ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 406 ความคิดของจางเหริน
บทที่ 406 ความคิดของจางเหริน
หลังจากเฉินเฉียงขึ้นไปบนหลังนกยักษ์เป็นคนแรก ลู่คงก็ได้อ่านรายชื่อต่อ
“หลูซิน หลิวปิง ม่อฉี…”
ศิษย์ที่ได้รับการขานชื่อก็ทยอยขึ้นไปบนหลังนกยักษ์อย่างตื่นเต้นยินดี โดยมีจางเหรินที่คอยยืนดูอยู่พลางเผยรอยยิ้มละไมออกมา
“หยานเสวี่ย หลิวซิ่นหนง…”
“หยุดก่อน”
เป็นตอนนี้ที่จางเหรินเอ่ยปากหยุดออกมา
ท่ามกลางความสงสัยของทุกคน พวกเขาทำได้เพียงหยุดรอ
จางเหรินได้เดินลงมาจากที่นั่งผู้ทรงเกียรติ แล้วตรงไปหาหยานเสวี่ย
ถึงแม้จางเหรินจะเป็นถึงตัวแทนแห่งสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า แต่ระดับการบ่มเพาะของเขานั้นอยู่เพียงระดับนายพล
การที่ถูกคนที่มีระดับอ่อนด้อยกว่าตนออกคำสั่ง นี่ทำให้หยานเสวี่ยรู้สึกขุ่นเคืองใจขึ้นมาในทันที
แต่เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อแผนของเฉินเฉียง หยานเสวี่ยจึงทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้
เฉินเฉียงที่ขึ้นหลังนกยักษ์ขึ้นไปแล้วก็รับรู้ถึงเรื่องนี้ได้เช่นเดียวกัน
จางเหริน ชายผู้นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกชีกอ
ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงนั้นจะไม่ต้องการสร้างเรื่องวุ่นวายก่อนจะได้เข้าไปในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า แต่เขานั้นย่อมให้ความสำคัญกับหยานเสวี่ยมากกว่า แล้วเขาจะยอมให้ขยะพันธุ์นี้มายุ่มย่ามกับหยานเสวี่ยได้ยังไง
ในทันทีที่จางเหรินแสดงท่าทีออกมาอย่างสนใจ เฉินเฉียงก็แทบจะฆ่าชายคนนี้ให้ตายเสียตรงนั้น
ยังดีที่หลังจากเดินวนมองไปหนึ่งรอบ เขาก็เปลี่ยนเป้าหมายของตนไป
“ศิษย์น้องผู้นี้ชื่ออะไรรึ”
จางเหรินเดินไปที่หน้าเม่ยซินแล้วถามออกมา
เม่ยซินเองก็ไม่คิดว่าผู้แทนสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าอย่างจางเหรินที่แม้แต่ผอ.ฉียังต้องเคารพจะมาพูดคุยกับเธอแบบนี้
“เรียนท่านผู้แทน ศิษย์เม่ยซิน เป็นศิษย์แผนกปรุงยาสำนักเต๋าใต้บาดาลค่ะ”
“เม่ยซินรึ ชื่อที่ดี”
จางเหรินยิ้มพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ศิษย์น้องเม่ยซิน ระดับการปรุงยาของเจ้าอยู่ในระดับใดรึ”
“เอ่ออออ” เม่ยซินอับอายจนยากจะเอ่ยในตอนนี้ “ท่านผู้แทน…”
“ไม่เอาสิ อย่าเรียกข้าว่าท่านผู้แทนเลย ข้ามีชื่อว่าจางเหริน เรียกข้าว่าศิษย์พี่จางแล้วกัน” จางเหรินพูดออกมา
“ศิษย์พี่…ศิษย์พี่จาง ตอนนี้ข้าปรุงยาได้เพียงยากำจัดพิษระดับสามค่ะ และอัตราสำเร็จก็ไม่ได้สูงมากนัก”
“ว้าว ข้าไม่อยากเชื่อเลยจริงๆว่าศิษย์น้องเม่ยซินจะสามารถปรุงยาระดับสามได้เพียงด้วยอายุเท่านี้ ช่างเป็นอัจฉริยะจริงๆ ถ้าอย่างนั้น….” เมื่อพูดจบ เขาก็หันไปมองที่ผอ.ฉีที่ยืนอยู่บนที่นั่งผู้ทรงเกียรติแล้วพูดออกมา “ผอ.ฉี สำนักเต๋าของท่านมีอัจฉริยบุคคลเช่นนี้อยู่ ทำไมท่านไม่ให้นางมีส่วนในการสอบคัดเลือกนี้ด้วยล่ะ”
ด้วยการที่ผอ.ฉีไม่กล้าที่จะทำให้จางเหรินโกรธแม้จะได้ยินคำพูดที่ดูเหิมเกริมนี้ก็ตาม เขาจึงได้ลงมาจากที่นั่งผู้ทรงเกียรติแล้วพูดออกมาอย่างเคารพ “ท่านผู้แทน ท่านอาจจะยังไม่รู้ แต่ศิษย์หญิงผู้นี้พึ่งจะเข้าสำนักมาได้เพียงครึ่งปี ด้วยการที่ฝีมือของนางยังไม่เข้ารูปเข้ารอยทำให้ข้าไม่ได้คิดเสนอชื่อนางไป แต่หากท่านพูดมาถึงขนาดนี้ ในปีหน้าข้า….”
เมื่อพูดถึงตอนนี้ ผอ.ฉีก็ได้ยกคิ้วขึ้นหลังจากเห็นสายตาหนึ่งของจางเหริน
จางเหรินนั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจน
แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นผอ.สำนักเต๋า ต่อให้เขาอยากจะได้รับความดีความชอบจากสำนักเต่าสวรรค์ชั้นฟ้าขนาดไหน แต่เขาก็ไม่อาจละเลยความปลอดภัยของศิษย์ของตนที่ปล่อยให้เผชิญหน้าหาที่ตายโดยไม่เตรียมตัว
แต่ยังไม่ทันที่ผอ.ฉีจะได้พูดจบดี จางเหรินก็เปลี่ยนท่าทีและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ผอ.ฉี ตามความเห็นของข้านั้น แม้ท่านเป็นผอ. แต่ท่านกลับมีความคิดที่ผิดพลาดในเรื่องนี้”
“ถึงแม้ว่าน้องเม่ยซินจะเป็นศิษย์ภายในได้ไม่นาน แต่นั่นกลับทำให้นางพิเศษขึ้นมาไม่ใช่รึไงกัน”
“การที่สามารถปรุงยาระดับสามได้ในช่วงเวลาอันสั้น แม้แต่ศิษย์ภายในสำนักสวรรค์ชั้นฟ้าก็ยังมีศิษย์จำนวนมากที่มีความสามารถไม่เทียบเท่า”
“กับศิษย์ที่มีความสามารถที่สูงล้ำขนาดนี้ กลับไม่ยอมให้มีส่วนในการคัดเลือก นี่ไม่เพียงจะไม่ดีกับอนาคตของน้องเม่ยซิน มันยังแสดงให้เห็นว่าท่านไม่เคารพสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าของพวกเรา”
เม่ยซินที่เป็นประเด็น ได้รีบพูดออกมาแทนผอ.ฉี “ศิษย์พี่เจิ้ง ท่านโปรดอย่ากล่าวโทษท่านผอ.ฉีในเรื่องนี้ เป็นข้าที่มีฝีมือการปรุงยาที่ไม่เสถียรเอง แถมยังปรุงได้เพียงยาขจัดพิษระดับสามเพียงเท่านั้น”
“สิ่งที่ท่านผอ.ฉีได้กล่าวออกมาก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้ว ข้าต้องการเวลาในการสั่งสมประสบการณ์และฝึกฝน ในปีหน้าก็ยังไม่สายที่ข้าจะได้มีส่วนในการคัดเลือกเข้าสำนักสวรรค์ชั้นฟ้าอยู่ค่ะ”
เมื่อจางเหรินหันกลับมามองเม่ยซินอีกครั้ง รอยยิ้มก็ได้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า
“ศิษย์น้องเม่ยซินช่างถ่อมตัวนัก”
“ถึงแม้สำนักสวรรค์ชั้นฟ้าต้องการคัดเลือกศิษย์ที่มีความสามารถสูงล้ำอย่างที่สุด แต่พวกเราเองก็ยังให้ความสนใจเมล็ดพันธุ์ชั้นเลิศด้วยเช่นกัน”
“กับเจ้าที่สามารถปรุงยาระดับสามได้ด้วยเวลาอันสั้นนี้ มันหมายความว่าความสามารถของเจ้าไม่ได้ต้อยต่ำแต่อย่างใด เจ้านั้นมีโอกาสที่จะกลายเป็นศิษย์ที่สูงล้ำของแผนกปรุงยาของสำนักเรา”
“หากเจ้าพลาดโอกาสในการแสดงความสามารถก่อนที่เจ้าจะเบ่งบาน แล้วใครจะรับประกันได้ว่ายามที่เจ้าเบ่งบานได้แล้วจะมีคนเห็นคุณค่าของเจ้ากันล่ะ”
“หากเจ้าเข้าร่วมการสอบในครั้งนี้ ผู้แทนผู้นี้จะช่วยให้แทนเจ้าเพื่อให้เจ้ามีโอกาสที่จะสอบผ่านมากขึ้นเลยเอ้า”
“ผอ.ฉี ท่านคิดว่ายังไง”
หลังจากเห็นสายตาที่ฉายแววดุร้อยของจางเหริน ผอ.ฉีก็ทำได้เพียงยิ้มเจื่อนๆแล้วพยักหน้ารับ “ท่านผู้แทนพูดได้ถูกต้องแล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากท่าน เม่ยซินสมควรจะได้รับการคัดเลือกเข้าสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าได้จริงๆ”
แม้ผอ.ฉีจะรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้น แถมสิ่งที่จางเหรินพร่ำพ่นออกมานั้นเต็มไปด้วยความหลอกลวงอย่างที่สุด แต่เขาก็ได้เพียงสละเม่ยซินเพื่อให้โอกาสศิษย์คนอื่นมีโอกาสได้เข้าไปยังภาคกลางมากขึ้น
เมื่อเห็นว่าผอ.ฉีเห็นด้วย เม่ยซินก็รู้สึกราวกับหัวใจได้ลุกไหม้
เธอจะไม่ไปได้ยังไงกัน
หยานเสวี่ย และเฉินเฉียงนั้นต่างก็ผ่านเข้าการเป็นศิษย์ในพร้อมกับเธอ
ในช่วงที่ผ่านมานั้น เพื่อที่จะสลัดให้หลุดจากเงาดำในใจที่เกิดขึ้นจากทั้งสองคน เม่ยซินจึงใช้ทุกสิ่งที่มี มุ่งบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการปรุงยา
แต่ท้ายที่สุด เธอก็ทำได้เพียงผิดหวังเมื่อพบว่าในการสอบคัดเลือกเข้าภาคกลางในครั้งนี้ไม่มีที่นั่งให้กับเธอ
มันแสดงให้เห็นว่าเธอนั้นห่างชั้นจากหยานเสวี่ยและเฉินเฉียงมากนัก
หยานเสวี่ยและเฉินเฉียงนั้นเมื่อได้รับการสอบคัดเลือก ย่อมต้องกลายเป็นศิษย์สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนเธอนั้นกลับไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงรอคอยโอกาสครั้งถัดไปในสำนักเต๋าใต้บาดาลเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เธอนึกไม่ถึงว่าศิษย์พี่จางเหรินที่แม้แต่ผอ.ฉีก็ยังต้องเคารพผู้นี้ถึงกับเอ่ยปากชวนเธอเข้าร่วมการสอบคัดเลือก แถมยังบอกว่าจะช่วยให้เธอสอบเข้าได้เสียอีก
กับเรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจราวกับได้พบเจอสมบัติที่สูญหายไปแล้วได้กลับคืนมา
“ศิษย์พี่จาง ข้า ข้าเข้าร่วมได้จริงๆหรือคะ” เม่ยซินในตอนนี้เก็บอารมณ์ดีใจเอาไว้ไม่อยู่จนต้องถามออกมาพร้อมกับมือสองข้างที่กุมไว้ที่หน้าอกของเธอ
จางเหรินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน ศิษย์น้องเม่ยซินนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว”
“เชื่อเถอะว่าเจ้าทำได้”
“ยิ่งไปกว่านั้น ในระหว่างการสอบ ศิษย์พี่ผู้นี้จะคอยพูดช่วยเหลือเจ้าเอง”
“สุดยอด” หลังจากได้รับคำตอบที่เฝ้ารอ เม่ยซินก็กระโดดโลดเต้นยินดี ก่อนจะหันไปหาหยานเสวี่ยแล้วกุมมือของเธอเอาไว้แล้วพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
“พี่สาวหยานเสวี่ย พวกเราได้ไปด้วยกันอีกแล้วนะ”
“ท่านคงไม่รู้แต่การแยกห่างจากท่านไปมันทำให้ข้าปวดใจมากจริงๆ”
“ตอนนี้พวกเราสามารถเข้าไปยังสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าด้วยกันและเติบโตไปด้วยกันได้อีกแล้ว”