ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 397 สงสัย
บทที่ 397 สงสัย
ไม่มีใครคิดว่าในการประลองรอบแรกของแผนกวิชายุทธนี้ จะเกิดฉากที่ไม่น่าอภิรมย์นี้ขึ้นมา
ในทันทีที่ทั้งสองคนได้ขึ้นสนามประลองไป ทุกคนต่างก็เห็นเพียงฝางต้าไจ๋ที่พุ่งเข้าไปหาเฉินเฉียง แต่เขาก็หยุดตนเองไปกลางคัน
แถมหลังจากนั้นก็ยังมีเรื่องที่ทำให้ทุกคนต่างก็ต้องงุนงงกันยกใหญ่
มันเป็นภาพของชายที่ร่างกายสูงใหญ่ราวกับกำแพงเหล็ก ที่ทรุดเข่าลงไปต่อหน้าต่อตาทุกคน
มันเป็นภาพที่ราวกับเด็กน้อยที่ขอซูฮกให้ผู้ล้ำเลิศจนร้องขอความเป็นศิษย์จากคนคนนั้น และต้องการที่จะคุกเข่าจนกว่าจะยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์
หลังจากนั้นก็บังเกิดฉากเหตุการณ์ที่ทำให้เจิ้งฮูเชิงถึงกับต้องกระอักเลือดออกมา
มันเป็นภาพของเฉินเฉียงผู้อยู่ด้านในเขตแดนประลองได้หันไปหาฉินหมิงที่เป็นผู้คุมการประลอง ก่อนที่จะยกไหล่ทั้งสองขึ้น และผายมือทั้งสองข้างไปยังฝางต้าไจ๋ พร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
มันการแสดงออกด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่า มันก็แค่นี้แล
ฉินหมิงเองที่เห็นก็ยังไม่คิดทำสิ่งใด เขาหันไปมองเจิ้งฮูเชิง ผอ.ฉี และผู้อาวุโสคนอื่น
เจิ้งฮูเชิงที่ใบหน้ายับย่นราวก้นหมาที่ถูกทุบตีซ้ำไปซ้ำมาได้รีบยืนขึ้นมาและพูดออกไปด้วยเสียงอันดังลั่น “พวกเราไม่ได้มาเล่นแสดงกลโชว์ความสามารถกันนะเว้ย”
“….เอ่ออออ เจ้าเด็กฝางต้าไจ๋นั้นเป็นอะไรรึเปล่าถึงได้ลงไปกองอย่างนั้นน่ะ”
ถึงแม้ผอ.ฉีจะไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่เขาก็ทำได้เพียงสั่งให้เปิดกำแพงลานประลองออกได้เพียงเท่านั้นถึงจะรู้เรื่องรู้ราว
ฉินหมิงเองเมื่อได้เปิดกำแพงล้อมลานประลองเอาไว้ออก เขาก็ได้ถามออกไป “เฉินเฉียง เจ้าสองคนทำอะไรกัน นี่เจ้าคิดจะประลองกันอยู่รึเปล่าเนี่ย”
เฉินเฉียงเป่าปากไปอีกหนึ่งทีแล้วพูดออกมา “ผู้อาวุโสฉิน ท่านควรจะถามเขานะนั่น ไม่ใช่ข้า”
ในทันทีที่เห็นว่ากำแพงล้อมลานประลองเปิดออก แรงกดดันที่หนักอึ้งที่กดลงบนไหล่ของเขาก่อนหน้านี้ก็ได้หายไป นี่ทำให้เขาสามารถหายใจได้ เขาหายใจอย่างหนักหน่วงแล้วรีบพูดออกมาอย่างกระวีกระวาด
“ไม่เอาแล้ว ข้ายอมแพ้ ข้าขอยอมแพ้”
เพียงฝางต้าไจ๋ได้พูดออกมา ผู้คนที่กำลังรับชมต่างก็โหวกเหวกโวยวายในทันที
สิ่งที่เกิดขึ้นในลานประลองเมื่อครู่
หาได้มีคนรับรู้ไม่
อย่างไรก็ตาม ผลการต่อสู้นั้นได้สรุปออกมาแล้ว
ฝางต้าไจ๋ได้คุกเข่าคำนับยอมรับความพ่ายแพ้ เฉินเฉียงชนะได้โดยไม่ต้องออกแรงแม้แต่น้อย
บนที่นั่งผู้ทรงเกียรติ เจิ้งฮูเชิงตัวสั่นราวกับเจ้าเข้าด้วยความโกรธา เขาชี้ไปที่ฝางต้าไจ๋แล้วคำรามลั่น “ไอ้ตัวไร้ประโยชน์ คนเช่นเจ้าเนี่ยนะคิดจะเหยียบย่างเข้าสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า ไหนล่ะผลงาน ไหนล่ะคุณสมบัติที่คู่ควร ถ้าทำตัวแบบนี้แล้วหวังจะให้ข้าส่งชื่อเจ้าไปรึ ฝันไปเหอะเอ็ง”
ฝางต้าไจ๋ในตอนนี้ได้ส่ายมือไปมาแล้วพูดออกไป “ตำแหน่งตัวแทนอะไรนั่นข้าไม่เอาแล้ว ข้าไม่อยากยุ่งกับมันแล้ว ข้ายอมแพ้แล้ว”
แม้จะโดนดุด่าไปชุดใหญ่ ฝางต้าไจ๋ก็ยังบอกยอมรับความพ่ายแพ้อย่างไม่หยุดพัก นี่ทำให้เจิ้งฮูเชิงนั้นไม่อาจทนรับได้อีกและสั่งใครบางคนให้ลากฝางต้าไจ๋ลงจากสนามไป
ส่วนเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในนั้น เขาคงจะรับรู้ได้หลังจากที่ฝางต้าไจ๋มีจิตใจที่สงบลงกว่านี้
หลิวฉิงหยุนเองในตอนนี้ก็ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จะมองไปที่ผอ.ฉีปราดหนึ่งแล้วส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณไปหาเฉินเฉียง “เฉินเฉียงเอ้ย มาหาข้าหน่อย”
ในเมื่อการประลองของเฉินเฉียงเสร็จสิ้น เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อแล้วเหมือนกัน นี่จึงทำให้เขาหันไปยิ้มกับหยานเสวี่ยปราดหนึ่งก่อนจะจากไปพร้อมหลิวฉิงหยุน
เมื่อเฉินเฉียงจากไปแล้ว หยานเสวี่ยก็ไม่มีเหตุผลให้อยู่ต่อ เธอจึงออกจากข้างสนามประลองแล้วตรงกลับที่พักไป
หลังจากที่ที่พักของหลิวฉิงหยุนกระเจิดกระเจิงไปเพราะผู้อาวุโสแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนี้ ที่พักของเขาก็ได้ถูกต้องขึ้นใหม่ตรงจุดเดิมที่เคยมีอยู่
ภายในห้องของหลิวฉิงหยุน เฉินเฉียงและเขาได้นั่งลงและหันหน้าชนกัน
“เฉินเฉียง เกิดอะไรขึ้นกับฝางต้าไจ๋กัน”
“ทำไมไอ้เด็กนั่นถึงได้ขอยอมแพ้ต่อเจ้าไป”
เฉินเฉียงส่ายหัวไปมาราวกับผู้บริสุทธิ์แล้วตอบออกมาอย่างใสสื่อ “ข้าก็ไม่รู้ เขาอาจจะตื่นกลัวเกินไปตอนที่เห็นข้าสู้กับหลี่ฉิงเสียกระมัง จึงได้กลัวว่าข้าจะลงมือ”
“ไม่เอาน่า”
หลิวฉิงหยุนย่อมไม่เชื่อในคำอธิบายนี้ของเฉินเฉียง
“เฉินเฉียง บอกข้ามาดีกว่า เจ้านั้นใช้การโจมตีทางจิตวิญญาณใดไปกัน”
หลิวฉิงหยุนถามออกมาตรงๆ
เฉินเฉียงหัวเราะขึ้นมาเมื่อได้ยิน
“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านผู้อาวุโสสูงสุด นั่นจะเป็นการโจมตีทางจิตวิญญาณไปได้ยังไง ข้าเองแค่ยืนเฉยๆนิ่งๆเพียงเท่านั้น ใครจะไปคิดว่าไอ้เด็กนั่นจะพุ่งตัวเข้ามาแล้วคุกเข่าให้ข้าแทน”
คำถามของหลิวฉิงหยุนนี้ทำให้เขารับรู้ได้ในทันทีว่าหลิวฉิงหยุนนั้นกำลังสงสัยเขา ไม่สิ อาจจะตัดสินใจไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขานั้นเป็นคงลงมือทำให้หลิงฉางเชิงกลายเป็นคนโง่งมไป
อย่างไรก็ตาม ด้วยช่วงเวลาแบบนี้ เขาย่อมไม่ยอมรับในเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเขาจะสามารถเข้าไปยังภาคกลางได้ยังไง
หลิวฉิงหยุนยังคงไม่ยอมแพ้ เขายืนขึ้นแล้วพูดออกมา “มันไม่ใช่เรื่องที่เพียงเจ้าไม่ยอมรับมันก็จะจบลงหรอกนะ เอาอย่างนี้ เจ้าลองใช้วิธีการที่เจ้าเล่นงานไอ้ขุนค้อนนั่นกับข้าดู ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าสามารถทำให้ข้าคุกเข่าลงได้รึเปล่า”
ช่างน่าตลกขบขันนัก
หากเป็นอื่น ด้วยพลังจิตระดับปกติแล้วนั้น อย่าหวังจะได้ทำอะไรหลิวฉิงหยุนได้เลย
อย่างไรก็ตาม กับเฉินเฉียงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เขาสามารถสะกดข่มให้หลิวฉิงหยุนให้ลงไปกองกับพื้นได้ในทันทีเลยด้วยซ้ำ
แต่ก็แน่นอนว่าเฉินเฉียงย่อมไม่ทำแบบนี้
และเพื่อให้หลุดพ้นจากข้อสงสัย เฉินเฉียงจึงได้ยืนขึ้นมา
ในตอนที่หลิวฉิงหยุนเดินเข้ามาใกล้เขา เฉินเฉียงก็ได้ปลดปล่อยขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ออกไป
ด้วยระบบบ่มเพาะบนโลกนี้ที่อ่อนด้อย แน่นอนว่าต่อให้ระดับของเฉินเฉียงจะเป็นนักรบขั้นต้นอยู่จริงๆ มันก็เพียงพอที่เขาจะกดดันทำให้ฟางต้าไจ๋ทำตัวราวกับคนโง่งมต่อหน้าทุกคนได้
และด้วยการที่ในตอนนี้เขากำลังทำตัวเป็นผู้ที่อยู่ระดับนายพลขั้นต้น เฉินเฉียงจึงไม่คิดจะต่อสู้กับคู่ต่อสู้โดยตรง เขาจึงใช้วิธีนี้ในการตัดความสงสัย และด้วยขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้นี้ เขาจะชนะได้โดยที่เขาไม่ต้องขยับเขยื้อนตัวด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม เขาเองก็ไม่คิดว่ามันจะทำให้หลิวฉิงหยุนกลับสงสัยเขาขึ้นมา
เมื่อเป็นแบบนี้ เขาจึงทำได้เพียงคำนวณพลังจิตที่ใช้ออกไปดีๆ และให้มันหยุดเพียงระดับที่พอๆกับนายพลขั้นต้นทั่วไป
ระดับขั้นต่ำที่พอจะฝึกฝนขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ได้
อย่างไรก็ตาม ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ที่เขาใช้นั้นเป็นเพียงระดับเรียนรู้เพียงเท่านั้น
ถึงแม้จะเป็นวิธีการโจมตีทางจิตอย่างหนึ่ง แต่มันก็ไม่ใช่การโจมตีทางจิตวิญญาณแต่อย่างใด
และในตอนนี้ หลิวฉิงหยุนผู้ซึ่งมีพลังจิตที่สูงล้ำ ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเฉินเฉียง
ในโลกปีศาจนี้เองก็มีผู้บ่มเพาะบนเส้นทางพลังจิตเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม บนโลกใบนี้ ผู้คนไปได้ยังไม่ถึงระดับขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการที่จะรู้จักขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้กัน
และนี่ทำให้ต่อให้เฉินเฉียงจะปลดปล่อยขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ออกมาเพียงขั้นต้น หลิวฉิงหยุนกับยังรับรู้ได้ถึงภัยคุกคามที่บังเกิดขึ้นมาจากขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่เฉินเฉียงต้องกระตุ้นใช้ร่วมกัน และนี่ทำให้หลิวฉิงหยุนต้องตื่นตะลึงในทันที
ในการปลดปล่อยขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ขั้นเริ่มต้น เฉินเฉียงใช้พลังจิตไปเพียงยังไม่ถึงสิบหน่วยดีเห็นจะได้ แต่นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้หลิวฉิงหยุนรับรู้ได้ถึงความทรงพลังของพลังจิตของเฉินเฉียง ส่วนหนึ่งเองก็เป็นเพราะเขานั้นเห็นเฉินเฉียงเป็นเพียงระดับนายพล เขาจึงไม่ได้ใช้พลังจิตของตนออกมาป้องกัน
และถึงแม้จะมีพลังจิตที่แข็งแกร่ง ต่อให้เขาจะรู้การโจมตีพลังจิตอยู่บ้าง แต่ในระดับที่เฉินเฉียงแสดงให้หลิวฉิงหยุนได้เห็นอยู่นี้ ย่อมไม่เพียงพอที่จะทำให้หลิวฉางเชิงกลายเป็นตัวโง่งมได้
อย่างไรก็ตาม หลิวฉิงหยุนก็รับรู้ได้เหมือนกันว่าหากเป็นนายพลขั้นต้นธรรมดาจะไม่อาจมีพลังจิตที่ทรงพลังแบบนี้ได้
มันทรงพลังขนาดเขาที่เป็นราชาขั้นสูงต้องรู้สึกถึงภัยคุกคาม
เป็นไปได้ว่าเฉินเฉียงได้ปลดปล่อยพลังจิตที่ทรงพลังออกมาขนาดนี้ จึงทำให้ขุนค้อนแห่งสำนักเต๋าดาวตกถึงกับต้องคุกเข่ายอมแพ้ไปเลยสินะ
เมื่อคิดได้แบบนี้ จากเดิมที่หลิวฉิงหยุนรู้สึกเป็นกังวล ก็ได้แปลเปลี่ยนกลายเป็นความสุขแทน เขายกมือขึ้นห้ามปรามเฉินเฉียงแล้วพูดออกมา “เอาล่ะเอาล่ะ เฉินเฉียง เก็บพลังจิตของเจ้าไปได้แล้ว”
“ฮี่ฮี่ฮี่ ข้านั้นรู้อยู่แล้วว่าพลังจิตของเจ้านั้นไม่ธรรมดา มันค้างคาใจข้าจนต้องทำให้ในวันนี้ข้าต้องทดสอบเจ้าเป็นการส่วนตัว แล้วก็เป็นอย่างที่คิด พลังจิตของเจ้านั้นทรงพลังอย่างที่สุด”
“ภายในสำนักเต๋าของเรานั้น นอกจากข้าและผอ.แล้วก็คงจะไม่มีใครมีพลังจิตที่เหนือล้ำไปกว่าเจ้าได้”
“ดีจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้แก่ผู้นี้มองคนได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนจริงๆ”
เฉินเฉียงในตอนนี้ก็ได้นั่งลงและถามออกมาอย่างสงบ “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ที่ท่านเรียกข้ามาในวันนี้เพียงเพราะต้องการทดสอบพลังจิตของศิษย์เพียงเท่านั้นรึ”