ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 413 เกมนองเลือด
บทที่ 413 เกมนองเลือด
บนลานประลองอันกว้างขวาง มีผู้คนที่ยืนเรียงรายกันอยู่สี่แถว เรียงตามลำดับการสอบได้แก่แผนกหุ่นเชิดโลหิต แผนกวิชายุทธ แผนกปรุงยา และแผนกวัตถุวิญญาณ
เฉินเฉียงมองไปโดยรอบก็พบว่ามีศิษย์จากสำนักทั่วทั้งโลกปีศาจที่มาเข้าร่วมการสอบนี้เกือบแสนคน
และนี่ก็เป็นเพียงจำนวนของปีนี้เท่านั้น
สำหรับตำแหน่งศิษย์ที่สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าเปิดรับเข้านั้นมีรวมทั้งหมดเพียงสี่ร้อยกว่าตำแหน่งเท่านั้น
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือในสี่แผนกนี้จะมีเพียงแผนกละร้อยกว่าคนเท่านั้นที่จะได้เหยียบย่างเข้าเป็นศิษย์สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า
หากนับอัตราส่วนก็ประมาณหนึ่งในพัน
ส่วนผู้แพ้นั้น….
หาได้มีใครสนใจไม่
เมื่อทุกคนมาถึง ชายในเสื้อคลุมสี่คนก็ได้ปรากฏตัวอยู่บนฝากฟ้า
“ในเมื่อศิษย์จากทั่วทั้งห้าภูมิภาคแห่งโลกปีศาจมารวมตัวกันที่นี่เพื่อเข้าสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าครบหมดแล้ว ข้าว่าเราประกาศเริ่มการสอบคัดเลือกศิษย์ได้แล้วนะ”
คนที่ลอยอยู่บนฟ้าทั้งสี่ล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับมหาราชาขั้นต้น
“ได้” หัวหน้ากลุ่มที่เป็นชายแก่ที่มีรูปร่างผอมแห้งได้พูดออกมา ก่อนจะเหลือบไปมองยังเบื้องล่างของตน เขาเป็นผู้คุมสอบการสอบแผนกแรก
มันเป็นการสอบคัดเลือกของศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตที่ในปีนี้มีผู้เข้ารับการคัดเลือกทั้งหมดสองหมื่นหนึ่งพันหกร้อยคน
“ในการสอบเข้าของทั้งสี่แผนกนั้น มีเพียงแผนกหุ่นเชิดโลหิตเท่านั้นที่มีจำนวนผู้สอบเข้ามากมายขนาดนี้ ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะตัวตนของศิษย์ที่เดินบนเส้นทางสายนี้ที่ทำให้พวกเขาไม่ได้คิดมากในการเผชิญหน้าในทุกสิ่งที่ขวางกั้น”
“ถึงแม้มันจะดูเป็นการรีบร้อนไปบ้างสำหรับศิษย์บางคนที่พึ่งจะเริ่มเดินบนเส้นทางสายนี้ แต่ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถเข้าร่วมสำนักสวรรค์ชั้นฟ้าได้ ไม่เพียงเส้นทางการบ่มเพาะของเจ้าจะราบรื่น แต่มันเรียกได้ว่าไหลลื่นเกินกว่าจะหยุดยั้ง นี่ทำให้มันคุ้มค่าสำหรับพวกเจ้าที่จะยอมแลกชีวิตเพื่อที่จะได้รับมันมา”
“เอาล่ะ เดี๋ยวเราจะเริ่มการสอบแผนกหุ่นเชิดโลหิตกันเลยแล้วกัน ส่วนศิษย์แผนกอื่นๆนั้นเพียงแค่ตั้งใจดูและไม่ต้องกลัวไป ถ้าไม่อย่างนั้นพวกเจ้าก็ถือว่าขาดคุณสมบัติในการสอบครั้งนี้ไปเลย”
เมื่อพูดจบ ชายที่มีร่างเหี่ยวแห้งได้ทะยานขึ้นหน้ามาก่อนจะวาดอักขระบางอย่างบนท้องฟ้า และในตอนที่อักขระเหล่านี้ได้ส่องแสง เขาก็ได้พูดออกมาต่อ “ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตทุกคนจงฟัง พวกเจ้าเข้าไปยังเขตแดนนี้แล้วสู้กันไปเรื่อยๆจนกว่าจำนวนของพวกเจ้าจะลดน้อยถอยลงไป เมื่อใดก็ตามที่มีพวกเจ้าเหลือร้อยคน เมื่อนั้นก็ถือว่าพวกเจ้าผ่านการสอบ”
เมื่อชายแก่ที่มีร่างผอมแห้งพูดจบ ผู้สอบเข้าแผนกหุ่นเชิดโลหิตสองหมื่นหนึ่งพันกว่าคนก็ถูกส่งไปในเขตแดนประลองที่เกิดจากการวาดอักขระนี้แทบจะในทันที พวกเขาในตอนนี้อยู่ที่ด้านสนามประลองที่ถูกสร้างขึ้นมา
ส่วนศิษย์ที่เหลืออีกสามแผนกนั้น พวกเขาแยกย้ายรุมล้อมรอบสนามประลองนี้แม้มันจะลอยอยู่บนฟ้าก็ตาม นี่ทำให้พวกเขาเรียงต่อกันอยู่ในรูปร่างวงกลมเช่นเดียวกัน
เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ชายแก่ที่มีร่างกายผอมแห้งก็ได้สะบัดธงผ้าเหลืองผืนหนึ่งไปมา และนี่ทำให้บังเกิดหมอกควันดำเกินขึ้นภายใน
และด้วยวิธีการนี้ทำให้ผู้สมัครสอบแผนกอื่นนั้นไม่อาจได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นภายในได้
และด้วยการที่ในตอนนี้ด้านในนั้นมีผู้คนกว่าสองหมื่นกว่าคน นี่ทำให้ในตอนนี้ทุกคนต่างก็กลายเป็นจุดเล็กจุดน้อยทั่วลานประลองโปร่งแสงที่ลอยตระหง่านอยู่ตรงหน้าทุกคน แม้แต่เฉินเฉียงเองก็ยังบอกไม่ถูกว่าใครเป็นใครในตอนนี้
แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ ด้วยการที่ผู้ที่อยู่ข้างในนั้นล้วนแล้วแต่เป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต ผู้คนด้านนอกย่อมหาได้ใส่ใจไม่
นี่แสดงให้เห็นว่าศิษย์อีกสามแผนกนั้นรับรู้ถึงความน่ากลัวของศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตมากมายขนาดไหน
และนี่จึงทำให้ไม่มีใครคิดที่จะเพื่อนเป็นคนเหล่านี้
เม่ยซินในตอนนี้ได้กำชายเสื้อของหยานเสวี่ยเอาไว้แน่นขนัด พลางฝืนมองฉากเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้า
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง จุดที่เคยแน่นขนัดบนลานประลองโปร่งใสที่ลอยอยู่เหนือฟ้าก็เริ่มที่จะมีช่องโหว่
ด้วยการที่ผู้สมัครสอบเข้าแผนกหุ่นเชิดโลหิตที่มีสองหมื่นกว่าคนนี้เริ่มมีบางจุดที่ขาดหายไป หลงเหลือไว้แต่สีแดงเลือด นี่เกิดจากผู้บ่มเพาะบนเส้นทางสายนี้หายไปนับพันคน นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนได้เห็นถึงความโหดร้ายของผู้คนบนเส้นทางสายนี้ได้แล้ว
แต่ในตอนนี้ ผู้อาวุโสทั้งสี่คนกลับทำเพียงมองหน้าแล้วยิ้มให้กันเล็กน้อย แน่นอนว่าพวกเขากำลังพูดคุยกันทางการส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณ
เพียงแค่ช่วงนี้ผู้คนที่อยู่ภายในลานประลองร่วงหล่นไปอีกสองร้อย
และนี่ก็เพียงพอที่จะทำให้ศิษย์ที่อยู่ภายนอกร่วงหล่นไปตามๆกัน
มีศิษย์สาวหัวใจไร้เดียงสาเฉกเช่นเม่ยซินบางคนที่ตอนนี้หล่นไปกองกับพื้นพร้อมแขนขาที่ไร้เรี่ยวแรง
หลังจากผ่านไปอีกสองชั่วโมง ผู้สอบเข้าอีกสองหมื่นก็ได้ตกตายไป
นี่จึงทำให้ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนั้นมีสถานะสูงส่งในโลกปีศาจ
อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเพียงความโหดร้ายของเด็กน้อยทั้งหลายเพียงเท่านั้น
ในตอนนี้ ผู้อาวุโสทั้งสี่ได้ยิ้มกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตที่หลงเหลือเริ่มฉายแววออกมา คนที่เหลือในตอนนี้แสดงออกมาด้วยดวงตาที่แข็งกร้าว ไม่ได้ต่างไปจากสัตว์ป่าหรือสัตว์วิญญาณบนโลกปีศาจนี้แต่อย่างใด
เป็นเพียงหลังจากคนพวกนี้ได้เหยียบย่างเข้าไปในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าเท่านั้นที่จะทำให้คนพวกนี้ที่ชุบเลี้ยงให้เชื่องและมีค่า(ใช้งานได้)
“แหยะ ช่างน่ารังเกียจนัก แต่อย่างน้อยๆมันก็จะจบลงสักที”
ที่ข้างๆเฉินเฉียงนั้นมีศิษย์ผู้สอบเข้าแผนกปรุงยาคนหนึ่งได้บ่นอุบออกมา พร้อมใบหน้าที่ซีดเผือดราวกับไร้เลือดไปเลี้ยงบนใบหน้า
เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้สังเกตเห็นผู้สมัครสอบคนหนึ่งที่มีผมสีแดง
สิ่งที่เฉินเฉียงจับจ้องไปที่ชายหัวแดงคนนี้เขาใช่หุ่นเชิดโลหิตที่อยู่ในรูปลักษณ์กอริลลาของเขา แต่เป็นเพราะเขาควบคุมหุ่นเชิดซากศพไว้ถึงสองตัว
ในสำนักเต๋าใต้บาดาลนั้น เฉินเฉียงได้รู้มาจากผอ.ฉีและผอ.เจิ้งว่าหากผู้คนบนเส้นทางสายนี้ที่มีระดับการบ่มเพาะไม่สูงแต่กลับฝืนสวมคราบร่างซากศพ มันจะมีผลย้อนกลับและส่งผลเสียต่อเส้นทางการบ่มเพาะของตนในภายภาคหน้า
แต่ดูเหมือนว่าชายหัวแดงผู้นี้หาได้แยแสเรื่องนี้ไม่
ก่อนหน้านี้ เฉินเฉียงเองก็ยังไม่ได้สังเกตเห็นชายคนนี้อย่างเด่นชัดนัก เพราะคนที่อยู่ในสนามสอบนั้นเยอะจนชุลมุนกันไปหมด แต่ในตอนนี้เมื่อผู้คนที่เหลือรอดเริ่มลดน้อยถอยลงไป นี่จึงทำให้เขาสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าชายหัวแดงคนนี้ใช้หุ่นเชิดซากศพถึงสองร่าง หนึ่งในนั้นคอยยืนอยู่เคียงข้างชายผมแดงอยู่ไม่ห่าง อีกคนหนึ่งได้ออกไปร่วมต่อสู้กับกอริลลาปีศาจ
ไม่ต้องพูดอีกต่อไป ชายผมแดงผู้นี้จะต้องได้รับการชุบเลี้ยงจากสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าอย่างไม่ขาดตกเป็นแน่
ถึงแม้การสอบจะยังไม่เสร็จสิ้น แต่ชายผมแดงคนนี้ก็ได้ไปต้องตาผู้อาวุโสที่ลอยอยู่บนอากาศทั้งสี่เป็นเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นความสามารถของชายผมแดง ชายแก่ที่ร่ายอักขระสนามประลองนี้ก่อนหน้าก็ได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เหมือนเห็นฉากนี้ ชายแก่ที่อยู่ในชุดผ้าคลุมเขียวก็ได้พูดออกมาอย่างอิจฉา “ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสเฟิงจะพบเจอศิษย์ตรงของท่านแล้วกระมัง”
ผู้อาวุโสเฟิงเมื่อได้ยินก็ได้หัวเราะดังลั่นแล้วพูดออกมา “ใช่แล้ว ผู้อาวุโสตง ไอ้เด็กหัวแดงนี้มันเกิดมาเพื่อเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางสายนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ในภายภาคหน้ามันต้องเป็นผู้ที่อนาคตสูงล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย”
“เพียงแค่ความสามารถที่ไอ้เด็กนี่แสดงให้เห็นออกมานั้นก็เพียงพอที่จะทำให้มันเข้าร่วมกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว”
“แล้วผู้อาวุโสเฟิงผู้นี้จะปล่อยให้อัจฉริยะเช่นนี้หลุดมือไปได้เยี่ยงไร”
“อื้ม ดูเหมือนว่าแผนกหุ่นเชิดโลหิตในปีนี้จะได้เมล็ดพันธุ์ชั้นดีมาไว้จริงๆ น่าเสียดายนักที่พวกเราต้องดูพวกเขาเข่นฆ่ากันจนกว่าจะครบจำนวน เพราะข้าว่าคนที่เหลือนี่ก็มีความสามารถไม่เลวแล้วนา ผู้อาวุโสเฟิง ข้าว่าเราควรจะหยุดเพียงเท่านี้แล้วรับคนทั้งหมดเข้าไปเลยดีหรือไม่”
“อืมมมมม รออีกพักนึงแล้วกัน” ผู้อาวุโสเฟิงพูดออกมาด้วยสายตาที่เบิกกว้าง พลางมองดูคนร้อยกว่าคนตรงหน้าอย่างเขม็ง ราวกับกำลังเก็บข้อมูลจากทุกสิ่งที่ผู้สมัครสอบเหล่านี้กำลังกระทำอยู่
หลังจากผ่านไปอีกห้านาที เมื่อยังไม่มีผู้สมัครสอบที่ลดถอนตายหายไป ผู้อาวุโสเฟิงจึงได้สะบัดธงผ้าเหลืองสามเหลี่ยมในมือ และนี่ทำให้เขตแดนลานประลองหายไป
“เยี่ยม การสอบคัดเลือกศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตในตอนนี้จบลงแล้ว” ผู้อาวุโสเฟิงที่ลอยอยู่บนฟากฟ้าได้ตะโกนก้องออกมา ผู้ที่เหลือรอดก็ได้หยุดมือลง
แต่นั่นหาได้ส่งผลต่อสัตว์ปีศาจที่เป็นหุ่นเชิดโลหิตของคนเหล่านี้ไม่ ด้วยการที่มันได้กลิ่นเลือดอันแรงกล้า นี่ทำให้พวกมันพุ่งตรงออกไปนอกเวทีในทันทีที่กำแพงเขตแดนหายไป
“ฉิบ…วิ่ง” ผู้เข้าสอบแผนกปรุงยาและแผนกวัตถุวิญญาณไม่ได้มีพื้นฐานร่างกายที่แข็งแกร่ง เมื่อเห็นสัตว์ปีศาจพุ่งตรงเข้ามา พวกเขาก็เปลี่ยนท่าทีในบัดดล