาผอ.ฉีและเจิ้งฮูเชิงแล้วพูดออกมา “ท่านเจ้าสำนัก ไอ้หนูน้อยที่ชื่อเฉินเฉียงตนนี้ไม่อาจจะลงประลองในนามของแผนกวิชายุทธได้”
“มันต้องตกตายโดยข้าผู้นี้”
“เมื่อสามเดือนก่อน พวกท่านได้ให้คำมั่นของข้าว่าจะให้ข้าได้มีการประลองกันอย่างเปิดเผยต่อหน้าผู้คนในงานประลองสองสำนักในวันนี้นี่นา”
เจิ้งฮูเชิงที่กำลังเสียจนหน้าตาบูดบึ้งก็ได้มองไปที่ผอ.ฉีแล้วพูดออกมาราวกับมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ แต่ก็ต้องทำมันให้ได้ “กับเรื่องนี้ข้าเองก็ยังไม่ลืมนา เพียงแต่ว่าตัวข้านั้นไม่รู้ว่าพี่ฉีจะคิดเห็นกับเรื่องนี้เป็นเช่นใด”
“แน่นอนว่าหากพี่ฉีคิดว่าเขาจะแพ้จนมีผลกับการประลองรอบถัดไปล่ะก็ เอาไว้เราค่อยพูดคุยเรื่องของเฉินเฉียงหลังจากเสร็จสิ้นการประลองแผนกวิชายุทธแล้วก็ได้นา”
ก่อนหน้านี้ หลี่ฉิงพูดออกมาชัดๆว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างบุคคล แต่คำพูดของเจิ้งฮูเชิงนั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่ามันคือการต่อสู้ระหว่างสำนัก
นี่ทำให้ผอ.ฉีมองเฉินเฉียงไปปราดหนึ่ง ก่อนที่เขาจะหันพูดกับหลี่ฉิง “หากนับตามกำหนดการการแข่งขัน รอบนี้เป็นการแข่งขันของแผนกวิชายุทธ์ ตัวเจ้านั้นพอจะระวางความแค้นส่วนตัวไว้ชั่วคราวไม่ได้เลยรึ”
“ผอ.ฉี การที่ท่านพูดออกมาแบบนี้มันดูไม่ดีเลยนะนั่น” หลี่ฉิงบอกปัดอย่างชัดเจน “เมื่อสามเดือนก่อนเฉินเฉียงกับข้านั้นต่างก็รับปากว่าจะได้ต่อสู้กัน และในตอนนั้นท่านที่เป็นผอ.สำนักแม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดของท่านก็ยังเห็นด้วยกับเรื่องนี้ แล้วนี่จะกลับลำกันรึไง”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือหากว่าไอ้เฉินเฉียงนั้นมันพลาดท่าถูกศิษย์สำนักเต๋าดาวตกแผนกวิชายุทธ์ของข้าฆ่าตายไป หากข้ารอให้การประลองระหว่างแผนกวิชายุทธจบลง แล้วข้าจะไปสู้กับใครได้อีก”
“ก่อนหน้านี้ การตายของน้องชายข้าผลออกมาไม่ได้กระจ่างชัดเลยสักนิด ไม่ว่ายังไงก็ตาม ข้าเชื่อว่าคนที่ลงมือสังหารน้องชายข้าต้องเป็นไอ้เด็กนี่เป็นแน่แท้”
“ท่านผอ. โปรดช่วยศิษย์ให้มีโอกาสได้ล้างแค้นด้วยเถิด”
“ให้ศิษย์ผู้นี้ได้มีโอกาสต่อสู้ในศึกเป็นตายกับไอ้เด็กนี่ เพื่อที่ดวงวิญญาณของน้องชายข้าจะได้หมดห่วงและขึ้นสู่สรวงสวรรค์ไปได้”
เมื่อพูดจบ หลี่ฉิงได้หันไปตะโกนโหวกเหวกโวยวายใส่เฉินเฉียงที่อยู่ในสนามประลองในทันที “ไอ้ชาติ….เฉินเฉียง หากแกยังมีความเป็นคนอยู่ล่ะก็ ก็จงมาสู้กับข้าผู้นี้ให้ตกตายไปซะ”