ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 396 การประลองวิชายุทธ
บทที่ 396 การประลองวิชายุทธ
ผู้คนยอมตายเพื่อเงินทอง นกยอมตายเพื่ออาหาร
และหินวิญญาณสองก้อนนี้ ราคาของมันย่อมไม่ใช่เล็กน้อยแต่อย่างใด
ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะรับรู้ว่าทำไมเฉิงยี่จึงคิดที่จะปาแก่นวิญญาณมาใส่เขา แต่เมิ่งน้อยนั้นหาได้แยแสไม่ นี่แสดงให้เห็นว่าแม้แต่เขาเองก็ยังดูแคลนในความสามารถของเมิ่งน้อยมากเกินไป
แน่นอนว่าผู้ที่จะติดตามผู้สูงล้ำได้ย่อมหาได้ธรรมดาไม่
การที่มันนั้นกินแต่แก่นวิญญาณ แม้แต่เหรียญคริสตัลม่วงมันก็ยังไม่ยากจะแยแส จึงเป็นธรรมดาที่มันจะเติบโตได้ผิดแผกกว่าเผ่าพันธุ์ของมันมากนัก
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คืออย่าว่าแต่คนอื่นๆเลย เฉินเฉียงก็ยังไม่รู้ว่าเมิ่งน้อยในตอนนี้เติบโตไปถึงระดับขั้นใดแล้ว
แต่ที่แน่ๆ เขารู้ว่าเมิ่งน้อยยังไม่ได้อยู่ในระดับราชา
นั่นก็เพราะเมื่อเมิ่งน้อยอยู่ในระดับราชา มันสมควรจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นคนได้แล้ว
ตามที่เฉินเฉียงได้รับรู้มานั้น เมิ่งน้อยสมควรจะอยู่ในระดับนายพลระดับขั้นต้นไม่ก็ขั้นกลาง
แต่เขาก็ไม่คิดว่าในตอนนี้ ด้วยความเร็วและเรี่ยวแรงทักษะต่างๆที่สูงล้ำของเมิ่งน้อย มันบ่งบอกได้ว่าอย่างน้อยๆเมิ่งน้อยก็อยู่ในระดับขั้นสูงไปแล้ว
แม้เฉินเฉียงจะหลบออกมาได้อย่างไร้ร่องรอย แต่เมิ่งน้อยกลับพุ่งตรงเข้าหาแก่นวิญญาณทั้งสองในทันที
“ฝุ่บ ฝุ่บ”
เมื่อเฉินเฉียงมองตามไป เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
นั่นก็เพราะตอนที่ร่างกายของเมิ่งน้อยได้แตะลงบนพื้น แก่นวิญญาณทั้งสองก้อนก็ตกอยู่ในปากของมันไปแล้ว พร้อมกับมือน้อยๆที่กอดอีกก้อนเอาไว้ด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย มันได้เหลือมองไปที่เฉิงยี่ผู้ซึ่งกำลังนิ่งอึ้งไปราวกับกำลังถามออกมาผ่านดวงตา
มีอีกไหมอ่ะ
เค้ารออยู่นะ
แต่เมื่อเมิ่งน้อยเห็นเฉิงยี่ไม่ไหวติง มันก็แสดงท่าทางออกมาอย่างผิดหวังก่อนที่จะกระโดดกลับไปหาเฉินเฉียงโดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยปากเรียก พร้อมกับเสียงกรุบกรุบที่ดังออกมาจากปากของมัน
ดวงตาน้อยๆของมันแสดงออกมาอย่างมีความสุขเพียงเท่านั้น
แก่นวิญญาณนี่ช่างหอมหวานเป็นยิ่งนัก
“สัตว์วิญญาณสายอัคคี….ยังเอาไปเคี้ยวกินเล่นเลยเรอะ”
เฉิงยี่นั้นแต่เดิมก็คิดที่จะเอาคืนเฉินเฉียงไปเล็กน้อยเพียงเท่านั้น เขาไม่คิดว่าสัตว์วิญญาณของเฉินเฉียงนี้จะทำให้เขาต้องรู้สึกอับอายได้อีกรอบ ไม่เพียงมันจะเป็นสัตว์วิญญาณสายอัคคี แต่มันยังเอาอาวุธที่ใช้กลั่นแกล้งเอาคืนของเขาไปเคี้ยวกินเล่นเสียอย่างนั้น
และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ แรงของเขาที่ใช้ตอนที่ปาแก่นวิญญาณนี้ออกไปนั้น แม้แต่นักรบขั้นกลางก็ยังต้องได้รับบาดเจ็บหนัก
แต่สัตว์วิญญาณของเฉินเฉียงนั้นกลับรับมันได้อย่างสบายๆ
เท่าที่ดู สัตว์วิญญาณตัวนี้อย่างน้อยๆก็อยู่ในระดับสองขั้นกลาง
เฉินเฉียงไม่ได้แยแสต่อเฉิงยี่ที่ทำท่าครุ่นคิด เขาใช้มือขยี้หัวเมิ่งน้อยที่กำลังเคี้ยวอย่างตะกละตะกลามด้วยรอยยิ้มแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสเฉิง ข้าต้องขอบคุณท่านเกี่ยวกับแก่นวิญญาณสองก้อนนี้ด้วย”
เมื่อกล่าวจบ เฉินเฉียงก็ได้เดินกลับขึ้นไปบนเวทีประลองอีกครั้ง
นั่นก็เพราะเขายังต้องลงแข่งในนามของศิษย์แผนกวิชายุทธของสำนักเต๋าใต้บาดาลอยู่อีก
ถึงแม้สำนักเต๋าดาวตกจะมีศิษย์ในแผนกนี้ที่มีความสามารถไม่ได้เทียบเท่ากับศิษย์ของสำนักเต๋าใต้บาดาลได้เลยแม้แต่น้อย แต่ในโลกของสำนักเต๋านั้น ต่างก็เชิดชูถือหางเส้นทางวิชาของตนโดยเฉพาะกับวิชายุทธ ต่อให้รู้ว่าต้องพ่ายแพ้ แต่ก็ยังยินดีพร้อมใจที่จะส่งคนลงไปแข่งขันในทุกคู่ประลองที่ได้รับการท้าทายมา
นั่นก็เพราะหาไม่แล้ว สำนักเต๋าดาวตกจะไม่มีที่ยืนอยู่อีกต่อไป
แถมในตรั้งนี้ สำนักเต๋าใต้บาดาลแม้จะมีชื่อเสียงในแผนกนี้ที่สูงล้ำกว่า แต่ก็ยังส่งคงลงแข่งขันประชันเพียงห้าคนเท่านั้น นี่เรียกได้ว่าไว้หน้าสำนักเต๋าดาวตกอย่างมาก ถึงแม้ว่าหลังการต่อสู้แล้วผลจะออกมาเป็นว่าพวกเขาพ่ายแพ้จนหมดสิ้นก็ตาม
ไม่นาน ศิษย์แผนกวิชายุทธของสำนักเต๋าใต้บาดาลอีกสี่คนก็ได้เดินขึ้นมาบนสนามประลอง
หลังจากรอต่อไปสักพัก ศิษย์สี่คนจากสำนักเต๋าดาวตก ก็ได้เดินไปประกบคู่ของตนกับอีกสี่คนนั้น
แต่หาได้มีคนเดินมาจับคู่กับเฉินเฉียงไม่
นี่มันเรื่องอะไรกัน
หลังจากผ่านไปสักพัก เฉินเฉียงก็เหลือบมองไปยังผอ.ของสำนักเต๋าดาวตก
หากว่าสำนักเต๋าดาวตกไม่ส่งคนมาร่วมประลองกับเขา แล้วเขาจะแสดงความสามารถของตนออกไปให้สมกับตำแหน่งคัดเลือกที่ผอ.ฉีตกปากรับคำเขาไว้ได้ยังไง
แต่เพียงไม่นาย เฉินเฉียงก็ได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกัน
ผู้คนจำนวนหนึ่งของแผนกวิชายุทธของสำนักเต๋าดาวตกได้ชี้มาที่เฉินเฉียง ก่อนจะพูดคุยกันเบาๆ
“ไอ้ฉิบหาย สัตว์วิญญาณที่อยู่ตรงแขนไอ้เด็กนั่นอย่างน้อยๆก็อยู่ระดับสองเลยนะวุ้ย ขึ้นไปก็มีแต่ตายเปล่าเท่านั้น”
“ยังไม่ต้องพูดถึงไอ้เด็กนั่นเลย แค่เจอสัตว์วิญญาณของมันพวกเราก็จบเห่แล้ว”
“ขนาดหลี่ฉิงยังตกตายโดยไฟของสัตว์นั่นไม่ใช่รึไง หากใครต้องการจะประลองกับเฉินเฉียง อย่างน้อยๆก็ควรจะอยู่ในระดับนายพลขั้นกลางเลยนะนั่น”
“อีกอย่าง ว่ากันตรงๆนะ อย่าว่าแต่สัตว์วิญญาณของไอ้เด็กนั่นเลย แม้แต่ไอ้เด็กนั่นเองมีระดับการบ่มเพาะขั้นไหนก็ยังไม่รู้ ขึ้นไปก็มีแต่รนหาที่ตายชัดๆ”
บนที่นั่งผู้ทรงเกียรติ เจิ้งฮูเชิงได้ขมวดคิ้วแน่น พร้อมกับแสดงออกมาด้วยท่าทางที่ไม่อยากจะพูดมาก
“พี่ฉี ถึงแม้ในการประลองระหว่างสองสำนัก จะไม่เคยมีกฎว่าไม่ให้มีการนำสัตว์วิญญาณมาใช้ในการต่อสู้ ไม่สิ ถึงแม้จะมีการใช้อยู่บ้างในการประลองก็ตาม”
“แต่หากเฉินเฉียงคิดจะนำสัตว์วิญญาณตนนี้เข้ามาร่วมในการประลอง สำนักของข้าข้อยอมแพ้ในคู่ของเขา”
ผอ.ฉีเองเมื่อได้ยินก็ทำได้เพียงจ้องมองไปยังฉินหมิงอย่างมีความหมาย
ฉินหมิงเองก็พยักหน้ารับเมื่อเห็น แล้วหันไปพูดกับเฉินเฉียง “เฉินเฉียง หากเจ้าต้องการจะลงแข่งในนามของศิษย์แผนกวิชายุทธ ข้าว่ามันจะทำให้เจ้านั้นไม่อาจแสดงศักยภาพออกมาได้หรอกนา”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็พยักหน้ารับและกระซิบไปที่ข้างหูของเมิ่งน้อย มันพยักหน้ารับแล้ววิ่งกลับไปหาหยานเสวี่ยในทันที
เมื่อเห็นฉากนี้ คนที่มีร่างกายใหญ่โตและแข็งแกร่งราวกับกำแพงเหล็กกล้าได้ยืนขึ้นมา ก่อนที่เดินออกจากที่นั่งของศิษย์ภายในสำนักดาวตก
“ข้าชื่อฝางต้าไจ๋ ขอเล่นกับเจ้าในรอบแรก”
หลังจากศัตรูของเฉินเฉียงได้ปรากฏ เฉินเฉียงและฝางต้าไจ๋ที่เป็นคู่แรกต่างก็เดินขึ้นลานประลองไป
“ฝางต้าไจ๋เป็นนายพลขั้นต้นช่วงปลาย แม้จะไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดที่ได้ลงประลอง แต่ผอ.ของเราก็วางเขาไว้เป็นตัวเต็งในการเข้าไปในสำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่จะคัดเลือกกันในอีกครึ่งปีข้างหน้า”
“ใช่ ศิษย์พี่ฝางเป็นถึงตัวเต็งของแผนกเราเลยนะ หากทางผู้คัดเลือกของสำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นความสามารถของเขาล่ะก็ พวกเขาจะต้องเลือกเขาไปเป็นแน่”
“มันก็ยังไม่แน่นา เจ้าก็เห็นการต่อสู้ระหว่างเฉินเฉียงและหลี่ฉิงไม่ใช่เหรอ เฉินเฉียงนั้นเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางอัคคี เขาย่อมเป็นผู้ที่ทรงพลังตั้งแต่กำเนิด”
“ถึงแม้ว่าฝางต้าไจ๋จะมีระดับการบ่มเพาะไม่ได้อ่อนด้อย แต่เมื่อพบเจอผู้บ่มเพาะบนเส้นทางที่พิเศษเช่นนี้ การชนะย่อมไม่อาจทำได้โดยง่าย”
ท่ามกลางศิษย์สำนักเต๋าดาวตกนี้ มีเพียงฝางต้าไจ๋เท่านั้นที่ใช้ค้อนเหล็กเป็นอาวุธ
เจิ้งฮูเชิงได้ส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณไปหาฝางต้าไจ๋
ถึงแม้ในสำนักเต๋าดาวตกในตอนนี้จะมีเพียงฝางต้าไจ๋เท่านั้นที่พอจะกำราบเฉินเฉียงได้
และนอกจากฝางต้าไจ๋จะมีระดับการบ่มเพาะที่ไม่ได้อ่อนด้อย เขายังเป็นผู้ที่มีร่างกายพิสุจน์(ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางวารี) ต่อให้เฉินเฉียงเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งไฟและมีความสามารถด้านพลังจิตอยู่บ้าง แต่นั่นก็คงจะพอทำให้ฝางต้าไจ๋ทัดทานเฉินเฉียงไว้ได้เช่นเดียวกัน
เฉินเฉียงนั้นไม่ได้มองศัตรูของตนด้วยซ้ำ เขาเพียงเดินขึ้นลานประลองไป
กับอีแค่ระดับนักรบแล้วยังไงกัน แม้แต่ระดับราชายังทำอะไรเขาไม่ได้แม้แต่ปลายก้อย
บนลานประลอง ค้อนอันใหญ่โตของฝางต้าไจ๋เป็นสิ่งแรกที่เตะตา แต่เมื่อเห็นว่าตนเองนั้นหาได้ทำให้เฉินเฉียงแยแสได้ นี่ทำให้เขาเร่งเหวี่ยงค้อนของตนอย่างเดือดดาล
“เฉินเฉียง แกพ่นไฟได้ไม่ใช่รึไงกัน เข้ามา ข้าไม่กลัวไฟของแกหรอกเว้ย” ฟางต้าไจ๋คำรามลั่นสนาม
เฉินเฉียงเป่าปากของตนไปทีหนึ่ง ก่อนที่จะพูดออกมา “ไอ้คนที่พ่นไฟได้นั่นมันเมิ่งน้อยวุ้ย ไม่ใช่ข้า เข้าไจ๋”
ฟางต้าไจ๋ที่ดูเดือดดาลอย่างเกินงามนั้น เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงยังไม่คิดจะลงมือ เขาเลยเลือกที่จะลงมือก่อนเป็นคนแรก
ในตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสของสองสำนักต่างก็รู้สึกตื่นเต้นเมื่อเห็นสถานการณ์ภายในลานประลองในตอนนี้
ถึงแม้เจิ้งฮูเชิงและเฉิงยี่จะเป็นคนของสำนักดาวตก และได้เห็นการประลองของเฉินเฉียงและหลี่ฉิงไปแล้วก็ตาม แต่ทั้งสองนั้นก็ยังไม่รู้ว่าเฉินเฉียงเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางไหนกันแน่
ประเด็นก็คือในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ หลังจากที่เมิ่งน้อยได้ลงมือ เฉินเฉียงเพียงแค่บังคับไฟไว้ล้อมรอบร่างกายเพียงเท่านั้น นอกจากนี้เขาไม่เห็นสิ่งใดอีก
แม้แต่ผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุนเองก็ยังจับจ้องไปที่เฉินเฉียง
เพื่อให้เฉินเฉียงยอมลงประลองในครั้งนี้ เขาต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูงล้ำไปเลยทีเดียว
พวกเขาถึงกับต้องยอมแลกสิทธิ์การรับเข้าของสำนักเต๋าภาคกลางโดยตรงให้กับเฉินเฉียง จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาต่างก็ต้องสนใจในการต่อสู้นี้
อย่างไรก็ตาม หลังจากจับจ้องอยู่พักหนึ่ง ผอ.ฉีและหลิวฉิงหยินก็แสดงออกมาด้วยใบหน้าที่โง่งม
ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง คู่ประลองที่กำลังถูกจับจ้องอย่างหนักหน่วงกลับไม่ขยับเขยื้อนกันเลยแม้แต่น้อย
นี่พวกเขารอทำซากอะไรกัน