ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 418 เข้าสู่วิหาร
บทที่ 418 เข้าสู่วิหาร
แม้หยานเสวี่ยหมายที่จะให้เฉินเฉียงหยุดยั้งเม่ยซินไม่ให้ไปวิหารศักดิ์สิทธิ์ แต่เฉินเฉียงนั้นกลับไม่ได้คิดหยุดเธอแต่อย่างใด
นั่นก็เพราะหากว่าเขาเป็นเม่ยซินที่ไม่ได้รับรู้เรื่องราว เขาเองก็คงไม่มีทางปล่อยโอกาสดีอันนี้ไปเหมือนกัน
ตราบใดที่คนคนนั้นเดินบนเส้นทางผู้บ่มเพาะ ย่อมไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่อยากจะพลาดโอกาสเข้าไปที่นั่น
ต่อให้ไม่ได้กลายเป็นคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ แต่เพียงได้จ้องมองเห็นก็ยังดีต่อใจ
แน่นอนว่าต่อให้ผู้คนที่เข้าไปแล้วล้วนแต่ตกตาย เฉินเฉียงก็ไม่ยอมปล่อยให้เม่ยซินตายไปอย่างแน่นอน
เม่ยซินนั้นไม่เพียงจะเป็นน้องสาวต่างสายเลือดของหยานเสวี่ย แต่เธอเป็นคนที่เจิ้งยี่หมายปองไปแล้วในตอนนี้
หากว่าเจิ้งยี่รับรู้เม่ยซินจะไปพบเจออันตราย เขาคงจะรีบพุ่งตรงไปวิหารศักดิ์สิทธิ์และคิดล้างบางพวกมันเป็นแน่น
เพื่อคนที่รักของตน เพื่อพี่น้องของตน เฉินเฉียงนั้นจึงคิดจะตามเม่ยซินไปคุ้มครองเธอด้วยตนเอง
เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงก็บอกหยานเสวี่ยไป
-ไม่นะ มันอันตรายเกินไป หากเจ้าไปข้าก็จะไปด้วย- หยานเสวี่ยตอบปฏิเสธออกมาอย่างเสียงแข็ง
ถึงแม้ว่าหยานเสวี่ยไม่อยากจะให้เม่ยซินประสบพบเจอภัยอันตราย แต่เมื่อเทียบกับชีวิตของเฉินเฉียงแล้ว เธอย่อมไม่เห็นเรื่องอื่นอยู่ในสายตา
เฉินเฉียงเองก็รีบพูดปลอบเธอออกไปในทันที –หยานเสวี่ย ไม่ต้องกังวล ก่อนหน้านี้ข้าประมาทไปเพียงเท่านั้น แต่ในตอนนี้ ด้วยขอบเขตเจตจำนงของข้าแล้วไม่มีใครสามารถทำอะไรข้าไ ได้อีก-
-ยิ่งไปกว่านั้นคือ ข้าจะปล่อยโอกาสที่ไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์เปิดโอกาสให้ข้าเข้าไปฉกฉวยสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตดีๆแบบนี้ได้เยี่ยงไรกัน-
-ไม่ต้องกังวลไป ไม่เพียงข้าจะกลับมาอย่างปลอดภัย ข้าจะพาเม่ยซินกลับมาหาเจ้าได้อย่างแน่นอน-
หลังจากสังเกตเห็นว่าหยานเสวี่ยนั้นไม่มีท่าทีปฏิเสธหรือคิดตามอีก เฉินเฉียงก็หายตัวออกไปอย่างเงียบงัน ก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งด้วยรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป และยืนอยู่เคียงข้างเ เม่ยซินตรงที่อยู่ของผู้สอบตกจากแผนกปรุงยา
ระบบการบ่มเพาะบนเส้นทางปรุงยาและวัตถุวิญญาณของโลกปีศาจนั้นเรียกได้ว่าเป็นไปแนวทางเดียวกันกับบนโลกมนุษย์ แต่จะแตกต่างกันตรงที่ทั้งสองเส้นทางนี้ต่างมุ่งเน้นในการค้ำชู ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต
และนี่จึงทำให้วิธีการคัดเลือกศิษย์นั้นไม่แตกต่างกับแผนกปรุงยาสักเท่าไหร่ เพียงแต่การประลองของเขาไม่ได้มีเรื่องวุ่นวายแต่อย่างใด และท้ายที่สุด มีผู้ที่สอบผ่านเข้าแผนกไปหน นึ่งร้อยยี่สิบคน
และนี่ถือว่าเป็นการจบการสอบเข้าสำนักเต่าสวรรค์ชั้นฟ้าลงอย่างเป็นทางการ
จากผู้เข้าสอบคัดเลือกหนึ่งแสนคน มีเพียงสามร้อยหกสิบหกคนที่ได้รับการคัดเลือกและกลายเป็นศิษย์สำนักเต๋าสวรรคชั้นฟ้า
นอกจากผู้เข้าสอบสองหมื่นกว่าคนที่ตายไปตอนการสอบเข้าแผนกหุ่นเชิดโลหิตแล้ว ผู้เข้าสมัครสอบที่เหลืออีกเจ็ดหมื่นคนที่สอบตกนี้ได้ตั้งแถวกันเป็นสามแถว พวกเขาเหล่านี้ไ ไม่ได้แสดงออกมาซึ่งความโศกเศร้าเสียใจแต่อย่างใด เพียงแค่มองตรงไปยังผู้บ่มเพาะระดับราชาเหนือราชาสี่คนที่ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้า
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะสอบเข้าไม่ได้อย่างที่ใฝ่ฝันไว้ แต่พวกเขาก็ยังโชคดีกว่าศิษย์ที่สอบผ่านเข้าไปอยู่ดี
นั่นก็เพราะพวกเขาได้เหยียบย่างเข้าไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้าคนที่สอบผ่านเข้าไปยังสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าได้อย่างแน่นอน
เมื่อคิดว่าจะได้เข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนต่างใฝ่ฝันถึง มันทำให้ทุกคนนั้นอยากที่จะอดกลั้นความตื่นเต้นยินดีเอาไว้เพียงในใจได้อีก มีแม้กระทั่งหลายๆคนที่เอ่ยปากพูด ดจะถากถางเพื่อนพ้องของตนที่สอบผ่านเสียด้วยซ้ำ
“ศิษย์พี่หลู ศิษย์น้องผู้นี้คงต้องขอล่วงหน้าไปก่อน ข้านั้นได้เยี่ยมเยือนวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้ก่อนท่านแล้วล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ศิษย์น้องโจว พวกเราต้องแยกจากกันตรงนี้แล้วไม่รู้ว่าจะได้พบเจอกันอีกเมื่อไหร่ เอาเป็นหลังจากที่ข้ากลับจากการเยี่ยมชมวิหารศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะกลับมาเจอเจ้าก่อนที่จะแยกจาก กกันจริงๆแล้วกัน”
“ศิษย์พี่ หากว่าข้าได้มีโอกาสแสดงฝีมือการปรุงยาของข้าต่อหน้าคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ด้วยระดับฝีมือของข้าแล้วนั้นอาจจะถูกเลือกเข้าวิหารตรงๆเลยก็ได้นา”
ผู้อาวุโสของสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าทั้งสี่ได้มองหน้ากันไปมา ก่อนที่จะสัมผัสถึงคลื่นพลังบางอย่างจากด้านนอกของลานประลองก็พบเห็นผู้คนในชุดคลุมสีดำ และเกราะคลุมที่ไหล่นั้น นมีหัวหมาป่าประดับประดาอยู่แปดสิบคน โดยทั้งแปดสิบคนนี้ได้เดินเชิดหน้ายืดอกเข้ามายังลานประลองแห่งนี้
ในหมู่คนทั้งแปดสิบคนนี้ มีสิบกว่าคนที่นั่งอยู่บนหลังนกยักษ์สิบกว่าตัวลอยอยู่บนฟากฟ้า
ผู้อาวุโสเฟิงได้ผายมือไปที่คนกว่ายี่สิบคนที่พึ่งจะมาถึงแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าพวกเจ้านั้นพอจะรับรู้ได้ถึงตัวตนของคนเหล่านี้ได้แล้วสินะ”
“ถูกต้อง พวกเขาคือผู้แทนจากกองโจรหมาป่า”
“และพวกเขาจะเป็นคนนำพาพวกเจ้าไปเยี่ยมเยือนวิหารศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้”
“หรือก็คือ พวกเจ้า จะได้รับเกียรติโดยผู้แทนจากกองโจรหมาป่าที่เรื่องลือนาม เป็นผู้นำพาพวกเจ้าไปยังเขาโรคา”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหล่าผู้แพ้พ่ายในการสอบเข้าครั้งนี้ต่างก็ก้มหัวลงแล้วพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“ขอทักทายท่านผู้แทนจากวิหารศักดิ์สิทธิ์”
ผู้นำกลุ่มผู้แทนได้เชิดหน้าแล้วพยักหน้ารับอย่าโอหัง ก่อนที่จะมองไปที่ผู้ที่สอบตกเกือบแปดหมื่นคนตรงหน้า พร้อมดวงตาที่ฉายแววยินดียิ่งออกมา
“พวกเจ้าต้องขอบคุณวิหารศักดิ์สิทธิ์นะ ที่พวกเขานั้นต้องการให้แม้แต่ผู้ที่มิอาจสอบเข้าได้ก็ยังได้รับรู้ว่าตนเองมีค่าแค่ไหนน่ะ”
“ผู้ใดที่อยากจะได้รับรู้ถึงคุณค่าของตนเองก็จงก้าวเดินขึ้นหลังนกยักษ์ไป”
“สำหรับใครที่ไม่ต้องการ ก็เดินจากไปได้เลย”
ถึงแม้ผู้แทนจากหอกองโจรหมาป่านี้จะอยากกวาดผู้คนเหล่านี้แล้วรีบจากไปในทันทีก็ตาม แต่เพื่อการสร้างภาพลักษณ์ที่สูงล้ำของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ผู้แทนคนนี้จึงกล่าวเสนอทางเลือกอ ออกมา
แน่นอนว่าเพียงแค่สิ้นคำพูด ผู้ที่สอบตกทุกคนต่างก็พุ่งตรงขึ้นนกยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าไปอย่างไม่ลังเล
เมื่อผู้สอบตกได้ขึ้นไปจนครบทุกคนแล้ว ผู้อาวุโสแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ก็ได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ส่วนผู้คนที่สอบผ่านกว่าสามร้อยคนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปด้วยความอิจ จฉา แต่ก็ทำได้เพียงมองตามผู้คนที่อยู่บนหลังนกยักษ์ที่กำลังบินจากลา ตรงไปยังเขาโรคา
-หยานเสวี่ย พาจางหยวนและคนอื่นๆกลับไปหอการค้าเหมันต์จันทราไปก่อน ส่วนเม่ยซินและข้าจะตามไปเจอพวกเจ้าทีหลัง-
ในตอนที่มองเฉินเฉียงจากไปจนพ้นสายตา เสียงของเขาก็ดังขึ้นในจิตใต้สำนึกของหยานเสวี่ย
เมื่อนกยักษ์บินลับขอบฟ้าไป หยานเสวี่ยก็รีบส่งข้อความไปหาจางหยวนและคนอื่นๆในทันที
ที่หอการค้าเหมันต์จันทรา เมื่อเจิ้งยี่รับรู้ว่าเม่ยซินสอบตก เขาดันยิ้มร่าออกมาในทันที
“เฮ้ เจ้าว่าเจิ้งยี่มันบ้าไปแล้วรึยัง เม่ยซินสอบตกแทนที่จะเสียใจ ดันดีใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น”
“เอาน่า หลางซานเอ๋อ ข้าก็รู้ว่าเจ้านั้นมันไม่ใช่คนดี ไอ้สิ่งที่เจ้าพูดออกมานี่มันแสดงว่าเจ้าอิจฉาเจิ้งยี่ที่จะมีสาวงามเคียงกายตลอดเวลาเสียมากกว่าละมั้ง แต่ก็เอาเถอะนะ ะ ด้วยความสามารถของเจ้า สักวันหนึ่ง เจ้าเองก็คงจะหาได้บ้างสักคน”
“ชิ ก็ไม่เห็นจะยากสักหน่อย ยังไงซะข้าก็เป็นศิษย์สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าแล้ว อีกไม่นานข้าก็เกี้ยวสาวได้เองแหละ”
มันก็จริงในเรื่องที่การที่เม่ยซินสอบตกนั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเกิดขึ้น แม้แต่จางหยวนและคนอื่นๆเองในตอนที่เห็นว่าเม่ยซินขึ้นหลังนกยักษ์นั้นก็อดเป็นห่วงจนแทบจะพุ่ง งตามไปไม่ได้เหมือนกัน หากไม่ใช่เพราะหยานเสวี่ยส่งข้อความมาบอก พวกเขาเองก็คงจะลอบตามไปด้วยแล้ว
อย่างไรก็ตาม เจิ้งยี่และหวังต้าลู่ไม่ได้รับรู้ในเรื่องนี้
ในตอนที่คนในกองกำลังเทียนเว่ยประชุมกันก่อนหน้า เจิ้งยี่ไม่ได้อยู่ด้วยเพราะต้องพาเม่ยซินออกไปเที่ยวเพื่อหาโอกาสให้พวกเขาได้พูดคุย ดังนั้น เขาย่อมไม่ได้รับรู้เรื่องราวเ เกี่ยวกับผู้สอบตกที่ต้องได้พบเจอนับจากนี้ว่าพวกเขาล้วนแล้วแต่ต้องตกตาย
และเพื่อให้เจิ้งยี่ไม่ต้องกังวลเกินไป หลางซานเอ๋อและคนอื่นๆจึงหาเรื่องมากลบเกลื่อนความกังวลของพวกเขาไม่ให้เจิ้งยี่ได้เห็น
เหตุผลหลักๆก็คือเป็นเพราะเฉินเฉียงเป็นคนติดตามเม่ยซินไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ด้วยตนเอง มีเรื่องอะไรที่ทำให้พวกเขาต้องกังวลเกี่ยวกับเม่ยซินได้อีกล่ะ
ในใจของพวกเขานั้นไม่มีสิ่งใดที่เฉินเฉียงนั้นไม่อาจจะทำได้
“เหอเหอเหอ มีกัปตันไปด้วย เม่ยซินย่อมปลอดภัย” เจิ้งยี่พูดออกมาพลางแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว
“เข้าใจล่ะ เจิ้งยี่ เป็นเจ้าไม่เชื่อใจในตัวกัปตันสินะ”
“ไม่ว่าจะเป็นกัปตันหรือเม่ยซิน ทั้งสองคนก็เป็นคนที่เอาใจใส่เจ้าไม่ใช่รึไงกัน”
เมื่อพูดจบ หลางซานเอ๋อก็ได้เหลือบมองไปยังหยานเสวี่ยประหนึ่งจะบ่งบอกว่าให้ดูเธอเป็นตัวอย่างสิฟะ
แต่พวกเขานั้นหารู้ไม่ว่า แม้หยานเสวี่ยจะเชื่อมั่นในตัวเฉินเฉียงขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อนึกถึงว่าเฉินเฉียงนั้นต้องไปเผชิญหน้าศัตรูในใจกลางถิ่นของพวกนั้น ก็ยังอดที่จะก กังวลไปไม่ได้เหมือนกัน