ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 392 คืนสนอง
บทที่ 392 คืนสนอง
ไม่มีใครรู้ว่าใครคือเฉินเฉียง และเฉินเฉียงนั้นคือใคร
แต่ในเมื่อคนผู้นี้ทำให้ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตตั้งมั่นอาฆาตเสียขนาดนี้ แสดงว่าเขาต้องเป็นศัตรูที่ทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย
แถมหลี่ฉิงยังพูดออกมาราวกับว่ามั่นใจกับเรื่องนี้ แม้แต่ผอ.ของสองสำนักเองก็ยังรับรองว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไม่มีปัญหา
อีกฟากฝั่งหนึ่ง ศิษย์ภายในสำนักเต๋าใต้บาดาลที่ได้เห็นฉากที่หลี่ฉิงฆ่าหลูอันอย่างอำมหิตจนตราตรึงใจอยู่นั้น ทำให้พวกเขาต่างก็ทำได้เพียงเงียบงัน
พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าเฉินเฉียงนั้นคือศิษย์ภายในของแผนกปรุงยา
แต่พวกเขานั้นไม่รู้ว่าเฉินเฉียงไปทำอีท่าไหนถึงได้ไปสร้างความแค้นชนิดฝังลึกกับศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตของสำนักเต๋าดาวตกไว้ได้อย่างไร
ขนาดศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตของสำนักเต๋าใต้บาดาลยังต้องตกตาย แล้วนับประสาอะไรกับศิษย์แผนกปรุงยา
นี่ไม่ได้ต่างไปจากการรนหาที่ตายชัดๆ
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้สึกเสียใจให้กับเฉินเฉียง
เหตุผลหลักก็คือ ในการประลองในครั้งนี้ เฉินเฉียงที่เป็นศิษย์แผนกปรุงยา กลับมาลงแข่งในนามแผนกวิชายุทธของสำนัก แถมยังกล้ามีปัญหากับศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตของสำนักฝ่ายตรงข้าม
ผู้คนส่วนใหญ่แล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสมน้ำหน้ากับสิ่งที่เฉินเฉียงจะต้องได้ประสบพบเจอ
เม่ยซินที่ยืนอยู่เคียงข้างหยานเสวี่ยในตอนนี้ก็แสดงท่าทีที่ยากจะยอมรับได้ออกมา
“นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด”
“เฉินเฉียงเขาเป็นศิษย์แผนกปรุงยาไม่ใช่เหรอ แล้วเขาจะไปสู้กับผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตได้ยังไงกัน ความยุติธรรมมันอยู่ที่ไหนกันเนี่ย”
หลังจากโหวกเหวกโวยวายเรียกร้องหาความยุติธรรมให้เฉินเฉียง เม่ยซินก็หันไปหาหยานเสวี่ยแล้วอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “พี่หยานเสวี่ย ข้าว่าเราเรียกพี่เฉินเฉียงกลับเข้ามาดีกว่า เราอย่าปล่อยให้เขาไปสู้กับไอ้คนชั่วร้ายพรรค์นั้นเลยนะ”
หยานเสวี่ยที่ได้ยินก็ถามกลับไปอย่างสงสัย “ทำไมข้าต้องเรียกเขากลับเข้ามาด้วยล่ะ”
เม่ยซินเมื่อได้ยินคำถามนี้ก็ต้องนิ่งอึ้งไป
“เอ่ออออ พี่หยานเสวี่ย ไม่ใช่ว่าพี่เฉินเฉียงนั้นเป็นคนรักของท่านหรอกเหรอ ท่านไม่เป็นกังวลหรือเป็นห่วงความปลอดภัยของเขาเลยรึไงกัน”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ใบหน้าของหยานเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะแดงฉาน
เม่ยซินเป็นคนแก่กล้าพูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเฉินเฉียงต่อหน้าต่อตาแบบนี้
แต่ที่เม่ยซินยังไม่รู้ก็คือ หลี่ฉิงที่ราวกับเป็นเทพแห่งความตายสำหรับเธอนั้น แต่กับเฉินเฉียงแล้ว มันผู้นี้ไม่ได้ต่างไปจากมดปลวกแต่อย่างใด
“ไม่ต้องห่วงหรอกเม่ยซิน เฉินเฉียงนั้นเป็นคนที่รู้ดีว่าสิ่งใดทำได้ สิ่งใดทำไม่ได้” เมื่อพูดจบหยานเสวี่ยก็ได้มองตรงไปยังลานประลองตรงหน้าด้วยท่าทางที่ไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
เฉินเฉียงที่อยู่กลางสนามประลองนั้นก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงเดินไปหาหลี่ฉิงหลังจากที่เขาได้พูดจาโอหังออกมา และในตอนนี้เขาก็ได้ไปยืนเทียบเคียงกับเขาที่ด้านนอกของลานประลองแล้ว
หลี่ฉิงมองไปที่เฉินเฉียงที่อยู่ห่างแค่เอื้อมอย่างจงเกลียดจงชัง ส่วนเฉินเฉียงนั้น หาได้แยแสต่อหลี่ฉิงไม่ เขาเพียงเงยหน้าจ้องมองไปยังผอ.สำนักทั้งสองคน
เจิ้งฮูเชิงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน “เฉินเฉียง เมื่อสามเดือนก่อนที่เขาม่อกั๋นนั้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องราวระหว่างพวกเจ้าสองคน หาได้เกี่ยวข้องกับสำนักแต่อย่างใด แน่นอนว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับการประลองระหว่างสองสำนักในครั้งนี้อีกด้วย”
“เจ้านั้นสามารถลงแข่งในนามแผนกวิชายุทธได้ก่อนที่จะประลองกับหลี่ฉิง”
“กับเรื่องนี้ เจ้าต้องเป็นคนเลือกเอง”
เมื่อพูดจบ เจิ้งฮูเชิงนั้นไม่ได้แยแสต่อเฉินเฉียงแต่อย่างใด เขาเพียงแค่เผยรอยยิ้มภูมิใจที่มีต่อหลี่ฉิงออกมาให้เห็น
ในการประลองครั้งนี้ คนที่เป็นหน้าเป็นตาให้กับสำนักเต๋าดาวตกนั้นก็คือหลี่ฉิงผู้นี้
ด้วยการที่หลี่ฉิงได้สังหารหลูอันในการประลองระหว่างสองสำนักไปแล้ว หากหลังจากนี้ เฉินเฉียงตกตายโดยมือของหลี่ฉิงอีก เขา ในฐานะผู้ที่เป็นผอ.สำนักเต๋าดาวตกย่อมได้หน้าไปด้วย
ส่วนผอ.ฉี นั้น ด้วยการที่เขาได้โปรดปรานในตัวเฉินเฉียงอย่างที่สุด เป็นธรรมดาที่เขาไม่ต้องการให้เฉินเฉียงต้องพบเจอเรื่องเลวร้าย จึงคิดจะหาทางช่วยเขา
แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรนั้น เฉินเฉียงได้พูดตัดบทขึ้นมา
“ผอ.ข้าว่าไม่ต้องเสียเวลาให้ยืดยาวไปกว่านี้หรอกครับ ข้าขอสู้กับไอ้สถุลนี่ให้มันจบๆไป ข้าจะได้ไปประลองในนามแผนกวิชายุทธได้สักที”
เมื่อว่าเฉินเฉียงไม่ได้คิดจะคัดค้าน หลี่ฉิงย่อมดีใจอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตแล้วย่อมไม่เคยเห็นหัวของผู้บ่มเพาะบนเส้นทางยุทธอยู่ในสายตามาก่อน
เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม สัตว์ปีศาจ ต่อให้มันกลายเป็นหุ่นเชิดโลหิตก็ยังเป็นสัตว์ปีศาจอยู่วันยังค่ำ มันคือสิ่งที่มนุษย์นั้น ไม่อาจที่จะต้านทานได้
ย้อนกลับไปที่เขาม่อกั๋นนั้น หลี่ฉิงมั่นใจอย่างที่สุดว่าเฉินเฉียงเป็นคนฆ่าน้องชายของเขา ต่อให้ไม่ได้ฆ่าไปตรงๆก็สมควรจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้าง
และนี่จะทำให้การต่อสู้ต่อหน้าสาธารณชนในครั้งนี้ เป็นเวทีระบายความแค้นแทนน้องชายของเขาที่ได้ตกตายไป
“เยี่ยมมาก”
เจิ้งฮูเชิงได้ยกนิ้วโป้งให้กับเฉินเฉียงก่อนที่จะหันไปพูดกับผอ.ฉี “พี่ฉี ศิษย์ของพี่ท่านนั้นช่างหนักแน่นนัก”
ผอ.ฉีที่ยังคงรักษาท่าทางไว้ได้อย่างปกติสุข ก็ได้หัวเราะร่าพลางพูดออกมา “หึหึหึ ในเมื่อเฉินเฉียงและหลี่ฉิงนี้ยินยอมพร้อมใจที่จะสู้ ถ้าอย่างนั้นการประลองของศิษย์แผนกวิชายุทธคงต้องเลื่อนไปอีกสักหน่อยเสียแล้วสิ”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้เริ่มพูดออกมา “ช้าก่อน ท่าผอ. ข้าขอถาม การต่อสู้ของข้ากับไอ้สถุลนี่มีพวกข้าห้ามข้อบังคับอะไรบ้างรึเปล่าครับ”
เมื่อเจิ้งฮูเชิงได้ยินแบบนี้ เขาก็ได้พูดออกมาอย่างหนักแน่น เน้นๆ ช้าๆ “จง จำ ไว้ว่า นี่คือการต่อสู้ ไม่ใช่การประลองเด็กเล่นแบบนั้น”
“แล้วเจ้ารู้รึเปล่าว่าการต่อสู้นั้นคือสิ่งใด มันคือการฆ่ากันจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่ง”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับไปเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา “โอ้ เรื่องนั้นน่ะข้ารู้ แต่ข้านั้นยากจะรู้ว่าหากข้าฆ่าไอ้สถุลนี่ตายไปเรื่องราวจะจบลง หรือยังจะมีสานต่ออีกก็เท่านั้น ท่านเองก็คงจะไม่คิดแก้แค้นแต่หนหลังหรอกนะนั่น”
“ไอ้ฉิบหาย พะ…ตาย”
เพียงเฉินเฉียงได้พูดออกมา ศิษย์จากทั้งสองสำนักก็แทบจะสบถออกมากันอย่างพร้อมเพรียง พร้อมกับความเงียบที่เกิดขึ้นทั่วบริเวณลานประลอง เงียบชนิดที่ว่าแม้แต่เศษแก้วหล่นก็ยังได้ยิน
คำพูดนี้ไม่ได้ทำให้เพียงเหล่าศิษย์ภายในถึงกับไม่เป็น แม้แต่หลี่ฉิงเองก็ยังยากที่จะต้านทานได้
“เฉินเฉียง แกนี่ช่างพูดจาไร้สาระได้อย่างหน้าตาเฉยยิ่งนัก”
“หากแกเก่งจริง ก็มาฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง”
เฉินเฉียงได้ยกมือขึ้นมาห้ามปรามก่อนจะพูดออกมา “เอ้าเอ้า จะรีบร้อนด่วนตายไปทำไมกัน จะดีกว่านาหากเจ้าจะรอให้ข้าถามเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นก่อนน่ะ”
“ข้ายังจดจำได้เป็นอย่างดีถึงเรื่องราวที่เขาม่อกั๋นในวันนั้น”
“ในตอนนั้น ข้าเพียงป้องกันตัวจนเจ้าได้รับบาดเจ็บไป อาจารย์ของใครกันน้าที่มีใจหุนหันหมายฆ่าข้าให้ตกตาย”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้จ้องมองไปยังเฉิงยี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังเจิ้งฮูเชิง
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลิวฉิงหยุนผู้ซึ่งกำลังยืนอยู่ที่ฝั่งศิษย์สำนักเต๋าใต้บาดาลก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังลั่น
ด้วยการที่เขาเป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเต๋าใต้บาดาล การพบเจอกับเฉิงยี่ครั้งก่อนนั้น เขาถูกคนผู้นี้ทำให้อัปยศอดสูแม้เขาจะยืนอยู่ต่อหน้าต่อตา
จึงเป็นธรรมดาเมื่อเขาเห็นเฉินเฉียงลอบด่าทอเฉิงยี่ในทางอ้อม ก็แสดงออกมาด้วยความยินดียิ่ง
และนี่ทำให้ผู้ที่ถูกกล่าวถึงต้องแสดงท่าทางที่เย็นชาออกมาในทันที
“ฮึ่ม ไอ้หนู ไอ้แก่ผู้นี้ขอสัญญาณต่อหน้าศิษย์ทั้งสองสำนักว่าหากแกมีปัญญาสังหารศิษย์ข้า ไม่เพียงไอ้แก่ผู้นี้จะไม่สร้างความยากลำบากให้เจ้า ไอ้แก่ผู้นี้ยังมอบแก่นวิญญาณให้เจ้าอีกสองก้อนด้วยเลย”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจแล้วพูดออกมา “ฮ้า…. เท่านี้ข้าก็วางใจลงได้แล้ว อย่างๆน้อยๆก็ไม่ต้องกังวลใครบางคนมาแก้แค้นให้กับสถุลรุนชาติพรรค์เช่นนี้”
เมื่อพูดเจ็บ เฉินเฉียงไม่ได้ชายตาแลใบหน้าที่บูดบึ้งพร้อมระเบิดอารมณ์ของเฉิงยี่แต่อย่างใด เขาเพียงเดินตรงไปหาหยานเสวี่ยที่อุ้มเมิ่งน้อยไว้ด้วยอ้อมแขนของตนอย่างทะนุถนอม ก่อนเดินตรงขึ้นไปยังกลางสนาม
“พวกเจ้าพร้อมรึยัง”
เมื่อเห็นเฉินเฉียงและหลี่ฉิงต่างก็พยักหน้ารับในเวลาเดียวกัน ฉินหมิงก็ได้กางกำแพงพลังงานขึ้นรอบสนามต่อสู้อีกครั้ง โดยมีทั้งสองคนเป็นศูนย์กลาง