ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 393 สงคราม(น้ำลาย)
บทที่ 393 สงคราม(น้ำลาย)
“ห้ะ” มีใครบางคนได้พูดขึ้นมา “เจ้าว่าเฉินเฉียงจะอยู่รอดได้นานเท่าใดกัน”
“อยู่รอดเหรอ เหอะ เจ้ายังมีความกล้าที่จะเอ่ยคำนี้ออกมาถามอีกเรอะ ต่อสู้กับผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตเนี่ยนะ หากไอ้เฉินเฉียงผู้นั้นไร้ซึ่งสมองหรือไม่เส้นสมองแตกซ่าน มันก็สมควรลองตายโดยการประลองกับไอ้คนพวกนี้แหงๆ”
“ข้าบอกได้เลยว่าตราบใดที่หุ่นเชิดโลหิตของหลี่ฉิงปรากฏ เฉินเฉียงนั้นไม่อาจทนอยู่ได้เพียงเสี้ยววิ”
ที่ฝั่งสำนักเต๋าดาวตก ศิษย์ภายในทุกคนต่างก็พูดคุยกันว่าเฉินเฉียงจะตกตายอีท่าไหน และแม้แต่ศิษย์ทางฝั่งสำนักเต๋าใต้บาดาลเองก็พูดคุยด้วยหัวข้อที่ไม่ต่างกันมาก จนทำให้นี่กลายเป็นบรรยากาศที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับผู้คนของทั้งสองสำนัก
ไม่ว่ายังไงก็ตาม เฉินเฉียงเองก็ควรจะเป็นหน้าตาของสำนักเต๋าใต้บาดาลไม่ใช่รึไงกัน
ในฐานะที่เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ศิษย์เหล่านี้สมควรจะส่งเสียงเชียร์เฉินเฉียงอะไรพวกนั้นไม่ใช่รึไง หรืออย่างน้อยๆก็ควรจะพูดคุยกันประมาณว่าเป็นห่วงความปลอดภัยของเขา
แต่นี่ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ภายในแผนกไหน อยู่มานานกี่สิบปี ต่างก็สงสัยในทำนองเดียวกันก็คือ เฉินเฉียงนั้นจะตกตายยังไง คงจะมีเพียงหยานเสวี่ย เม่ยซิน และศิษย์สำนักเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่แสดงออกมาซึ่งความเป็นห่วงจนเห็นได้ชัดบนใบหน้า
หากเฉินเฉียงตกตายในตอนนี้ อย่าว่าแต่ชื่อเสียงที่สำนักเต๋าใต้บาดาลหวังจะได้รับเลย ชื่อเสียงของพวกเขาจะร่วงหล่นเอาด้วยซ้ำ แต่เมื่อทุกคนได้เห็นใบหน้าของเฉินเฉียงในตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เพราะใบหน้าของเขาแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่ว่ายังไงก็ชนะได้อยู่ดี
แต่ต่อให้เฉินเฉียงจะชนะได้จริง ก็ไม่มีใครเลยในสำนักที่จะดีใจไปกับเขาด้วย
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าจะดีจะร้าย ไม่ว่ายังไงก็โดนนินทา
อย่างเช่น ในหมู่ศิษย์ภายในทั้งหมดของสำนักเต๋าใต้บาดาลนั้น ทำไมต้องหมายหัวเด็กใหม่อย่างเฉินเฉียง
การที่โดนคนที่พึ่งเข้ามาใหม่และไม่ได้มีความสลักสำคัญอันใดแย่งชื่อเสียงเกียรติยศไปจนหมดสิ้น แล้วพวกเขาจะคงอยู่ในสำนักต่อไปได้ยังไง
เหตุผลที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาในสำนักเต๋าใต้บาดาลนี้ นั่นก็เพราะพวกเขาไม่ได้รับรู้เรื่องราวอันใดก่อนหน้ามา ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเฉินเฉียงคือใคร และไม่ได้เห็นวี่แววที่จะเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อนหน้าด้วยซ้ำ
ที่ภายในลานประลอง เฉินเฉียงที่อุ้มเมิ่งน้อยอยู่นั้น เขาเองก็ทำท่ามันแต่หยอกเอินเล่นกับเมิ่งน้อยโดยไม่แยแสหลี่ฉิงที่อยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อย
“หึหึหึ เฉินเฉียง ข้ารู้ว่าระดับการบ่มเพาะของแกนั้นมันสูงล้ำ แต่มันก็เพียงแค่เท่านั้น”
“ภายใต้เขตแดนนี้คือโลกของข้า”
“ต่อให้แกจะสำนึกเสียใจตอนนี้ มันก็สายเกินไปแล้ว”
“แต่เห็นแก่ความกล้าของแก วันนี้ข้าจะให้โอกาสแกบอกข้ามาว่าเจ้ามีสิ่งใดจะพูดก่อนตาย”
ใช่แล้ว
ในสายตาของหลี่ฉิงนั้น ชีวิตของเฉินเฉียงเป็นสิ่งที่เขาจะช่วงชิงไปเมื่อไหร่ก็ได้
แต่การฆ่าอีกฝ่ายอย่างง่ายดายนั้นมันก็ไร้ค่าจนเกินไป
นั่นก็เพราะเขาต้องใช้เวลารอเหตุการณ์ในวันนี้มาถึงสามเดือน
หากเขาปล่อยให้เฉินเฉียงตกตายไปโดยง่าย มันก็ไม่ได้สมกับเวลาที่เขาต้องรอคอยแต่อย่างใด
อย่างน้อยๆ เขาจะทำให้เฉินเฉียงรับรู้ความรู้สึกของคนที่ค่อยๆตกตายลงอย่างช้าๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อหลี่ฉิงพูดจบลงไป เขาก็พบว่าเฉินเฉียงไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวแม้แต่น้อย แม้แต่ร่องรอยแห่งความหวาดหวั่นที่เขาอยากจะเห็นก็ไม่มีแม้แต่น้อย
“คำพูดสุดท้ายหรือ” เฉินเฉียงเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะพูดอย่างไม่ไยดี “ข้าไม่ใช่ผู้ที่ต้องเอ่ยคำไร้ค่าเช่นนั้นหรอก”
“เอาจริงๆนะ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะแกเสนอหน้ามาให้ข้าเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าเองก็คงจะไม่ได้จดจำชื่อของแกได้เลยด้วยซ้ำ”
“แต่ก็อีกล่ะนะ ในเมื่อแกคิดรนหาที่ตาย ข้าเองก็จะสนองตอบเจ้า และจะช่วยให้เจ้าไปพูดคุยแลกเปลี่ยนความโกรธแค้นกับน้องชายตัวน้อยๆที่แสนด้อยค่าของเจ้าในนรกโลกันตร์”
เมื่อได้ยินแบบนี้ มุมปากของหลี่ฉิงกระตุกอย่างไม่หยุด ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “แกหมายความว่ายังไง หรือว่าแกจะได้เห็นน้องชายข้าตายต่อหน้า”
“โอ้ ไม่ไม่ไม่ อย่าได้เข้าใจผิดไปเป็นแบบนั้น ข้าไม่ได้เห็นน้องชายตัวน้อยกระจ้อยร่อยของเจ้าตกตายหรอก แต่เป็นเพราะข้าผู้นี้เป็นคนฆ่ามันเองกับมือ อ้อ แน่นอนว่าก่อนหน้าที่จะฆ่ามัน ข้ายังได้ฆ่าหลิวเซียงกับไอ้อะไรสักอย่างของสำนักเต๋าใต้บาดาลไปด้วยเช่นกัน”
เมื่อเห็นใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของหลี่ฉิงแล้วนั้น เฉินเฉียงก็ได้เติมเชื้อไฟเข้าไปอีกนิดหน่อย “ข้าบอกตรงๆเลยนะ ไอ้หุ่นเชิดโลหิตของน้องชายแกมันกระจอกงอกง่อยจริงๆ รู้สึกว่าไอ้ตัวนั้นมันจะไม่มีกระดูกด้วยนี่ แต่ข้าก็บอกได้ว่าเมื่อนำเอาตัวนั้นมาเทียบกับงูน้อยของเจ้าแล้ว งูน้อยของเจ้ามันยังดูดีกว่ามากนัก”
ถึงแม้หลี่ฉิงจะรู้สึกสงสัยในคำพูดของเฉินเฉียงอยู่บ้าง แต่ในตอนนี้เมื่อเขาได้ยินเฉินเฉียงพูดถึงลักษณะของหุ่นเชิดโลหิตของน้องชายตนจากปากของเฉินเฉียงแล้ว ในตอนนี้ เขาไม่ได้มีความรู้สึกสงสัยใดอีก
สิ่งที่เขาสงสัยนั่นก็คือหากหลี่เฟิงปลดปล่อยหุ่นเชิดโลหิตของตนออกมาจริง เฉินเฉียงก็ไม่ควรจะรอดมาได้จนถึงตอนนี้
นอกเสียจากว่าเฉินเฉียงจะเป็นผู้สังหารน้องชายของเขาอย่างที่พูดออกมาจริงๆ
“เยี่ยม เฉินเฉียง ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าฆาตกรที่ข้ากำลังตามหาอยู่จะเป็นแก”
“ข้า หลี่ฉิง ขอสาบานว่าจะล้างแค้นให้น้องชายข้า”
“ในวันนี้แกต้องตายอย่างไร้ที่ฝัง”
เมื่อพูดจบ ท่าทางของหลี่เฉิงในตอนนี้ก็เปลี่ยนไปราวกับจะบ้าคลั่งพลางวางมือไปที่หน้าอกของตน ส่งให้งูพิษปีศาจพุ่งตรงไปยังเฉินเฉียงด้วยความเร็วประดุจประกายแสง
ในมุมมองของทุกคนนั้น งูพิษปีศาจของหลี่ฉิงนั้นมีความรวดเร็วเทียบเท่าประกายแสง แต่สำหรับเฉินเฉียงแล้ว อย่างมากมันก็เป็นเพียงมดดำที่คลานได้ไวขึ้นมาหน่อย
ด้วยความเร็วของเขาที่สามารถทะลุทะลวงกำแพงเขตแดนนี้ออกไปได้โดยไม่มีใครรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับความเร็วของสัตว์ปีศาจระดับหนึ่ง
นี่จึงทำให้เมื่องูพิษปีศาจพุ่งตรงมา เขาทำเพียงยืนอุ้มเมิ่งน้อยอยู่เฉยๆ
ด้วยการที่เขานั้นดูดซับยาสลายเลือดไปแล้ว ทำให้ตัวเขานั้นไม่ได้รับผลจากบอลเลือดปีศาจอีกแต่อย่างใด แถมเขาเองยังยกระดับขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาได้แล้ว จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เห็นหุ่นเชิดโลหิตตนนี้อยู่ในสายตา
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่งูพิษปีศาจตนนี้มีรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาด ไหนจะไอ้หัวทรงสามเหลี่ยมที่หมุนวนได้นั่นอีก จึงเป็นธรรมดาที่เมื่อได้พบเห็นผู้คนก็ย่อมต้องหวาดหวั่น
ดังคำกล่าวที่ว่ากบจะไม่ขู่ แต่มันกัดไปเลย
นี่จึงทำให้เฉินเฉียงไม่คิดจะปล่อยให้งูพิษปีศาจตนนี้เข้าใกล้เขาแต่อย่างใด
แต่เพื่อไม่ให้ผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุนเพ่งเล็งในตัวเขามากมาย เขาจึงเลือกที่จะไม่ใช้ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้
และนี่ทำให้ในชั่วพริบตา มีเปลวไฟกองหนึ่งล้อมรอบตัวเฉินเฉียงไว้
นี่จึงทำให้ตอนที่งูพิษปีศาจตนนี้ แม้จะอยู่ห่างจากเฉินเฉียงเพียงแค่ครึ่งเมตร แต่มันก็ต้องหยุดตนเองเอาไว้ด้วยชั้นกำแพงไฟที่อยู่รอบตัวเฉินเฉียงจนต้องรีบถอยหนีกลับไป
“เมิ่งน้อย เจ้าไปยืดเส้นยืดสายหน่อยแล้วกัน ไปปล่อยไฟเล่นกับไอ้ตัวประหลาดนั่นสักหน่อยก็น่าจะดี”
ทันทีที่เฉินเฉียงตบปลายนิ้วของตนลงบนหัวของเมิ่งน้อยเบาๆ เมิ่งน้อยก็ได้แสดงท่าทีตื่นเต้นยินดีออกมา ก่อนที่จะพ่นไฟออกไปยังงูพิษปีศาจที่กำลังพุ่งตรงกลับไปหาหลี่ฉิง จนกองไฟได้ล้อมรอบงูพิษปีศาจตนนี้เอาไว้ในทุกทิศทาง ไม่อาจพุ่งออกไปจากกองไฟได้แม้แต่น้อย
เมื่อเห็นแบบนี้ หลี่ฉิงเองก็ไม่อาจจะเรียกงูพิษปีศาจของเขากลับมาได้เช่นเดียวกัน
บนที่นั่งผู้ทรงเกียรติ หลิวฉิงหยุนได้แสดงท่าทีตื่นเต้นยินดีพลางเขย่าแขนของผอ.ฉีอย่างไม่หยุดหย่อน ในตอนนี้เขาไม่ได้ส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณแต่อย่างใด แต่พูดออกมาด้วยเสียงอันดังลั่นอย่างเก็บเอาไว้ไม่อยู่ “ผอ. ไม่แปลกใจเลยจริงๆว่าทำไมเฉินเฉียงถึงเลือกเข้าแผนกปรุงยา มันเป็นเพราะทักษะการควบคุมไฟของเด็กนี่ช่างแข็งแกร่งนัก”
“แถมเขายังเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งไฟที่ไม่หวาดกลัวหุ่นเชิดโลหิตอีก”
“ไม่แปลกใจเลยจริงๆที่ทำไมไอ้เด็กนี่ถึงได้มั่นใจนัก ฮ่าฮ่าฮ่า”
ในตอนนี้ แม้แต่ผอ.ฉีเองก็ไม่สนใจไยดีว่าไอ้คนที่อยู่ข้างๆเขานี้จะโกรธเคืองอีกแต่อย่างใด เขาได้หัวเราะลั่นแล้วพูดออกมา “ไม่คิดเลยจริงๆว่าเรื่องจะออกมาเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเฉินเฉียงจะผ่านไปได้อย่างสบายๆเลยนะนั่น”
อีกฟากฝั่งโต๊ะขั้นกลางนั้น เจิ้งฮูเชิงเองที่เห็นไฟของเฉินเฉียงนั้นก็รับรู้ได้ในทันทีว่าหลี่ฉิงนั้นต้องพ่ายแพ้ในการต่อสู้นี้
ไม่สิต้องเป็นตกตายในการต่อสู้นี้
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ของหลี่ฉิงอย่างเฉิงยี่หาได้สงบจิตใจลงได้ไม่
“ไอ้เฒ่าฉิน เปิดกำแพงเขตแดนเดี๋ยวนี้ พวกข้ายอมแพ้แล้ว”
ในตอนนี้เฉิงยี่ไม่ได้ยึดถือใบหน้าอันโอ่อ่าของตนอีกต่อไป
เขานั้นยอมรับความพ่ายแพ้ได้ หากว่ามันจะช่วยให้ศิษย์รักของเขา หลี่ฉิง รอดพ้นความตายกลับออกมาได้ ต่อให้ต้องเสียหน้าจนหดเล็กรีบหรือต้องไถหน้าไปกับพื้นแล้วให้คนเหยียบย่ำก็ยินดีหากมันช่วยได้
สัตว์ปีศาจในโลกปีศาจนี้ มีสิ่งที่พวกมันเกรงกลัวอย่างที่สุดนั่นก็คือไฟและสายฟ้า
และเขาก็ไม่คิดมาก่อนว่าเฉินเฉียงจะเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งไฟที่หาได้อย่างยากยิ่ง
หากเขารู้แบบนี้ เข้าจะไม่ยุยงส่งเสริมหลี่ฉิงเลยแม้แต่น้อย เขาจะกักขังหลี่ฉิงเสียด้วยซ้ำหากเขาเอ่ยปากเรื่องท้าประลองออกมา