ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 428 จิตใจที่อ่อนโยน
บทที่ 428 จิตใจที่อ่อนโยน
สิ่งที่เจิ้งยี่ได้เห็นนั้น…….
มันทำให้เขารู้สึกราวกับหัวใจของตนถูกกรีดเฉือนด้วยมีดซ้ำไปซ้ำมา
ในโลกใบเล็กของเขา เม่ยซินได้นั่งยองๆอยู่ในทุ่งหญ้าที่มีขนาดประมาณสิบเอเคอร์ ไม่สิ หากจะให้บอกอย่างถูกต้องที่สุดคือเธอนั่งยองๆไปในทุกก้าวทั่วทุ่งหญ้าทั้งสิบเอเคอร์น นี้
ทุกๆครั้งที่เธอได้ผ่านต้นหญ้าน้อยๆ เธอจะรดน้ำลงไปราวกับเด็กน้อยที่หมายหมั้นในการปลูกดอกไม้ พร้อมปากที่พูดพึมพำออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
“ข้าขอโทษ ข้าขอโทษจริงๆ”
และน้ำที่ใช้รดพวกมันนั้นก็คือหยดน้ำตาที่ไหลรินออกมา
มันกลับกลายเป็นว่า…
เม่ยซินนั้นหาได้ลืมเลือนประสบการณ์อันเลวร้ายที่เธอได้พานพบที่วิหารศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่น้อย
ความเจ็บปวดที่ได้รับมานี้มันฝังรากลึกในจิตใจของเธออย่างถอนไม่ขึ้น เป็นเพียงตอนที่เธออยู่คนเดียวในเงามืดแบบนี้เท่านั้นที่เธอพอจะระบายความเจ็บปวดของเธอออกมาได้ แม้แต่ ตอนอยู่กับเจิ้งยี่ที่เธอเชื่อใจอย่างที่สุด แต่มันก็ไม่อาจช่วยเธอลบเลือนความเจ็บปวดนี้ไป
ครึ่งวันผ่านไป เจิ้งยี่ยังคงมองจ้องไปที่ใบหน้าที่น้ำตานองของเม่ยซินด้วยน้ำตาที่นองหน้าไม่ต่างกันตลอดระยะทางที่เธอผ่านไปกว่าสิบเอเคอร์ หลังจากนั้น เม่ยซินก็ได้ตะโกนออ อกมาอย่างเบิกบานใจ “พี่ใหญ่เจิ้งยี่ ให้ข้าออกไปได้แล้วค่า”
หลังจากปาดน้ำตาของตน เจิ้งยี่ก็ได้ยิ้มออกมาแล้วพาเม่ยซินกลับสู่โลกภายนอก
“ฮื้ม พี่เจิ้งยี่เป็นอะไรคะ”
เม่ยซินที่ไวต่อเรื่องแบบนี้ก็ได้ยื่นมือที่แสนนุ่มนวลมาวางไว้ข้างปาก ก่อนจะโยกหัวไปมาอย่างสงสัยใครรู้
เจิ้งยี่สูดหายใจเข้าลึกไปทีหนึ่ง ก่อนจะโอบกอดเม่ยซินไว้แน่น
ในตอนที่เม่ยซินอยู่ในโลกใบเล็กของเจิ้งยี่ สิ่งที่เม่ยซินทำนั้นทำให้เจิ้งยี่นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เขาได้ประสบพบเจอมาในตอนเด็ก เหตุการณ์เฉียดตายต่างๆ เรื่องร้ายดี ที่เกิดขึ้นมา แม้แต่เรื่องที่โชคชะตาของเขาต้องพลิกพลันจากดีเป็นเลวร้าย ก็ยังอดที่จะคิดถึงไม่ได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาก้าวเข้าสู่ระดับราชา เขาก็รับรู้ได้ว่า ต้นเหตุที่ทำให้โชคชะตาของพลิกพลัน หรือก็คือแผ่นแก่นพลังงานที่ถูกฝังอยู่ในหัวสมองของเขานั้นได้มลายห หายสิ้นไปแล้ว
หากว่ากันตรงๆแล้ว ช่วงเวลาที่เขาใช้ไปกับเม่ยซินนั้นช่วยให้เขาลืมเลือนความกังวลต่างๆไปจนหมดสิ้นด้วยซ้ำ
แต่เมื่อรับรู้ว่าประสบการณ์ที่เลวร้ายที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ได้สร้างขึ้นไว้ในใจของเม่ยซินยังคงอยู่ นี่ทำให้เขาเจ็บปวดจนทนไม่ไหวอีกต่อไป
โดยเฉพาะหลังจากได้เห็นทุกการกระทำของเม่ยซินตอนที่อยู่ในโลกใบเล็กของเขาแล้ว มันทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดอย่างไม่หยุดหย่อนราวกับหัวใจที่มีเลือดไหลซึมอย่างไม่หยุด
หากผู้ชายไม่อาจปกป้องหญิงที่รักได้ จะมีชีวิตไปอยู่เพื่อสิ่งใด
เมื่อคิดได้แบบนี้ เจิ้งยี่ก็ได้วางมือไปบนไหล่ของเม่ยซินอย่างละมุน พร้อมกับพูดออกมาด้วยใบหน้าที่จริงจัง “เม่ยซิน ทำไมเราไม่ไปเที่ยวเล่นกันสักหน่อยล่ะ”
เม่ยซินกะพริบตาปริบๆแล้วถามออกมา “แล้ว….พวกเราจะไปไหนกันล่ะคะ”
“ทั่วทั้งห้าภาคนี้มีเมืองอยู่นับพัน เราก็แค่ไปเดินดูทั้งหมดเพียงเท่านั้น”
…..
สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า
เฉินเฉียง หยานเสวี่ยและคนอื่นๆได้เข้ามาอยู่ในสำนักได้กว่าครึ่งเดือนแล้ว
ที่นี่แตกต่างจากสำนักเต๋าใต้บาดาล สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าไม่มีการแบ่งแยกศิษย์ในศิษย์แนก มีเพียงการแบ่งระดับของศิษย์ออกเป็นสามระดับจากต่ำไปสูง
แต่ถึงแม้จะเป็นศิษย์ที่อยู่ในระดับที่ต่ำชั้นที่สุด แต่พวกเขาก็ยังสามารถเข้าถึงทุกสิ่งในสำนักเต๋าแห่งนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือที่นี่ยังเปิดโอกาสให้ศิษย์เข้าไปพูดคุยปรึกษ ษาหารือกับผู้อาวุโสของสำนักได้ตราบใดที่ผู้อาวุโสคนนั้นมีเวลาให้ หรือแม้แต่การรับศิษย์ตรงก็ยังไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับขั้นศิษย์
แต่ด้วยการที่ในครั้งนี้แผนกปรุงยานั้นได้รับศิษย์เข้ามาได้เพียงสองคน และเฉินเฉียงและหยานเสวี่ยนั้นต่างก็เลือกปิดประตูฝึกตนฝึกฝนการปรุงยาด้วยตนเอง นี่ทำให้ผู้อาวุโ โสในแผนกปรุงยาต้องปวดเศียรเวียนเกล้าไปตามๆกัน
ส่วนเจิ้งยี่และคนอื่นๆนั้น ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความทระนงและยึดมั่นถือมั่นในตัวเฉินเฉียงและอาจารย์ในโลกของตน มีหรือที่พวกเขาจะทำตัวเคารพผู้อาวุโสในสำนักเต๋าสว วรรค์ชั้นฟ้าพันธุ์นี้กัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่เฉินเฉียงนั้นย้ำเตือนอยู่บ่อยครั้งเกี่ยวกับการห้ามไม่ให้เผยระดับการบ่มเพาะที่แท้จริงของตนออกไป นี่ทำให้คนที่กระวีกระวาดที่สุดอย่างหลางซานเอ๋อ กัวเหลียง และอีกสองสามคนทำได้เพียงอยู่อย่างไม่ให้วุ่นวายมากนัก
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ต้นไม้จะยอมหยุดนิ่ง แต่สายลมนั้นหาได้หยุดตามไม่
สำหรับสำนักเต๋าที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลกใบนี้ การหยุดนิ่งไม่ให้มีเรื่องมีราวได้นั่นถึงเรียกว่าแปลกประหลาด
โดยเฉพาะกับศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตที่มีผู้คนจากห้าภูมิภาค ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าเคล็ดวิชาการบ่มเพาะและความเป็นอยู่ที่ผิดแผกแตกต่างจากอีกสามแผนกอย่างสิ้นเชิง
ถึงแม้ว่ายามที่คนเหล่านี้มาอยู่ที่สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าจะถูกชุบเลี้ยงเป็นอย่างดีก็ตาม
แต่การที่ศิษย์ทั้งสี่แผนกต้องอยู่ร่วมกัน เป็นธรรมดาที่จะกระทบกระทั่ง
ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ศิษย์ภายในแต่ละแผนกเองก็ยังหาโอกาสต่อสู้กันอยู่บ่อยครั้ง
ที่สำคัญไปกว่านั้น
ทุกคนต่างก็รับรู้ว่าศิษย์ของทั้งสี่แผนกนี้ ศิษย์ที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดนั้นย่อมหนีไม่พ้นศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตและศิษย์แผนกวิชายุทธ
และนี่จึงทำให้ศิษย์ทั้งสองแผนกเผชิญหน้ากระทบกระทั่งกันอย่างบ่อยครั้ง
หากศิษย์แผนกวัตถุวิญญาณและศิษย์แผนกปรุงยาได้มีเรื่องกับศิษย์สองแผนกนี้ สิ่งเดียวที่รอคอยอยู่นั่นก็คือความตายเท่านั้น
ยังดีที่ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตและแผนกวิชายุทธต่างก็รับรู้ดีว่าศิษย์ของทั้งสองแผนกมีระดับการบ่มเพาะไม่ได้สูงอะไรมาก แถมทั้งสองแผนกนั้นต่างก็เป็นผู้คอยส่งเสริมค้ำชู อีกสองแผนกอยู่อย่างไม่ขาด นี่จึงทำให้เรื่องราวส่วนใหญ่จบลงแค่การปะทะกันระหว่างแผนกหุ่นเชิดโลหิตและแผนกวิชายุทธเท่านั้น
และนี่เองก็เป็นผลให้มีน้อยคนนักที่จะกล้าหาเรื่องกับศิษย์แผนกปรุงยาและแผนกวัตถุวิญญาณ
แต่อย่างไรก็ตาม แม้มันจะยากยิ่งแต่ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้
ยกตัวอย่างเช่นการปะทะกันระหว่างศิษย์ระดับสองและระดับหนึ่งของแผนกปรุงยา
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าในหมู่ศิษย์ทั้งสี่แผนกนี้ ศิษย์หญิงนั้นส่วนใหญ่จะอยู่ในแผนกปรุงยาไม่ก็แผนกวิชายุทธนี่อีก
ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนนี้ก็มีสาวงามนางหนึ่งที่พึ่งจะเข้ามาเป็นศิษย์ระดับสามในแผนกปรุงยา แถมเธอนั้นยังงามงดเหนือล้ำกว่าสาวใดในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า…………แน่นอนว่าส สาวงามนางนั้นก็คือหยานเสวี่ย
ไม่เพียงรูปลักษณ์ที่งดงามของหยานเสวี่ยจะไปต้องตาต้องใจศิษย์ระดับสองและระดับหนึ่งของแผนกปรุงยา แม้แต่ศิษย์แผนกอื่นเองก็ยังหมายตาเธอไว้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้เลยสักนิดว่าหยานเสวี่ยที่พวกเขาหมายตานั้นเป็นดาวเพชฌฆาตที่สามารถนำพาความตายมาให้พวกเขาพบเจอได้ทุกเมื่อ
ยิ่งไปกว่านั้นคือ หยานเสวี่ยนั้นยังมีเทพคุ้มครองอยู่ไม่ห่างกาย นั่นก็คือ เฉินเฉียง
หลังจากผ่านการตรวจสอบและพูดคุยกันระหว่างเขาและจางหยวนรวมถึงคนอื่นๆที่อยู่ในแผนกวิชายุทธ เฉินเฉียงก็ได้ทำความเข้าใจเรื่องราวในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้ามากขึ้นพอสมควร
ในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า ศิษย์แต่ละแผนกแบ่งออกเป็นสามระดับขึ้น
ยกตัวอย่างแผนกวิชายุทธ
ศิษย์ที่มีระดับการบ่มเพาะขุนพลขั้นกลางส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับสาม ศิษย์ระดับสองจะมีผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ตั้งแต่ขุนพลขั้นกลางไปจนถึงระดับราชา ส่วนศิษย์ระดับหนึ่งนั้ นล้วนแล้วมีแต่ระดับราชา ในแต่ละแผนกก็มีการแบ่งระดับขั้นไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่นัก
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ศิษย์แต่ละคนจะมีเวลาในการศึกษาในแต่ละระดับขั้นเป็นเวลาหนึ่งปี หลังจากนั้นใครก็ตามที่ไม่มีคุณสมบัติดีพอก็จะไม่อาจเลื่อนระดับขั้นได้ ส่วนศิษย์ที่อยู่ใน นระดับหนึ่งนั้นหากมีคุณสมบัติเพียงพอก็จะถูกรับเลือกให้เข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์
ในทุกปีจะมีศิษย์จำนวนหนึ่งจากทุกแผนกที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ และอย่างน้อยที่สุด จำนวนที่ได้รับการคัดเลือกก็จะมีจำนวนยี่สิบคนเป็นอย่างน้อย แต่ก็ยังม มีตำแหน่งศิษย์เสนอชื่อของแผนกวิชายุทธแยกออกมาต่างหากอีก
มันก็คือตำแหน่งที่ต้องไปอยู่ที่กำแพงแสงเป็นเวลาห้าปี หลังจากนั้นจึงมีโอกาสได้เข้าเป็นคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์อย่างเต็มตัว
และนี่เองก็เป็นเหตุผลทำให้ศิษย์แผนกวิชายุทธจึงถือได้ว่าเป็นอันดับสองของสำนักสวรรค์ชั้นฟ้ารองลงมาจากแผนกหุ่นเชิดโลหิต
ส่วนแผนกปรุงยาที่เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยอยู่นี้ ตราบใดที่ทั้งสองเลื่อนระดับขั้นเป็นระดับหนึ่ง ทั้งสองย่อมถูกคัดเลือกให้เข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้โดยตรง
อย่างไรก็ตาม จำนวนของศิษย์ผู้ที่จะขึ้นไปยังอันดับหนึ่งในแต่ละปีนั้นก็ช่างน้อยนิดเพียงเท่านั้น
อย่างเช่นศิษย์แผนกปรุงยา มีเพียงผู้ที่ปรุงยาระดับห้าได้สำเร็จเท่านั้นถึงจะขึ้นไปอยู่ในระดับหนึ่งได้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา มีศิษย์เพียงนับนิ้วได้เท่านั้นที่สามารถปรุงยาระดับห้าได้
ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตเองก็มีสถานะพิเศษไม่แตกต่างกัน
นั่นก็เพราะในแต่ละปีจะมีเพียงหนึ่งเดียวที่จะได้รับเลือกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ โดยหุ่นเชิดโลหิตของตนผู้นั้นจะต้องอยู่ในระดับราชา และเพียงผ่านเกินข้อนี้ ต่อให้คนคนนั้น จะอยู่ในระดับสามก็ยังถูกรับเขาวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้โดยตรง
แน่นอนว่านี่เองก็เป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อเพียงเท่านั้น
นั่นก็เพราะในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าแห่งนี้ ไม่เคยมีศิษย์คนใดที่เคยมีหุ่นเชิดโลหิตอยู่ในระดับราชาตั้งแต่ตอนที่เป็นศิษย์อยู่ในระดับสามมาก่อน
เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม การฝืนยกระดับหุ่นเชิดโลหิตให้มีระดับเหนือกว่าผู้เป็นนายนั้นจะทำให้เกิดการขัดขืนต่อต้านจากหุ่นเชิดโลหิต และนั่นจะทำให้เปลี่ยนจากการที่เป็นนาย กลายเ เป็นอาหารของมันไปเพียงเท่านั้น