ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 414 แผนกวิชายุทธ
บทที่ 414 แผนกวิชายุทธ
สี่ผู้อาวุโสที่ลอยอยู่บนฟากฟ้าเมื่อเห็นว่าสัตว์ปีศาจได้บ้าเลือดวิ่งเข้าหาศิษย์ผู้เข้าสมัครสอบแผนกอื่นนั้น นก็หาได้มีท่าทางเร่งรีบร้อนรนแต่อย่างใด เป็นเพียงตอนที่มีผู้สมัครสอบที่โชคร้ายสองคนเหี่ยวแห้งไปเพราะหุ่นเชิด โลหิตไปแล้วนั้น พวกเขาจึงลงมือกำราบหุ่นเชิดโลหิตเหล่านี้ให้ถอยกลับไปหาเจ้านายของพวกมัน
ส่วนผู้สมัครสอบผู้โชคร้ายแห้งเหือดไปนั้น หาได้มีใครสนใจไม่
จะมีก็เพียงความหวาดกลัวที่เกิดมาบนท่าทางของผู้สมัครสอบคนอื่น
ชายผ้าคลุมเขียวได้ยกฝ่ามือขึ้นมาพร้อมเปลวเพลิงได้ปรากฏบนร่างของคนทั้งสองและเผาไหม้จนเหลือเพียงขี้เถ้า
หลังจากนั้น ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตของสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าสิบกว่าคนก็ได้ปลดปล่อยสัตว์ปีศาจที่เป็นหุ่นเชิดโ โลหิตของแต่ละคนให้มาดื่มกินเลียซากศพและเลือดเนื้อจนเกลี้ยงเกลา หลังจากนั้นพวกเขาก็จากไป
นอกจากกลิ่นเลือดที่หลงเหลือนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วดูปกติดี
ในการสอบรอบนี้ จากผู้สมัครสอบสองหมื่นกว่าคน หลังเหลือเพียงหนึ่งร้อยสี่สิบเจ็ดคนเท่านั้นที่ได้กลายเป็นศิษ ษย์ของสำนักเต๋าใต้สวรรค์ชั้นฟ้า
ในตอนนี้ เฉินเฉียงได้จ้องมองไปยังศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตร้อยกว่าคนตรงหน้าราวกับรับรู้ถึงบางสิ่ง
เหตุผลที่ผู้อาวุโสเฟิงให้ผู้เข้าสมัครสอบแผนกหุ่นเชิดโลหิตสู้กันแบบพัลวันนั้น แม้เหตุผลจะดูเหมือนว่าผู้บ่มเพ พาะบนเส้นทางสายนี้จะแข็งแกร่งได้หลังจากต่อสู้กันแล้วนั้น แต่มันยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่พวกเขาไม่อยากจะเอ่ยถึ ง นั่นก็คือหลังจากเสร็จสิ้นศึกนองเลือดเช่นนี้แล้ว นอกจากศิษย์ที่ผ่านการคัดเลือกที่ถูกสั่งให้หยุดพัก ศิษย์แ แผนกหุ่นเชิดโลหิตของสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าเองก็สามารถยกระดับได้จากการกลืนกินซากร่างและเลือดเนื้อที่หลงเหลือ อจากการต่อสู้นี้ได้อีกด้วยโดยไม่ต้องลงแรงอะไร
โดยเฉพาะกับหุ่นเชิดโลหิตของชายผมแดงที่เขาเห็นก่อนหน้า จากที่เขาได้จับตาดู สัตว์ปีศาจของชายคนนี้ได้กินส สัตว์ปีศาจระดับหนึ่งไปสามตนจนมันเกือบจะข้ามเป็นระดับสองไปแล้ว นี่ไม่เพียงหมายความว่าสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าจะ ะได้รับศิษย์ที่มีความสามารถที่สูงล้ำ นี่ยังทำให้ศิษย์ที่ตนมีแข็งแกร่งขึ้นมาโดยไม่ต้องแม้ต่อต้องเสี่ยงชีวิตต่ อสู้
สำนักเต่าสวรรค์ชั้นฟ้าช่างเจ้าแผนการนัก
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดี ผู้อาวุโสของพวกเจ้าผู้นี้ยินดีต้อนรับพวกเจ้า”
“นับจากนี้พวกเจ้าเป็นศิษย์สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว”
“อีกสองวันหลังจากนี้ พวกเจ้ามาที่นี่อีกครั้งพร้อมป้ายคำสั่ง แล้วในทันทีที่พวกเจ้าได้รับป้ายคำสั่งใหม่ พวกเจ จ้าจะกลายเป็นศิษย์ภายในได้ในทันที และเมื่อแสดงป้ายนี้ให้ดู เจ้าจะมีที่พักภายในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าในทันใด ”
“หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ พวกเจ้าจงใช้เวลาพักผ่อนอยู่ที่เมืองชั้นนอกในสองวันนี้ให้เต็มที่ ต่อให้พวกเจ้าไม ม่อยาก แต่เด็กๆยังไงก็ต้องได้รับการพักผ่อนหลังจากผ่านศึกใหญ่มา ไปได้แล้วไป”
ถึงแม้ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนี้จะมีลักษณะท่าทางที่น่าหวาดหวั่นและน่าเกรงขามจนราวกับไร้ความรู้สึก แ แต่กับศึกใหญ่ที่ผ่านมานั้น มันก็ทำให้พวกเขาย่อมยินดียิ่งที่ได้รอดออกมา
นี่จึงทำให้ในทันทีที่ได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสเฟิงที่ลั่นออกมา ทุกคนที่ผ่านการสอบแผนกหุ่นเชิดโลหิตต่างก็มีท ท่าทีผ่อนคลายลง ท่ามกลางสายตาที่ตื่นตะลึงจ้องเขม็งจนน่ารำคาญของศิษย์แผนกอื่น ทำให้พวกเขากลับมาเคร่งขรึมได้อ อีกครั้ง
หลังจากเสร็จสิ้นการสอบแผนกหุ่นเชิดโลหิต การสอบเจ้าของแผนกวิชายุทธก็ได้เริ่มต้นในทันที โดยมีผู้อาวุโสตงเป็น คนจัดการ
“ผู้เข้าสมัครสอบแผนกวิชายุทธ การสอบเข้าแผนกวิชายุทธนั้น เมื่อเทียบกับแผนกหุ่นเชิดโลหิตแล้วข้าบอกได้เลย ยว่ามันมีความสุขกว่ามากที่พวกเจ้าได้เลือกสอบแผนกนี้ นั่นก็เพราะในแต่ละปี แม้จะมีอาการบาดเจ็บเหน็บกันบ้าง แต่ด้วยการเฝ้าระวังดูแลของพวกเรา พวกเจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน”
“และข้าเองก็กล้าจะบอกในตอนนี้เลยว่าในการสอบของแผนกวิชายุทธในแต่ละปีนั้นไม่เคยมีผู้สมัครได้ตกตาย”
ถึงแม้นี่จะเป็นการสอบในแผนกอื่น แต่มันก็ทำให้ผู้เข้าสอบทั้งสามแผนกนั้นผ่อนคลายออกมา
โดยเฉพาะกับผู้ที่จะสอบเข้าแผนกวิชายุทธ นั่นก็เพราะพวกเขาพึ่งจะเห็นฉากนองเลือดมาต่อหน้าต่อตา พวกเขานั้นเกรง งว่าหากพวกเขาต้องต่อสู้ถึงขั้นแผนกหุ่นเชิดโลหิต อย่าว่าแต่จะได้เข้าแผนกหุ่นเชิดโลหิตเลย แม้แต่ชีวิตก็ไม่มี โอกาสที่จะได้อยู่ต่อ
และสิ่งที่ผู้อาวุโสตงได้พูดต่อจากนี้ทำให้ผู้สอบเข้าทั้งสามแผนกต่างก็กระโดดโลดเต้นในทันทีเมื่อได้ยิน
“ข้าขอบอกข่าวดีให้พวกเจ้าได้รับรู้ไว้อีกอย่างหนึ่ง สำหรับผู้เขาสอบทั้งสามแผนกที่ไม่อาจสอบเข้าสำนักเต๋าส สวรรค์ชั้นฟ้าได้ พวกเจ้าก็อย่าพึ่งท้อแท้สิ้นหวังไป”
“ในเมื่อพวกเจ้านั้นมาถึงภาคกลางแล้ว พวกข้าย่อมไม่ปล่อยให้พวกเจ้ากลับไปโดยมือเปล่า”
“สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการคัดเลือก สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าได้ทำข้อตกลงร่วมกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ไว้ว่าจะให้พวกเ เจ้าได้เข้าไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์โดยการเยี่ยมเยือนวิหารศักดิ์สิทธิ์”
เมื่อสิ้นสุดคำพูดนี้ เหล่าผู้เข้าสอบต่างก็ไชโยโห่ร้องอย่างตื่นเต้นยินดี
“พี่สาวหยานเสวี่ย พี่ชายเฉินเฉียง พวกท่านได้ยินรึเปล่า ต่อให้ข้าไม่ได้เข้าร่วมสำนัก แต่การได้ไปเยี่ยมเยือน วิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียวนะ”
“วิหารศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนต่างก็ยึดมั่นเอาไว้ในใจ”
เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นยินดีของหยานเสวี่ย ใบหน้าของเฉินเฉียงกลับอดไม่ได้ที่จะเกรี้ยวโกรธ
เยี่ยมเยือนวิหารศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ
เหอะ
หากว่าคนเหล่านี้ได้ไปเยี่ยมเยือนที่นั่นข้าเกรงว่าพวกเขาคงจะไม่ได้เหยียบย่างออกมาเสียกระมัง
อย่างไรก็ตาม ด้วยคำพูดที่สวยหรูของผู้อาวุโสตงนี้ ไหนจะสถานะของวิหารศักดิ์สิทธิ์ในจิตใจของผู้คนนั่นอีก ต่อใ ให้เขาต้องตกตายเพราะพวกมัน ดีไม่ดีจะไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าพวกมันจะกล้าลงมือเหี้ยมโหดกับพวกเขาได้
และเมื่อเห็นว่าผู้เข้าสอบทุกคนมีกระจิตกระใจที่จะแข่งขันขึ้นมา ผู้อาวุโสตงก็ได้พูดเข้าเรื่องในทันที
“เอาล่ะ เริ่มการสอบแผนกวิชายุทธได้”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ผู้สมัครแผนกปรุงยาและผู้สมัครแผนกวัตถุวิญญาณต่างก็ถอยร่นออกไป
“การคัดเลือกศิษย์แผนกวิชายุทธยังเป็นการต่อสู้แบบพัลวัน”
“แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องเสียชีวิต สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าได้เตรียมอาวุธที่ทำจากไม้หลากหลายประเภทให้ผู้เข้ าสมัครสอบได้เลือกสรร”
“และเมื่อใดที่ผู้เข้าสมัครสอบคนใดสัมผัสกับเมือกสีทองที่อาบไว้บนอาวุธเหล่านี้ คนผู้นั้นจะถูกดีดออกมาจาก กสนามประลองในทันที”
“เฉกเช่นเดียวกับรอบก่อนหน้า มีเพียงร้อยคนเท่านั้นที่จะได้รับการคัดเลือกให้เข้าสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า”
“เอาล่ะ พวกเจ้าที่จะสอบเข้าแผนกไปรับอาวุธแล้วเข้าไปในสนามประลองแล้วเตรียมตัวได้เลย”
เมื่อผู้อาวุโสตงพูดจบ สนามประลองรูปทรงวงกลมก็ได้ปรากฏ
ไปๆมาๆแล้วกลายเป็นว่าผู้เข้าสอบแผนกวิชายุทธนั้นมีจำนวนเกือบสี่หมื่นคนเลยทีเดียว
จางหยวนและคนอื่นๆในกองกำลังเทียนเว่ยที่ปลอมรูปลักษณ์ต่างก็ได้รับข้อความจากเฉินเฉียงในขณะที่พวกเขากำลังเลือ อกอาวุธ
“หลังจากที่เข้าสนามประลองไปแล้ว ใครก็ตามที่ฝึกทักษะขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ได้แล้วให้กางระดับต่ำสุดไว้ซะ ะ จะได้ป้องกันให้เผลอไผลสอบตกไป”
เหตุผลที่เฉินเฉียงออกคำสั่งมาแบบนี้เป็นเพราะเขาเข้าใจกฎของผู้อาวุโสตงผู้นี้เป็นอย่างดี
ในสนามประลองแคบๆที่มีผู้คนกว่าสี่หมุนคนเนี่ยนะ
ต่อให้ไม่ต้องสู้ก็แทบจะเหยียบเท้าตายกันอยู่แล้ว
ถึงแม้ด้วยจำนวนนั้นดูเหมือนว่าสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าจะมีชื่อเสียงในแผนกวิชายุทธกว่าสำนักเต๋าใดๆ แต่ในความจร ริงนั้น วิธีการคัดเลือกศิษย์ด้วยวิธีการนี้หาได้เป็นคัดเลือกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดได้ไม่
ในเหล่าคนของกองกำลังเทียนเว่ยทั้งสิบคนนั้น มีเพียงหนี่เฟิง จางหยวนและกัวเหลียงนั้นที่สามารถปลดปล่อยขอบเขต ตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ได้ ส่วนคนอื่นนั้นแม้จะอยู่ในระดับราชาขุนพล แต่พวกเขาก็ยังมีความสามารถเพียงพอที่จะหลบ รอดห่าอาวุธที่รายรอบมาจากทั่วทิศทางได้
หากว่ากันตรงๆแล้ว ต่อให้คนที่มีระดับการบ่มเพาะที่อ่อนด้อยที่สุดอย่างหลางซานเอ๋อใช้แรงออกมาอย่างเต็มกำลังก ก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนในกองกำลังผ่านการคัดเลือกได้โดยไม่ต้องทำอะไร
เพียงแค่นั้นจะทำให้ระดับการบ่มเพาะของเขาถูกเปิดเผยในทันที
ด้วยการที่ผู้สอบเข้าเหล่านี้มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับขุนพลขั้นต้นไม่ก็ขั้นกลางเพียงเท่านั้น ระดับการบ บ่มเพาะของคนเหล่านี้ยังถือว่าห่างจากหลางซานเอ๋อมากนัก
แถมกฎนี้ยังบอกเพียงว่าแค่ผู้เหลือรอดก็ถือว่าผ่านได้แล้ว
หลังจากเฉินเฉียงถอยร่นออกมาแล้ว เหล่าผู้เข้าสอบแผนกวิชายุทธก็ถูกส่งเข้าไปในลานประลองที่มีรัศมีอยู่ที่ห้ ากิโลเมตร
และเพื่อไม่ให้การช่วยเหลือนั้นล่าช้า กำแพงเขตแดนจึงไม่ได้ถูกกองออกในการสอบแผนกนี้
เรียกได้ว่ามันต่างจากการประลองของอีกสามแผนกอยู่เหมือนกัน
เมื่อเห็นว่าผู้เข้าสอบทุกคนเตรียมพร้อมแล้ว ผู้อาวุโสตงได้พูดออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น “ดี การสอบคัดเลือกศิ ษย์แผนกวิชายุทธได้เริ่มขึ้น ณ บัด นี้”