ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 412 ก่อนการสอบ
บทที่ 412 ก่อนการสอบ
เฉินเฉียงได้สะบัดแขนของตนออกไปด้านข้างก่อนจะพูดออกมาด้วยท่าทางเคร่งขรึม “กับเรื่องนี้ พวกเราไม่ต้องสนใจเ เรื่องของโลกปีศาจแต่อย่างใด”
“สิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเรานั้นคือภารกิจ นั่นก็คือการหาร่องรอยของฮั่นจุย สัตว์ปีศาจ และร่างของราชาจักรพรรดิ ทั้งสาม”
“นอกจากสามเรื่องนี้ เรื่องอื่นพวกเราจะไม่ข้องเกี่ยวด้วย”
“แต่ถ้ามีสิ่งใดที่น่าสนใจเป็นพิเศษล่ะก็ พวกเราก็อาจจะเข้าไปยุ่งได้ แต่นั่นก็ขึ้นกับเวลาและความเหมาะสม ซึ่ง งเรื่องเหล่านั้นเราจะต้องมาพูดคุยกันอีกที”
ทุกคนแม้จะพยักหน้ารับ แต่ท่าทางของพวกเขาล้วนแล้วแต่แสดงออกมาอย่างหนักอึ้ง
นั่นก็เพราะเรื่องที่เฉินเฉียงได้พูดทิ้งท้ายไว้ทำให้พวกเขานั้นรู้สึกหนักอึ้งเพราะไม่เคยรับรู้มาก่อน
ในตอนนี้ เมื่อเฉินเฉียงเห็นท่าทางคิ้วขมวดของหยานเสวี่ย เขาก็ได้พูดปลอบใจออกมา “ไม่ต้องกังวลนะ เดี๋ยวข้า จะจัดการเรื่องของเม่ยซินเอง เมื่อถึงเวลานั้นเดี๋ยวเราว่ากันอีกที”
หลังจากพูดคุยกันในเรื่องอื่น เมื่อถึงตอนเย็น เจิ้งยี่ก็ได้พาเม่ยซินกลับมายังหอการค้า
“ดูนี่สิคะพี่สาวหยานเสวี่ย ข้าซื้อนี่มาฝากท่านด้วยล่ะ” เม่ยซินรีบวิ่งเข้าไปหาหยานเสวี่ยด้วยท่าทางร่าเ เริง ก่อนจะนำคริสตัลรูปดอกไม้สีม่วงมามอบให้กับมือ
หยานเสวี่ยเมื่อเห็นดอกไม้นี้ก็ยิ้มหวานออกมา พลางลูบหัวเม่ยซินอย่างเอ็นดู
“น้องเม่ยซิน แล้วของพวกเราล่ะ ไม่มีอะไรมาฝากเลยเหรอ” หลินซวนเอ๋อเมื่อเห็นแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดแหย่ออ อกมา
“มีสิคะ” ถึงแม้ว่าเม่ยซินจะรู้จักคนอื่นๆเพียงไม่นาน แต่ในเมื่อทุกคนนั้นเป็นเพื่อนของหยานเสวี่ยและเฉินเฉียง ง เม่ยซินย่อมต้องซื้อของมาฝากทุกคน และนี่ก็ทำให้ทุกคนนั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีกับหญิงสาวแห่งโลกปีศาจที่ แสนร่าเริงคนนี้
“ฮี่ฮี่ฮี่ เจิ้งยี่ คุณหนูเม่ยซินผู้นี้น่ารักดีใช่ไหมล่ะ” หลางซานเอ๋ออดไม่ได้ที่จะมาพูดแหย่เจิ้งยี่พลางวาง งมือไว้บนไหล่ของเขาที่กำลังจ้องมองรอยยิ้มเริงร่าของเม่ยซินอย่างไม่วางตา
“อืม สวยด้วยล่ะ” ในตอนนี้ เจิ้งยี่พูดออกมาอย่างไม่ปิดบัง พร้อมรอยยิ้มที่ปริเกือบจะถึงใบหู
หลังจากอยู่ด้วยกันมานานหนึ่งวัน ตัวตันอันสุขุมนุ่มลึกของเจิ้งยี่ก็แทบจะมลายสิ้น
เฉินเฉียงที่เห็นอยู่กับเจิ้งยี่มานานแสนนาน แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นท่าทางมีความสุขของเจิ้งยี่ แบบนี้ เป็นธรรมดาที่พวกเขาต้องสังเกตเห็น
แม้แต่เม่ยซินที่ได้ยินคำพูดระหว่างเจิ้งยี่และหลางซานเอ๋ออยู่เบาๆ ก็อดไม่ได้ที่จะมีใบหน้าที่แดงฉานขึ้นมา
นี่ทำให้ไม่ต้องมีการไต่ถามแต่อย่างใด สาวน้องจากต่างโลกผู้นี้เองก็สมควรจะมีความรู้สึกบางอย่างกับเจิ้งยี่เช่ นเดียวกัน
นี่ทำให้ทั้งหยานเสวี่ยและเฉินเฉียงต่างก็อดที่จะรู้สึกสุขใจไม่ได้เมื่อได้เห็นท่าทางระหว่างเจิ้งยี่และเม่ ยซิน
หากพูดกันตามตรงแล้ว คนที่ดูเย็นชาที่สุดในกองกำลังเทียนเว่ยนั้น ถ้ารองจากหยานเสวี่ยแล้วก็คงหนีไม่พ้นเจิ้ งยี่ผู้นี้
ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะทั้งสองต่างก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์
แต่หากยึดถือตามสิ่งที่เฉินเทียนเว่ยได้บอกเขาไว้ มนุษย์กลายพันธุ์นั้นจะไม่อาจมีทายาทได้ก่อนที่จะมีระดับการบ บ่มเพาะอยู่ที่ระดับราชาจักรพรรดิ
แต่ต่อให้ไม่อาจมีทายาท ก็ใช่ว่าพวกเขานั้นจะไร้ความรู้สึก
เมื่อมีความรู้สึกก็ย่อมต้องมีความรัก ถึงแม้จะเป็นมนุษย์กลายพันธุ์แต่พวกเขาก็ยังต้องการคนดูแลคอยเอาใจใส่
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ด้วยการที่ทั้งสองต่างก็อยู่ในระดับราชาแล้ว นี่ทำให้ทั้งสองเริ่มมองเห็นอนาคตของตนเองขึ้น นมาบ้างแล้ว
ตราบใดที่ยังคงอยู่ต่อไป แม้เส้นทางที่จะเป็นราชาจักรพรรดินั้นแม้จะยากเข็ญ แต่เมื่อไปถึง ทั้งสองจะเป็นเฉกเช่นคนธ ธรรมดาที่สามารถมีทายาทที่ทั้งสองจะรักใคร่เอ็นดูต่อไปได้
และด้วยความหวังนี้ ทำให้เมื่อทั้งหยานเสวี่ยและเจิ้งยี่ก้าวเข้าสู่ระดับราชาแล้ว บุคลิกนิสัยต่างๆนับวันก็ย ยิ่งดูมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นธรรมดาที่ทั้งสองจะได้พบเจอผู้คนที่ตนรักใคร่ได้
“น้องเม่ยซิน ทำไมเจ้าไม่อยู่ที่หอการค้านี้กับเจิ้งยี่ซะล่ะ”
เมื่อเห็นว่าเป็นโอกาสอันดี หยานเสวี่ยก็ได้นำเรื่องนี้ขึ้นมาพูดในทันที เธอนั้นหวังอยู่เต็มอกว่าเม่ยซิน จะไม่เข้าไปเสี่ยงภัยอันตรายกับการสอบนี้
นี่ทำให้เม่ยซินต้องลอบมองไปที่เจิ้งยี่ที่กำลังทำตัวไม่ถูกออกมา
มันเป็นเพราะว่าการได้พบเจอกับเจิ้งยี่นี้ทำให้เธอลังเลขึ้นมาจริงๆ
ถึงแม้มันจะน่าเสียดาย แต่เม่ยซินก็เกือบจะยอมแพ้เรื่องการสอบไปแล้ว
แต่เจิ้งยี่นั้นกลับแสดงความเห็นออกมาในทางตรงกันข้าม
“ในเมื่อเม่ยซินได้โอกาสมาแล้วทำไมไม่ลองดูสักหน่อยล่ะ”
“อีกอย่าง เม่ยซินนั้นจะมาที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้อยู่แล้วนี่นา ในเมื่อที่นี่กับสำนักเต๋าใต้บาดาลก็ไม่ได้ไกลก กันสักหน่อย”
เมื่อได้ยินดังนั้น สายตาของเม่ยซินก็ได้เบิกกว้าง และนี่ทำให้เธอประทับใจในตัวเจิ้งยี่เสียยิ่งกว่าเดิม
แม้มันจะเป็นเพียงการพูดเพื่อสนับสนุนคนที่ตนชอบเพียงเท่านั้นก็ตาม
ในตอนที่หยานเสวี่ยเอ่ยถามออกมาให้เธอนั้นถอดใจจากการสอบเข้า เม่ยซินเองก็อดไม่ได้ที่จะคล้อยตาม
แต่ยังไงซะ การได้เข้าสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้านี้ก็เป็นความใฝ่ฝันเพียงหนึ่งเดียวของเธอด้วยเช่นกัน
เมื่อมีตัวเลือกได้ปรากฏตรงหน้าในช่วงเวลาที่ไม่คาดคิด เป็นธรรมดาที่เธอนั้นจะตัดสินใจได้อย่างยากยิ่ง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เม่ยซินมีความสุขนั้นก็คือ เจิ้งยี่ที่เธอเริ่มมีใจนั้นราวกับเห็นถึงความฝันของเธอ ถึ งแม้ว่าเธอจะทำได้ยาก แต่เขาก็ยังทำให้เชื่อมั่นและลองในสิ่งที่เธออยากทำ มันช่วยทำให้เธอตัดสินใจง่ายขึ้น
เป็นตอนนี้ที่เจิ้งยี่นั้น ได้ปรากฏขึ้นในใจของเม่ยซิน
เมื่อหยานเสวี่ยได้ยินแบบนี้ก็ถึงกับต้องนิ่งอึ้งไป เธอได้หันไปมองเฉินเฉียงอย่างช่วยไม่ได้
-เฉินเฉียง เจิ้งยี่ดูเหมือนจะยังไม่รับรู้ในเรื่องนี้ ข้าควรจะบอกเขาตรงๆรึเปล่า เพื่อเขาจะช่วยพูดกับเม่ยซิ นให้ถอดใจกับเรื่องนี้ไปจะได้ไม่ต้องเสี่ยงอันตราย-
-ไม่ต้องหรอก- เฉินเฉียงเองได้ตอบกลับไปด้วยเสียงผ่านจิตวิญญาณเช่นกัน –เจิ้งยี่พูดได้ถูกต้องแล้ว การสอบเข้าน นี้เป็นโอกาสที่เม่ยซินถวิลหา หากนางสามารถสอบเข้าได้จริงๆ นี่จะให้ชีวิตของเธอนั้นถูกเติมเต็มได้อย่างแน่น นอน-
-ต่อให้นางสอบเข้าไม่ได้ ด้วยการที่นางได้ทำอย่างสุดฝีมือไปแล้ว นี่จะทำให้นางไม่มีสิ่งใดติดค้างในใจอีก-
-อีกอย่าง นี่คือสิ่งที่เจิ้งยี่เสนอขึ้นมาเพียงเท่านั้น พวกเราไม่อาจยุ่งเกี่ยวได้-
-และหากเจ้าบอกเจิ้งยี่เกี่ยวกับเรื่องนี้ มันจะทำให้เขาคิดว่าเพราะคำพูดของตนนั้นทำให้เม่ยซินตกอยู่ในอันตราย ย มันจะทำให้เจิ้งยี่ร้อนรนไปโดยไม่อาจทำอะไรได้-
-ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยนิสัยของเจิ้งยี่แล้ว เวลาไอ้หมอนี่รน ไม่ว่าทำอะไรออกมาก็พาวินาศไปหมด-
“เอาน่า เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องของเม่ยซินหรอก ข้าจะปกป้องนางให้ดีที่สุดเมื่อถึงเวลานั้น”
หยานเสวี่ยนั้นไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงยอมรับในเรื่องนี้
“เอาอย่างนั้นก็ได้ เม่ยซิน พรุ่งนี้เจ้าเองก็พยายามสอบอย่างสุดความสามารถนะ แต่อย่าได้ฝืนตนเองเป็นอันขาด”
เม่ยซินพยักหน้ารับอย่างเริงร่า พลางกลับไปยืนอยู่เคียงข้างเจิ้งยี่อย่างเร็วรี่
“ลูกพี่ รอสักพักนะ เดี๋ยวข้าจะให้เทพเงินตราเตรียมอาหารเลี้ยงฉลองเพื่อเป็นการอวยพรพวกท่านในการสอบวันพรุ่งน นี้”
เมื่อพูดจบ เจิ้งยี่ก็จูงมือน้อยๆของเม่ยซินเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นท่าทางอันหวานแหววของทั้งสองคนแล้ว หลางซานเอ๋ออดไม่ได้ที่จะบ่นอุบออกมา “ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด เจิ งยี่มองยังไงก็เป็นเพียงมนุษย์ต้นไม้ก็เท่านั้น ทำไมถึงได้เป็นที่หมายปองของสาวงามไปได้ฟะ ทำไมคนที่เปี่ยมไป ปด้วยพรสวรรค์เช่นข้าถึงได้หาสาวมาเหลียวแลไม่ได้กัน”
“เอาจริงๆนะ ข้าว่าพวกเราหาสาวที่นี่ไม่ได้หรอก ก็กัปตันเล่นให้พวกเราเปลี่ยนรูปลักษณ์จนน่าเกลียดน่ากลัวตัวล ละบาทแบบนี้ แต่ว่ากันตรงๆนะ ต่อให้ไม่เปลี่ยนรูปลักษณ์ก็คงจะยากอยู่ดี เจิ้งยี่แม้ไม่ต้องเข้าสำนักเต๋าดาวตก แ แต่ด้วยนิสัยใจคอที่แท้จริงที่เขาแสดงออกมาในตอนนี้ ข้าบอกได้เลยว่ามันดูสบายลูกตากว่าท่าทางของเจ้ามากนัก ”
“เจ้าจะรีบมีคู่ไปทำบ้าอะไรกัน เจ้าก็เห็นนี่ว่าขนาดเทพเงินตราและไอ้ตัวโวยวายจะมีอายุอานามปาเข้าไปสามสิบปี แล้วแต่ก็ยังไม่สนใจจะหาคู่ครองเลย”
“แม้แต่หนอนหนังสือคู่หูของเจ้าก็ยังไม่ได้ใส่ใจ หากเจ้ามีปัญหานักก็ตบแต่งกันเองไปสิ”
เมื่อได้ยินม่อโชวพูดออกมาแล้ว หลางซานเอ๋อก็ขนลุกขนชันขึ้นมาทั้งตัวอย่างบอกไม่ถูก ก่อนที่จะรีบถอยร่นไปไกลแล ล้วพูดออกมา “ไสหัวไปไกลๆเลยเฟ้ย ข้า นายน้อยที่สามหลางซานเอ๋อผู้นี้เป็นผู้ชายทั้งแท่งนะเฟ้ย”
เมื่อเห็นฉากที่ครื้นเครงหัวล่อต่อกระซิกกันของคนในกองกำลังเช่นนี้ เฉินเฉียงและคนอื่นๆก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น มาในทันที
มันเป็นฉากเหตุการณ์ในโลกปีศาจที่พวกเขาเหล่าพี่น้องยากที่จะได้พบเจอ
ใครจะไปรู้ว่าหลังจากผ่านวันพรุ่งนี้ไปแล้วพวกเขาจะมีชีวิตการเป็นอยู่เช่นใดหลังจากผ่านการสอบเข้าสำนักเต๋าสวรร รค์ชั้นฟ้าไป
อย่างน้อยๆก็คงเป็นหลังจากการพบเจอร่องรอยของฮั่นจุยเสียกระมังที่จะทำให้พวกเขาผ่อนคลายลงได้เช่นนี้อีก
ด้วยเหตุนี้ เฉินเฉียงและพวกพ้องอีกสิบกว่าคนจึงเลือกที่จะเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่แสนสุขนี้เอาไว้ พวกเขาดื่มกิน นกันอย่างเต็มที่พร้อมในที่สุขสำราญ
เช้าตรู่วันถัดมา นอกจากเจิ้งยี่และหวังต้าลู่แล้ว เฉินเฉียงและคนอื่นๆได้นำป้ายคำสั่งออกมา ก่อนจะออกไปยังน นอกเมืองอีกครั้ง