ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 398 เรื่องราวแต่หนหลัง
บทที่ 398 เรื่องราวแต่หนหลัง
“แน่นอนว่าไม่”
หลิวฉิงหยุนในตอนนี้ได้เก็บงำรอยยิ้มของตนไปก่อนจะพูดออกมาด้วยท่าทางเคร่งขรึม “เฉินเฉียง เพราะข้อตกลงของเจ้ากับผอ. ในตอนนี้เจ้าเองก็ได้ชนะศัตรูในการประลองสองสำนักตามที่ได้ตกลงกันแล้ว”
“ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม ในเมื่อเจ้าชนะแล้วก็ถือว่าเจ้าทำตามข้อตกลงได้อย่างสมบูรณ์”
“การที่เจ้าจะเข้าไปยังสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้านั้น นี่ถือได้ว่าถูกกำหนดไว้แล้ว”
“ไอ้แก่คนนี้ก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเจ้าถึงอยากจะเข้าไปที่นั่นนักหนา แต่ศิษย์ทุกคนที่เข้าไปยังที่นั่นล้วนแล้วแต่หมายจะเข้าไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดทั้งสิ้น”
“หากข้าเข้าใจไม่ผิด เจ้าเองก็คงหมายจะเข้าไปที่นั่นใช่หรือไม่”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับอย่างไม่ปิดบัง
“เจ้าบอกได้รึเปล่าว่าเจ้านั้นต้องการเข้าไปที่นั่นทำไม” หลิวฉิงหยุนมองไปที่เฉินเฉียงแล้วถามออกมาด้วยใบหน้าที่จริงจัง
เฉินเฉียงยกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะถามออกไป “อ่า….ไม่ใช่ว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์คือผู้นำของโลกปีศาจหรอกเหรอครับ”
“ข้าเชื่อว่าผู้บ่มเพาะทั้งหมดบนโลกใบนี้เองก็ควรจะหมายที่จะเข้าที่นั่นเช่นเดียวกับข้าไม่ใช่เหรอ”
“ยังไงซะที่นั่นก็เป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่นี่นา”
“ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ เฮอะ ก็แค่กลุ่มคนบ้าล่ะวะ”
หลิวฉิงหยุน สบถออกมาอย่างไม่ยำเกรง
เฉินเฉียงเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดและท่าทางของหลิวฉิงหยุนแต่อย่างใด
เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม ชายแก่ตรงหน้าเขาก็ถูกผู้อาวุโสแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์เหยียบย่ำศักดิ์ศรีและพรากชีวิตหลานชายสุดที่รักไปในถิ่นของตนต่อหน้าต่อตาและธารกำนัล
อย่างไรก็ตาม หากว่าเขานั้นจะทำให้เขาได้รับรู้ข้อมูลบางอย่างของวิหารศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
ราวกับหลิวฉิงหยุนเข้าใจความคิดของเฉินเฉียง เขาได้ยกมือขึ้นห้ามปรามแล้วพูดออกมา “ไอ้หนู อย่าพึ่งคิดว่าเป็นเพราะข้าถูกกระทำย่ำยีจากไอ้พวกเวรตะไลนั่นแล้วทำให้ข้าพึ่งจะมาคิดเช่นเห็นชาติพวกมันเพียงแค่หลังจากนั้น”
“ข้าขอบอกความจริงกับเจ้า เมื่อสิบปีก่อน ข้าเองเคยเป็นส่วนหนึ่งของพวกมันมาแล้ว”
“ห้ะ” เฉินเฉียงตกใจจนอุทานออกมา เขาไม่เคยคิดเลยจริงๆว่าจะมีใครบางคนที่ได้เข้าไปในวิหารศักดิ์แล้วคิดจะออกมา ดูเหมือนว่าหลิวฉิงหยุนเองก็จะไม่ใช่ธรรมดาอย่างที่เขาคิดซะแล้ว
โดยไม่รอให้เฉินเฉียงต้องถามไถ่ต่อ หลิวฉิงหยุนได้เริ่มพูดต่อไป
“วิหารศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นชื่อที่ดูสูงส่ง แต่มันก็เป็นเพียงแค่เพราะชื่อของมัน”
“ย้อนกลับไป ไอ้แก่ผู้นี้ตอนยังหนุ่มแน่นเฉกเช่นเจ้า เคยคิดหาวิธีลัดทางเพื่อจะเป็นส่วนหนึ่งของพวกมัน ต่อให้ข้าต้องเหลาหัวให้แหลมเพื่อทะลวงไปถึงที่ที่พวกมันอยู่ได้ ในตอนนั้นข้าก็ยินดีที่จะทำ”
“เฉินเฉียง เจ้าเองก็คงจะรู้ว่าทางเดียวที่จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพวกมันได้ก็คือต้องผ่านสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าเท่านั้น”
“แต่เจ้าคงไม่รู้ว่ายังมีอีกสองช่องทางจากสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า ที่จะเข้าร่วมกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้”
“หนึ่งคือการถูกรับเลือกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งนี่เป็นวิธีที่คนทั่วไปนั้นรับรู้”
“แต่ก็ยังมีอีกทางหนึ่งคือตรงไปยังกำแพงแสงศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ห่างจากเมืองเฉินหลิวนี้ไปห้าพันกิโลเมตรทางทิศตะวันออกของเมืองนี้ และรับใช้พวกมันห้าปี”
กำแพงแสงศักดิ์สิทธิ์…เหรอ
เฉินเฉียงกลอกตาขึ้นมาพลางนึกเข้าใจถึงสถานที่ที่ถูกกล่าวถึงในทันที มันคงเป็นกำแพงเขตแดนที่วิหารศักดิ์สิทธิ์พยายามทะลวงข้ามไปตอนที่เขาได้เข้ามายังโลกปีศาจแห่งนี้
ในตอนนั้นเขาเองก็คิดได้ว่า เขาเคยได้ยินผู้ที่กำลังทำลายกำแพงพูดคุยกันถึงเรื่องที่ว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์จะมอบเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่สูงส่งให้พวกเขาหากทำภารกิจเสร็จสิ้น แต่เขาก็ไม่คิดว่านั่นจะเป็นผลมาจากความร่วมมือระหว่างสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าและวิหารศักดิ์สิทธิ์
หลิวฉิงหยุนในตอนนี้ย่อมไม่รู้ความคิดของเฉินเฉียง เขาคิดไปอีกทางแล้วพูดต่อ
“ย้อนกลับไป ไอ้แก่ผู้นี้ก็จบจากสำนักเต่าสวรรค์ชั้นฟ้ามาเหมือนกัน แต่ด้วยมีคุณสมบัติไม่พอจึงไม่ได้ถูกรับเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด แต่กระนั้น ข้าก็ได้ใช้วิธีการที่สองนี้ที่วิหารศักดิ์สิทธิ์มอบให้ข้ามา”
“ตราบใดที่พวกข้ายังอยู่ที่นั่นได้ห้าปี ข้าก็จะเข้าร่วมกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้”
“มันเป็นความรู้สึกยินดีที่ยากจะหาสิ่งใดเปรียบเลยในตอนนั้น ข้าและพวกอีกสี่คนได้ไปอยู่ที่นั่น”
“ห้าปี”
“ในช่วงห้าปีนั้น พวกข้าห้าคนได้โจมตีกำแพงแสงนั่นจนหมดเรี่ยวหมดแรงซ้ำไปซ้ำมาเฉกเช่นเดีวกับที่อาจารย์แห่งสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าได้บอกให้ข้าทำอย่างไม่บิดพลิ้ว ด้วยความหวังเพียงว่าพวกเรานั้นจะทะลวงกำแพงเขตแดนนั้นได้แล้วไปยังอีกโลกหนึ่ง”
“ตอนนั้นข้าได้ยินมาว่าที่โลกใบนั้นมีเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่มากมายอย่างนับไม่ถ้วน พร้อมกับพลังฟ้าดินที่เปี่ยมล้น”
“นึกไม่ถึงว่าห้าปีต่อมา นอกจากกำแพงนั้นจะไม่ปริแม้แต่รอย แต่กระนั้น ระดับการบ่มเพาะของพวกข้าก็ยกระดับขึ้นมาจากระดับนายพลกลายเป็นระดับราชา”
เมื่อเล่ามาถึงตอนนี้ หลิวฉิงหยุนก็ได้หัวเราะในความโง่งมของตนเอง โดยไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าแม้แต่เฉินเฉียงเองก็อยากจะหัวเราะตามแต่ก็กลั้นไว้อยากเต็มที่
โลกอ่ะนะคือสรวงสวรรค์
หากผู้คนบนโลกได้เหยียบย่างเข้ามาที่นี่ เขาบอกได้เลยว่าผู้คนบนโลกจะไม่คิดที่จะกลับไปอีกเลยสักคนเดียว
บางคนก็เป็นเช่นนี้ ต่างก็คิดว่าที่ด้านหลังพระจันทร์ที่กลมมนนั้นเต็มได้ด้วยป่าที่สวยงามพร้อมอากาศที่รื่นรมย์ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น ที่ที่พวกเขาอยู่นั้นคือดินแดนแสนสุขอยู่แล้ว แต่กระนั้นก็ยังขวนขวายหาดินแดนที่สุขสมบูรณ์กว่าเสียอย่างนั้น และก็หาวิธีการต่างๆไปยังดินแดนในจินตนาการไม่ว่าจะเป็นโลกในกระจก ทุ่งดอกไม้ ด้านหลังดวงจันทร์ หรือแม้แต่นรกแบบโลกของเขา
“ถึงแม้ว่าข้าจะเสียเวลาอยู่ที่นั่นถึงห้าปี”
“แต่ในที่สุด พวกของข้าทั้งห้าคนก็ถูกรับเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ใฝ่ฝันถึง”
“อย่างไรก็ตาม เพียงแค่พวกข้าได้ย่างเข้าไปเป็นครั้งแรก ข้าก็รับรู้ว่าการที่จะได้รับเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่สูงล้ำซึ่งได้มาจากผู้บ่มเพาะจากอีกโลกหนึ่งนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ให้คำมั่นกับพวกข้า”
“วิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นสถานที่ที่น่ากลัว ราวกับแม่น้ำที่บ้าคลั่งและทะเลสาบที่น้ำข้างใต้เป็นไฟเชี่ยวกราก”
ในตอนนี้ หลิวฉิงหยุนที่เล่าเรื่องออกมาก็ได้แสดงท่าทางราวกับกำลังฝันร้าย เหมือนกับเขาได้นึกถึงบางอย่างแล้วทำให้เขานั้นทั้งโศกเศร้าและโกรธเคือง
เฉินเฉียงเองก็ยังคงฟังอย่างเงียบๆและไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมื่อนี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้รู้เกี่ยวกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ เขาย่อมต้องใส่ใจฟังมากกว่าพูด
“หากพวกข้าต้องการจะได้รับเคล็ดวิชาจากผู้บ่มเพาะอีกโลกหนึ่งนั้น พวกเราต้องรับใช้องค์กรสาขาของวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อว่า กองโจรหมาป่า เป็นเวลาอีกสองปี”
“ในเมื่อพวกข้าทนมาได้ห้าปี กับอีแค่สองปีจะนานอีกสักเท่าไหร่กันล่ะ”
“เมื่อต่างก็ไม่เห็นต่าง พวกเราจึงตอบรับการเข้าร่วมกับกองโจรหมาป่า และไปที่นั่นในทันที”
“แต่เมื่อพวกข้าไปถึงที่นั่น พวกข้าบอกได้เลยว่าตลอดสองปีที่ผ่านไป สิ่งที่พวกข้าทำนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับหุ่นเชิดโลหิต”
“พวกข้าได้หาผู้คนมาเป็นทาสโลหิต ไปจับสัตว์ปีศาจที่เหมาะสมกับการนำมาทำเป็นหุ่นเชิดโลหิต เปลี่ยนพวกมันเป็นสมุนไพรหมุนเวียเลือด นำหุ่นเชิดซากศพไปยังหุบเขาฟานหยินเพื่อหาดอกไม้ร้อยสีสัน….”
หลิวฉิงหยุนแม้จะเล่าออกมาด้วยอารมณ์ที่เดือดดาล แต่น้ำตาของเขากลับไหลล้นออกมาอย่างไม่หยุด
เฉินเฉียงเองนั้นไม่คิดที่จะทำความเข้าใจความรู้สึกของผู้คนบนโลกปีศาจแต่อย่างใด
โดยเฉพาะกับผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาบ่มเพาะหุ่นเชิดโลหิต คนพวกนี้ล้วนแล้วแต่สมควรตาย
และนี่ก็ทำให้เขานั้นไม่ได้เห็นอกเห็นใจหลิวฉิงหยุนแต่อย่างใด
แน่นอนว่าหากเป็นใครบางคนที่ใจอ่อนชอบเห็นใจผู้อื่นอย่างเช่นเม่ยซิน มันก็คงกลายเป็นอีกอารมณ์นึงไป
แต่ในสายตาของเฉินเฉียงนั้น ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตและผู้ที่เกี่ยวข้องนั้นมีค่าต่ำต้อยน้อยเสียยิ่งกว่าสัตว์วิญญาณที่อาศัยอยู่ในป่าเขา
นั่นก็เพราะหากสัตว์วิญญาณไม่ถูกรบกวน พวกมันก็ไม่คิดจะโจมตีใครก่อน
แต่สัตว์ปีศาจนี้แตกต่างออกไป พวกมันเกิดมาเพื่อทำลายล้าง เพียงแค่มันได้กลิ่นเลือด พวกมันก็พร้อมที่จะฆ่าฟันอย่างไม่เกรงกลัว
กับคนที่ยิ่งเกี่ยวกับไอ้ตัวพันธุ์นี้และยอมตกเป็นข้าทาสของพวกมันจะถือเป็นคนอยู่อีกได้ยังไง
ในขณะที่เฉินเฉียงกำลังคิดอยู่นี้ หลิวฉิงหยุนก็ได้ทุบโต๊ะตรงหน้าจนแตกแยกออกเป็นชิ้นๆ
“ถึงแม้ไอ้แก่คนนี้จะไม่ใช่คนดีและไม่ได้ก่อเรื่องดีอะไรไว้เลย แต่วันคืนที่อยู่ในกองโจรหมาป่านั้น ข้า ไม่เคยลืมเลือนไปได้”
“เฉินเฉียง เจ้ารู้อะไรรึเปล่า ในตอนนั้นพวกข้าทำหยาบช้าสามานย์มากมายได้อย่างหน้าตาเฉยเพียงแค่ไอ้พวกกองโจรหมาป่านั่นสั่งพวกข้ามา”
“เมื่อพวกอาชญากรไม่เพียงพอ พวกข้าทำถึงขนาดไปรวบรวมเกณฑ์คนด้วยปล้นชิงหมู่บ้านธรรมดาเพียงเพื่อจะมาเติมเต็มทาสโลหิตให้เพียงพอต่อการใช้งานของผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตเพียงเท่านั้น นี่ทำให้แม้แต่ข้าผู้ทำตัวเลวทรามอยู่เป็นนิจก็ยังนึกเกลียดตัวเอง”