ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 405 คนจากสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า
บทที่ 405 คนจากสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า
หลังจากกลับไปยังสำนักเต๋าใต้บาดาล เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยต่างก็มุ่งเน้นไปที่การบ่มเพาะ
ครึ่งปีผ่านไป เฉินเฉียงได้ดูดซับแก่นวิญญาณในทุกๆวันประหนึ่งดังเป็นเจ้าของเหมือง และมุ่งเน้นการเ เพิ่มค่าสถานะพลังจิตของตนเพื่อขยายขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของตน
การประกาศรับสมัครศิษย์เข้าภาคกลางนี้จะบอกได้ว่าเป็นเทศการประจำโลกปีศาจเลยก็ว่าได้ เพราะว่ามั นเทียบได้กับการรับสมัครศิษย์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์แบบกลายๆ
นี่คือที่มาว่าทำไมวิหารศักดิ์สิทธิ์ถึงได้มีผู้บ่มเพาะที่มากล้นอยู่มากมาย
และเมื่อถึงเวลานั้น เหล่าศิษย์สำนักเต๋าต่างๆจากทั่วสารทิศจะมุ่งตรงไปยังภาคกลางประหนึ่งผีเสื้อที ได้รับกลิ่นดอกไม้ที่หอมหวาน เพื่อคว้าโอกาสที่จะได้เป็นศิษย์คัดเลือกของสำนักเต๋าภาคกลาง
นี่จึงทำให้ในช่วงเวลานี้ สำนักเต๋าใต้บาดาลเองก็เริ่มมีการคัดเลือกศิษย์ที่คู่ควรไปร่วมคัดเลือกนี ด้วยเช่นกัน
นอกจากเฉินเฉียงที่ถูกคัดเลือกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำนักเต๋าใต้บาดาลยังได้คัดเลือกศิษย์อีกเกือบ ร้อยคนเพื่อเตรียมตัวและส่งไปยังภาคกลาง
หากมีคนหนึ่งคนใดที่สามารถเข้าสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าได้ ต่อให้ไม่ได้เข้าร่วมกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ ยามที่พวกเขาหวนคืนแหล่งที่มา พวกเขาสามารถเข้าร่วมเป็นผู้อาวุโสของสำนัก หรืออย่างน้อยๆก็มีตำแหน่ง สูงล้ำในองค์กรต่างๆ
น่าเสียดายที่คนเหล่านี้ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตนจะไม่มีทางคว้าโอกาสไว้ได้ จะมีก็เพียงไม่กี่คนเท่า านั้นที่ได้ล่วงรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว
ตัวอย่างเช่นผอ.และผู้อาวุโสจากสำนักต่างๆ
คนเหล่านี้คือผู้ที่สร้างคุณประโยชน์และประสบความสำเร็จอันดีย้อนกลับไปตอนที่พวกเขาได้อยู่ในสำนักเ เต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า แต่พวกเขาไม่อาจจะได้เหยียบย่างเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปได้
เพียงแต่ว่าพวกเขาเองนั้นก็พยายามปิดซ่อนเรื่องนี้ไว้ด้วยเช่นเดียวกัน
และนี่จึงทำให้ในแต่ละปี ศิษย์สำนักต่างๆมากมายยังคงมุ่งตรงไปยังพื้นที่ภูมิภาคกลางของโลกปีศาจเพื่อ อคัดเลือก
แม้จะมีคนเพียงเล็กน้อยที่ได้เข้าร่วม
แต่พวกเขาก็หาได้แยแสไม่
นี่คือส่วนหนึ่งของวิถีของคนบนโลกปีศาจ
โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้คนมันจะให้ความสำคัญกับผู้ประสบความสำเร็จและผู้ที่แข็งแกร่งอย่างที่สุด ส่วนคนที ทำได้แค่กลางๆพวกนั้นหาได้รับความใส่ใจ
เมื่อเฉินเฉียงออกมาจากภวังค์การบ่มเพาะ ระดับการบ่มเพาะของเขายังคงอยู่ที่ระดับราชาขุนพลขั้นต้น แต่ค่าพลังจิตของเขานั้นกลับสูงล้ำขึ้นไปถึงสองพันเก้าร้อยเจ็ดสิบสี่หน่วย
แน่นอนว่าด้วยค่าพลังจิตของเขาที่เพิ่มขึ้นนี้ ขอบเขตของเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขานั้นก็ได้ขยายอ ออกไป ในตอนนี้ระยะของมันอยู่ที่เจ็ดสิบเมตร
กลับกัน ในช่วงครึ่งปีมานี้ ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของหยานเสวี่ยนั้นกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นสักเท่ าไหร่ แม้แต่ระดับการบ่มเพาะก็ไม่ได้สูงขึ้นมากมายแต่อย่างใด
แต่เพื่อให้ผ่านการคัดเลือกเข้าไปในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า ทางด้านการปรุงยานั้นกลับยกระดับเพิ่มขึ้ นอย่างมาก และนี่เองก็ทำให้พลังจิตของเธอได้ยกระดับขึ้นมา
“แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง…”
เสียงระฆังที่ดังลั่นไปมาได้ดังขึ้น เหล่าศิษย์สำนักเต๋าต่างก็เดินไปรวมตัวกัน
เมื่อเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยได้เดินออกมาจากห้อง เขาก็พบว่าหลิวฉิงหยุนได้คอยเขาอยู่ที่ด้านน นอกแล้ว
เมื่อเห็นหยานเสวี่ยได้ยืนข้างกายเฉินเฉียง หลิวฉิงหยุนก็ส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณด้วยน้ำเสียงหยอกเ เอิน -เฉินเฉียง ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด ความสัมพันธ์ของเจ้ากับคุณหนูของเจ้านี้คงไม่ธรรมดา เสียกระมัง-
-ก่อนที่จะแยกจากกัน ไอ้แก่ผู้นี้ขอแนะนำเจ้าเป็นอย่างสุดท้ายนา หากคุณหนูของเจ้านั้นไม่มั่นใจที่จ จะได้รับเลือก จะดีกว่าหากเจ้าแนะนำให้นางยอมแพ้-
-ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจจะต้องเสียใจเพราะเรื่องนี้-
แม้เฉินเฉียงจะไม่กังวล แต่ด้วยความสงสัย เขาจึงถามออกไปตรงๆ “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด หากท่านมีสิ่งใดจะแ แนะนำ โปรดแนะนำได้เลย”
เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงไม่คิดปิดบัง หลิวฉิงหยุนก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับแล้วพูดออกมา “ดูเหมือนเจ้า าจะมั่นใจมาก ข้านั้นอาจจะกังวลเกินไปก็ได้”
“นับจากนี้ เจ้าสองคนจะไปในนามศิษย์แผนกวิชายุทธ์ ใครก็ตามที่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์แผนกนี้ ล้วนแล้วแต ต่จะได้รับการคัดเลือกให้เข้าไปมีส่วนในการคัดเลือกให้เข้าร่วมสำนักภาคกลาง”
“อย่างไรก็ตาม ศิษย์จำนวนมากมายเมื่อย่ามกลายเข้าไปที่นั่น ยามเมื่อพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จ พวกเขาล้ว วนแล้วแต่ไม่ได้กลับมา”
“ฮื้ม แล้ว พวกเขา…..” เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็พยายามจะถามออกไปเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถามออกไป เขาก็ได้พบท่าทางที่ยากจะเอ่ยของหลิวฉิงหยุนทำให้เขาเข้าใจได้ ถึงบางอย่าง
“ถูกต้อง ใครก็ตามที่เข้าไม่ได้ ศิษย์เหล่านั้นจะถูกนำตัวไปโดยกองโจรหมาป่าจนหมดสิ้น”
แล้วหลังจากพาตัวไปแล้วล่ะ…
เมื่อคิดได้แบบนี้ แม้แต่เฉินเฉียงเองก็ยังอดไม่ได้ที่แสดงสีหน้าอาลัยให้กับศิษย์ผู้ที่ไม่ผ่านกา ารคัดเลือกเหล่านั้น
มีผู้คนของโลกนี้มากมายที่เป็นเฉกเช่นหลิวฉิงหยุนในอดีตที่มีเพียงใจขวนขวายเข้าไปยังสำนักเต๋าสวร รรค์ชั้นฟ้าเพียงเพื่อแสวงหาเคล็ดวิชาการบ่มเพาะเพื่อยกระดับตนเองและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นเพียงเท่าน นั้น สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาเดินบนเส้นทางนี้ไปด้วยใจที่ห้าวหาญและพร้อมเผชิญหน้า
แต่พวกเขาคงไม่คิดว่าศิษย์สำนักมากมายที่ได้เหยียบย่างเข้าไปที่นั่น เปรียบได้ดั่งก้าวย่างเข้าขุมน นรกไปแล้วครึ่งก้าว
แน่นอนว่าเรื่องราวเช่นนี้ย่อมไม่เกิดขึ้นกับเฉินเฉียงและหยานเสวี่ย
ต่อให้หยานเสวี่ยไม่สามารถเข้าร่วมกับสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าได้ แต่กับการที่คนจากกองโจรหมาป่าจะ ะพาตัวหยานเสวี่ยไปนั้นคงทำได้เพียงฝัน
“ขอบคุณสำหรับคำเตือนของท่าน ท่านผู้อาวุโส พวกข้าจะจดจำใส่ใจในเรื่องนี้เอาไว้” เฉินเฉียงพูดออกมา ด้วยใจจริง และเดินตามหลิวฉิงหยุนไปยังสนามฝึกซ้อม
ทั่วทั้งสนามฝึกซ้อมในตอนนี้เต็มไปด้วยศิษย์ทั้งภายในและภายนอกอยู่ที่นี่
แน่นอนว่าศิษย์ภายนอกนั้นต่างก็รวมตัวกันอยู่ด้านนอกสนามฝึกซ้อมของแผนกวิชายุทธ ในขณะที่ศิษย์ภายใน นทั้งหมดยืนอยู่กลางสนาม
ตรงที่นั่งผู้ทรงเกียรติ ผอ.ฉีและหลิวฉิงหยุนพร้อมกับผู้อาวุโสของแต่ละแผนกประมาณยี่สิบกว่าคนต่าง ก็ยืนนิ่งพลางมองไปยังท้องฟ้า
ไม่นาน นกยักษ์สองตัวได้ลอยตัวอยู่เหนือฟากฟ้า บนหลังที่ใหญ่โตของพวกมันนี้มีผู้คนสิบกว่าคนได้ นั่งอยู่ก่อนแล้ว ในหมู่คนเหล่านี้ มีชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบเพียงสองคนเท่านั้น
เฉินเฉียงได้กวาดมองด้วยกระแสจิตของตน และทำให้เขาจดจำคนหนึ่งในนั้นได้ คนคนนี้เป็นคนจากสำนั กเต๋าดาวตก
หลังจากนกยักษ์ทั้งสองบินวนสนามประลองแห่งนี้อยู่สองรอบ ชายหนุ่มสองคนที่อยู่บนนักยักษ์ที่บินอย ยู่เหนือกว่าได้กระโดดลงมาและถลาร่อนลงไปบนที่นั่งผู้ทรงเกียรติ
ผอ.ฉี ได้โค้งคำนับ โดยมีผู้อาวุโสคนอื่นทำตามอย่างพร้อมเพรียง
“ในนามของผู้นำสำนักเต๋าใต้บาดาล คณาจารย์ และศิษย์สำนักเต๋าใต้บาดาล ยินดีต้อนรับผู้คัดเลือกจากสำน นักเต๋าดาวตก”
หนึ่งในชายหนุ่มสองคนได้กล่าวออกมา “ผอ.ฉีช่างกล้าหาญนัก สำนักเต๋าดาวตกนั้นในครั้งนี้เพียงส่งคนไ ไปสิบกว่าคนไปยังภาคกลางเท่านั้น แต่ข้าเองก็ได้ยินมาว่าสำนักของท่านทำผลงานได้ดีในการประลองระห หว่างสำนักครึ่งปีก่อน ในครั้งนี้ท่านเองก็สมควรจะส่งศิษย์ผู้เข้าร่วมได้มากกว่าสำนักเต๋าดาวตกใช่รึเ เปล่า”
ผอ.ฉีได้มองไปยังรายชื่อที่อยู่ในมืออย่างมาดมั่น ก่อนที่จะส่งรายชื่อนี้ให้กับชายหนุ่มตรงหน้า “เรี ยนท่านผู้คัดเลือก ในหมู่ศิษย์ที่ทางเราส่งไปในครั้งนี้ นอกจากหนึ่งคนที่เป็นศิษย์เสนอชื่อแล้ว ยั งมีศิษย์อีกสิบเจ็ดคนที่จะเข้าร่วมในการคัดเลือกเข้าสำนักภาคกลางในครั้งนี้”
“โห่ สิบเจ็ดคนเลยรึ หึหึหึ ไม่เลวไม่เลว ผอ.ฉี ท่านในครั้งนี้สร้างผลงานไว้ไม่น้อยเลยจริงๆ แถมย ยังมีศิษย์เสนอชื่อซะด้วย”
ชายหนุ่มได้หยิบรายชื่อขึ้นมา ก่อนจะส่งให้ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งแล้วพูดออกมา “ศิษย์น้องลู่คง อ่านรา ายชื่อ”
“ครับ ศิษย์พี่จางเหริน”
ลู่คงรับแผ่นรายชื่อมาแล้วอ่านชื่อออกไป
“เฉินเฉียง”
จางเหรินได้มองไปที่เฉินเฉียงก่อนจะส่ายหัวไปมา “ผอ.ฉี ศิษย์คนนี้คงไม่ใช่ศิษย์เสนอชื่อของท่านหรอ อกนะ ทำไมข้าไม่เห็นว่าเขาจะมีดีอะไรเลย”
ในขณะที่ผอ.ฉีกำลังจะอธิบายออกมา จางเหรินก็ยกมือขึ้นห้ามปรามแล้วพูดต่อ “ช่างมันแล้วกัน เขาจะมีพรส สวรรค์หรือไม่นั้น ยังไงซะท่านก็ใช้สิทธิ์ของท่านไปกับเรื่องนี้แล้ว”
“เฉินเฉียงสินะ ขึ้นนกยักษ์ไปได้แล้ว”
เมื่อพูดจบ จางเหรินได้ยกมือขึ้นชี้ไปยังนกยักษ์ที่ดูดำทะมึนประดุจเมฆฝน เฉินเฉียงก็ได้โจนทะยาน ขึ้นหลังนกตัวนั้นไป