ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 430 เกรี้ยวกราด
บทที่ 430 เกรี้ยวกราด
เมื่อเห็นว่าผู้คนมารุมล้อมไม่ให้ตนเองไป เฉินเฉียงถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้แล้วถามออกมา “นี่มันหมายความว่ายังไง”
“หมายความว่ายังไง เหอะ”
คนที่ทำตัวสั่งการผู้คนอยู่นี้มีชื่อว่าเย่เตียน ถึงแม้ว่าเขานั้นจะเป็นเพียงศิษย์ระดับสองเหมือนคนอื่นๆ แต่เบื้องหลังของเขาเองก็ไม่ใช่ธรรมดาทั่วไป
ไม่เพียงเขานั้นจะมีความสามารถด้านการปรุงยาที่โดดเด่น เขายังมีสายสัมพันธ์กับศิษย์ระดับสองของแผนกวิชายุทธและแผนกหุ่นเชิดโลหิตอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
นี่จึงทำให้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คิดอยากจะมีเรื่องกับเขา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นเพียงศิษย์ระดับสาม นี่จึงทำให้เขานั้นหวังจะกดดันเฉินเฉียงโดยการพาเหล่าศิษย์ระดับสองของแผนกมาเฝ้าคอยเฉินเฉียงอยู่ถึงหน้าบ้าน
แต่เขาไม่คิดว่าหลังจากเฝ้ารอเพียงสองวัน เฉินเฉียงก็ปรากฏกายออกมา
หลังจากเหลือบมองไปที่เฉินเฉียงอย่างเย็นชา เย่เตียนได้ชี้นิ้วไปที่จดหมายท้าประลองแล้วตะคอกออกมา “ไอ้เด็กเวร ข้าขอแนะนำให้เจ้าเก็บจดหมายท้าประลองขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
“เจ้าคงไม่รู้สินะว่าจดหมายที่เจ้าไม่แยแสนั่นมันเป็นของศิษย์ระดับไหน แม้แต่ศิษย์ระดับหนึ่งยังมีเลยนะเว้ย”
“คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นตัวเต็งที่จะได้เข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ในปีนี้”
“การที่แกเมินเฉยต่อคนระดับนี้มันไม่ได้ต่างไปจากแส่หาความตายเลยสักนิด”
“ดังนั้น ข้า เย่เตียนผู้นี้จึงได้หวังดีเอ่ยปากกล่าวเตือนเจ้าไว้”
“พูดจบรึยัง” เฉินเฉียงถามออกมาด้วยใบหน้าที่แหนงหน่าย
“ห้ะ” เย่เตียนอุทานออกมาอย่างไม่เข้าใจ
“ข้า หมาย ความ ว่า ไอ้ขยะเช่นพวกเจ้านั้นพูดจบรึยัง เหม็นขี้ปากว่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดที่เหลือเกินที่จะรับฟังของเฉินเฉียงแล้ว ผู้คนโดยรอบต่างก็อุทานออกมา
“ไอ้ฉิบหาย นี่แกบ้าไปแล้วรึเปล่าถึงกล้าพูดแบบนี้กับพี่เย่”
“เป็นแค่ศิษย์ระดับสามแต่กลับกล้าท้าทายอัจฉริยะแห่งยุคต่อหน้าธารกำนัลเนี่ยนะ นี่แกคิดว่าตัวเองวิเศษเลิศล้ำมาจากไหนกัน”
“ศิษย์พี่เย่ ไอ้เด็กนี่มันโอหังเกินไปแล้ว ท่านจัดการมันเลยดีกว่า”
เย่เตียนในตอนนี้ที่ได้รับคำยุยงส่งเสริมจากผู้คน ก็ทำท่ายึกยักราวกับจะเตรียมลงไม้ลงมือ
และเมื่อเห็นว่าหยานเสวี่ยอยู่ตรงหน้า เป็นธรรมดาที่เขานั้นต้องการแสดงความสามารถของตนต่อหน้าสาวงามให้ประทับใจ
หลังจากหัวเราะออกมาเบาๆ เย่เตียนก็ได้สาวเท้าก้าวเข้าไปแล้วพูดออกมาอย่างดัง
“ไอ้เด็กเวร ดูเหมือนว่าแกพึ่งจะเข้ามาในสำนักเลยยังไม่เข้าใจกฎของสำนักเราสินะ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะสั่งสอนเจ้าในเรื่องนี้”
ในสำนักเต๋าของเรานั้นไม่ว่าจะเป็นศิษย์ระดับใดก็ตามก็สามารถต่อสู้กันได้ต่อให้จะต้องข้ามระดับ
ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่เพียงสำนักของเราจะไม่ทัดทาน พวกเขากลับส่งเสริมในเรื่องนี้
ตราบใดที่เจ้ารับคำท้าของข้า ข้าจะมอบแก่นวิญญาณร้อยก้อนให้เจ้า
หลังจากพูดจบ เย่เตียนก็หยิบแหวนวงหนึ่งมาไว้ในมือ
“นอกจากนั้นหากไอ้ตัวชั้นต่ำเช่นเจ้าสามารถชนะผู้สูงส่งที่อยู่คนละระดับชั้นเช่นข้าได้ ทางสำนักจะมอบสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตให้เจ้าอีก”
“ไอ้ตัวดักดานเช่นเจ้าคงพอจะรู้จักสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตอยู่บ้างนะ”
ตราบใดที่เจ้าได้รับมันไป ต่อให้เจ้าต้องมีเรื่องกับศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิต เจ้าก็ไม่ต้องเกรงกลัวหุ่นเชิดโลหิตของพวกนั้นอีก
“ว่าไง เจ้าคิดจะประลองกับข้าได้รึยัง”
เย่เตียนนั้นร่ายออกมาอย่างยาวนาน แต่เฉินเฉียงก็หาได้ใส่ใจไม่
แต่เพียงเฉินเฉียงได้ยินมาว่าหากชนะคนที่มีระดับชั้นสูงกว่า สมุนไพรหมุนเวียนโลหิตจะตกในมือเขาอีกต้นหนึ่ง
“ศิษย์พี่ผู้นี้ เหตุที่ข้าไม่คิดจะท้าประลองไปก่อนหน้านี้นั้น มันเป็นเพียงของพนันมันไม่ได้ล่อตาล่อใจข้าไปสักเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นคือหากข้าเกิดแพ้ขึ้นมา ข้าก็ไม่ได้อะไรเลย ดังนั้นก็โปรดเปิดทางให้ข้าด้วยแล้วกัน”
“เฮ้ย เดี๋ยวดิ”
เย่เตียนยังคงปิดทางเดินของเฉินเฉียงเอาไว้ ก่อนจะลอบมองไปที่หยานเสวี่ยปราดหนึ่งและเผยรอยยิ้มหยามหยันออกมาในทันที “ไอ้เด็กเวร แกคงไม่ได้คิดจะแกล้งโง่หรอกใช่ไหมเนี่ย”
“นี่แกคิดจริงๆเหรอว่าพวกข้านั้นมารอแกอยู่ถึงหน้าประตูบ้านเพียงเพื่อการท้าประลองขยะเช่นเจ้าน่ะ”
“นี่แกมันคิดเองเออเองไปหน่อยรึไงกัน”
คำพูดของเย่เตียนทำให้ผู้คนโดยรอบต่างก็หัวเราะอย่างดังลั่น
“แม่งเอ๊ย ข้าบอกแล้วว่าในหัวไอ้เด็กนี่มันต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติ มันยังมีหน้ามาคิดว่าตัวเองนั้นเลิศล้ำจนคิดว่าพวกเราตั้งใจมาท้าประลองกับมันจริงๆ”
“ไอ้หนู พวกข้าจะบอกแกเอาไว้นะว่าที่ศิษย์พี่เย่นำแก่นวิญญาณและสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตออกมาเพื่อเป็นของพนันน่ะ ศิษย์พี่เขาไม่ได้สนใจไยดีในตัวแกเลยสักนิด”
“แต่ศิษย์พี่เย่นั้นหมายตาผู้หญิงของแกไว้ต่างหาก หากแกแพ้พ่ายไป ผู้หญิงของแกก็ย่อมตกเป็นของศิษย์พี่เย่ก็เท่านั้น”
หยานเสวี่ยที่ในตอนแรกทำตัวหูทวนลมอยู่นั้น ตอนนี้ก็กลับกลายเป็นแสดงออกมาด้วยความอำมหิตในทันที
ถึงแม้ว่าเธอนั้นรู้สึกยินดียิ่งกับการได้อยู่กับเฉินเฉียง จนแสดงออกมาด้วยท่าทางสาวน้อยน่ารักคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ราวกับลูกแกะเชื่องๆที่คอยหมายแต่จะเล่นสนุกเท่านั้น
แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่เกินเลยของผู้คนโดยรอบแบบนี้ มีหรือที่เธอจะทานทน
และนี่ทำให้รู้สึกราวกับว่า อุณหภูมิรอบตัวเธอนั้น ลดต่ำลงไปนับสิบองศา
“โฮ่”
เมื่อรับรู้ว่าหยานเสวี่ยโกรธเคือง เย่เตียนกลับยิ่งหัวเราะเย้ยหยันและพูดยั่วยุออกมามากขึ้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าสาวงามนางนี้จะไม่เห็นด้วยกับคำพูดข้าแหะ ก็ดี ข้าชอบหญิงสาวแบบนี้ว่ะ”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็อดกลั้นความโกรธเกรี้ยวในใจ ก่อนจะยักไหล่ให้ทีหนึ่งแล้วพูดออกมา “ก็ถ้าอยากจะประลองกับข้านักมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนะ แต่ในเมื่อมันเป็นการประลอง ของพนันก็สมควรจะเท่าเทียมกันไม่ใช่รึไง”
“อ้อ แล้วก็มีอีกอย่าง ข้าอยากจะรู้ว่าหากมีการสู้กันถึงตายหรือสาหัสนี่ ทางสำนักก็ไม่สนใจเลยงั้นรึ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฉียงแล้ว เย่เตียนและคนอื่นๆต่างก็หัวเราะกันระงม
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้หัวฟักทองนี่มันมาจากบ้านนอกรึไงวะ”
“สำนักของเราน่ะ นอกจากจะไม่ทัดทานแล้ว พวกเขายังส่งเสริมเสียด้วยซ้ำ”
“แล้วก็นะ ไอ้หนู ข้าจะบอกเจ้าไว้”
“ต่อให้แกต้องตกตายไป นั่นก็เป็นได้เพียงแค่แกได้แต่โทษโชคชะตาของตัวเองเพียงเท่านั้น”
“ในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าแห่งนี้นั้น มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้”
“โอ้….เป็น….เช่น….นั้น…” เฉินเฉียงพูดเสร็จก็หันไปยิ้มหวานให้กับหยานเสวี่ย พลางลูบไล้มือของเธอ
“ดี ข้ายอมรับคำท้าประลอง ว่าแต่ข้านั้นมีเรื่องต้องทำอยู่อีกมากมาย เรามาประลองกันตรงนี้แล้วกันนะ พอดีข้ารีบน่ะ”
เมื่อพูดจบ สายตาของเฉินเฉียงก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา จ้องมองไปที่เย่เตียนประดุจราวกับจ้องมองคนที่ตายไปแล้ว
ด้วยท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของเฉินเฉียงนี้ทำให้เย่เตียนตอบสนองได้ไม่ทัน
แต่ในเมื่อเขาได้ในสิ่งที่หวังแล้ว เย่เตียนย่อมยินดียิ่ง
“ดี ไอ้หนู ข้า เย่เตียน ในเมื่อ…”
“หุบปากเวิ่นเว้อไร้สาระ ข้าไม่สนใจชื่อของคนตาย หากจะสู้ ก็จงรีบเข้ามา”
เฉินเฉียงนั้นแม้จะไม่อยากจะมีเรื่องราวในสำนักรวดเร็วนัก แต่ในเมื่อปัญหามาเยือนถึงหน้าบ้าน มีหรือที่เขาจะหลบหนี
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ไอ้คนที่ก่อปัญหานี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่หมายปองผู้หญิงของเขา พวกมันย่อมสมควรตาย
เขาจึงคิดใช้โอกาสนี้ทำให้ไอ้คนที่ยังมีความคิดเช่นนี้อยู่ให้ตกตะลึงและแตกกระเจิงไป
เย่เตียนแต่เดิมนั้นคิดเพียงก่อปัญหากับเฉินเฉียงก็เพื่อให้หยานเสวี่ยเปลี่ยนใจก็เท่านั้น
แต่เมื่อเฉินเฉียงไม่คิดไว้หน้าเขา เย่เตียนก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดอีก
“ดี ดียิ่งนัก ไอ้เด็กเวรตะไล ในเมื่อพวกเราต่างก็เป็นศิษย์แผนกปรุงยา พวกเราย่อมมีวิธีการประลองของพวกเรา”
“ไปที่เขาเป็นตายเดี๋ยวนี้แล้วประลองต่อหน้าผู้คน เจ้าคิดว่ายังไง”