ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 433 ข้อจำกัด
บทที่ 433 ข้อจำกัด
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนได้เห็นเฉินเฉียงที่กำลังเดินจูงมือหยานเสวี่ยอยู่นี้ พวกเขารู้สึกราวกับได้กลืนกินแมลงวันลงไปในทันที
-ทำไมไม่มีสาวงามอยู่ในอุ้งมือของข้าบ้างฟะ-
นี่คือความหนึ่งเดียวที่เราผู้คนที่เห็นฉากนี้ต่างก็นึกถึง
หากเป็นพื้นที่อื่น ผู้คนเหล่านี้คงจะใช้ทุกวิถีทางในการขับไล่เฉินเฉียงออกไปโดยไม่ลังเล และทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าใกล้หยานเสวี่ย
แต่ที่นี่คือหอตำรา
ไม่ว่าคนเหล่านี้จะหื่นกามขนาดไหน พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะเห็นการมีชีวิตอยู่ของตนเป็นเรื่องตลกแต่อย่างใด
นี่จึงทำให้เหล่าชายหนุ่มกลัดมันเหล่านี้ทำได้เพียงมองตามหลังเฉินเฉียงไปอย่างอิจฉาตาร้อน พลางลอบคิดหาวิธีการสั่งสอนเฉินเฉียงยามที่ออกไปจากที่นี่
เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยนั้นต่างก็เดินตรงไปยังช่องว่างระหว่างชั้นหนังสือ ทีละแถว ทีละแนว รวบรวมเนื้อหาต่างๆเกี่ยวกับการปรุงยาที่หลากหลาย
หอตำราหอนี้มีอยู่สองระดับชั้น นอกจากเทคนิคการปรุงยาที่มากมายหลากหลายแล้ว ยังมีวิธีการฝึกฝนบ่มเพาะจิตใจของตนเองให้แข็งกล้า และนี่ทำให้เฉินเฉียงขึ้นไปยังชั้นที่สองพร้ อมหยานเสวี่ยในทันทีที่เขาพึงพอใจกับข้อมูลที่พบเจอ
พื้นที่ชั้นสองนี้ดูเล็กกว่ามาก และที่นี่ยังมีข้อมูลเพียงสองชนิดเท่านั้น
ข้อมูลอย่างแรกคือสูตรการปรุงยาระดับสูง และอย่างที่สองคือเทคนิคการบ่มเพาะพลังจิต
หยานเสวี่ยนั้นเดินไปเลือกดูสูตรการปรุงยาระดับสี่บางสูตร ก่อนที่จะนำติดมือมาด้วย ส่วนเฉินเฉียงนั้นเดินไปดูยังชั้นหนังสือเกี่ยวกับการบ่มเพาะพลังจิต
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงนั้นก็ต้องผิดหวังก็เพราะว่าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเทคนิคฝึกฝนพลังจิตที่เขาพบนั้นมีเพียงเกล็ดเล็กๆน้อยๆจนไม่อาจเรียกว่าเคล็ดวิชาและเทคนิคได้แต่อย่ างใด แน่นอนว่าเขานั้นยังไม่เห็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรแต่อย่างใด
หรือจะบอกว่าเย่เตียนนั้นได้รับเคล็ดวิชานี้มาจากช่องทางอื่นกัน
เฉินเฉียงนึกไปสักพักก่อนที่จะเดินออกมาจากหอตำรายา
เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงนั้นมีท่าทางราวกับมีบางสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ หยานเสวี่ยก็ได้ถามออกมาอย่างสงสัย “มีอะไรเหรอ”
เฉินเฉียงได้ถอนลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงก่อนจะระบายความหนักอึ้งออกมาเป็นคำพูด “ที่ข้ามาที่นี่นั้นเป็นเพราะต้องการดูเคล็ดวิชาการบ่มเพาะทางจิตใจของคนบนโลกใบนี้ แต่ไ ไม่คิดว่าข้าจะได้พบเจอเพียงขยะเท่านั้น”
หยานเสวี่ยเมื่อได้ยินก็พูดออกมา “หากว่าเจ้านั้นอยากจะฝึกฝนทางจิตใจแล้วเจ้าเข้ามาหอยาทำไมกัน มันสมควรจะอยู่ที่หอยุทธไม่ใช่รึ”
คำพูดของหยานเสวี่ยนั้นราวกับเป็นฝ่ามือที่ฟาดความหนักอึ้งให้ปลิดปลิวไป นี่ทำให้เฉินเฉียงยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างอายๆ
นี่คือสิ่งที่เขาพี่งจะคิดได้
เขาเองนั้นมัวแต่คิดว่าเย่เตียนนั้นเป็นศิษย์แผนกปรุงยา เขาก็สมควรจะได้รับเคล็ดวิชาการฝึกฝนทางจิตใจจากแผนกปรุงยานี่หว่า
เขาก็ลืมไปว่าเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่ทรงพลังนั้น ล้วนแล้วแต่ถูกจัดสรรให้แก่ผู้ศึกษาเป็นวิชายุทธทั้งหมดทั้งสิ้น ต่อให้มันคู่ควรกับศิษย์แผนกปรุงยามากกว่าก็ตาม
“งั้นลองไปดูที่หอตำรายุทธกัน”
นี่ทำให้เฉินเฉียงและหยานเสวี่ยพุ่งตรงไปยังหอตำรายุทธ ที่นั่นมีผู้ชายและผู้หญิงคู่หนึ่งเดินตรงมาหาเฉินเฉียง
“กัปตัน ท่านมาทำไมที่นี่น่ะ”
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงเฉินเฉียงในตอนนี้คือเม่ยหลัวหรันและเหรินหมิงที่เขาคุ้นเคย
“พอดีข้ามีข้อมูลที่อยากจะดูสักหน่อยน่ะ พี่สาวหลัวหลัน พี่กับเหรินหมิงอยู่เป็นเพื่อนหยานเสวี่ยหน่อยนะ เดี๋ยวข้าขอไปหาข้อมูลที่ตามหาพักนึง”
เฉินเฉียงนั้นไม่คิดว่าจะได้พบเจอทั้งสองคนที่นี่
ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะไม่ได้กังวลในตัวหยานเสวี่ยว่าจะไปก่อปัญหาที่ไหน แต่เมื่อหยานเสวี่ยปรากฏตัว เป็นธรรมดาที่จะมีพวกป่วยจิตจับจ้องเธออย่างตาเป็นมัน
และด้วยนิสัยของเธอแล้ว หากว่าเป็นข้างนอกล่ะก็ แน่นอนว่าเธอนั้นย่อมสังหารคนที่คิดมองเธอด้วยสายตาเช่นนั้น
และเพื่อให้หยานเสวี่ยต้องการเป็นฝ่ายลงมือจนเกิดปัญหาที่ใหญ่โต เฉินเฉียงจึงยกหน้าที่ให้เม่ยหลัวหลันและเหรินหมิงให้เป็นผู้จัดการ
เฉินเฉียงได้เดินเข้าไปยังหอตำรายุทธเพียงลำพัง และมุ่งตรงไปยังชั้นตำราที่เขียนไว้ว่าเคล็ดวิชาบ่มเพาะจิต
อย่างที่คาด เฉินเฉียงพบเจอกล่องหยกหนึ่งอย่างรวดเร็ว บนกล่องนั้นมีสลักคำเอาไว้ว่าภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทร
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เฉินเฉียงนั้นได้ยื่นมือหมายจะหยิบกล่องหยกนี้ขึ้นมา เขาก็พบว่ามันมีชั้นกำแพงเขตแดนหนึ่งขวางกั้นไว้
เมื่อตอนที่มือของเฉินเฉียงยื่นเข้าไปในเขตแดนนี้เองก็มีเสียงเตือนดังขึ้นมา มันเป็นเสียงเล็กแหลมที่ดังลั่นลงมาจากชั้นสอง
และไม่นานก็ได้มีชายหนุ่มร่างผอมกะหร่องสองคนที่สวมเครื่องแบบผู้คุมกฎรีบเร่งเดินลงมา
“เกิดอะไรขึ้น”
สมาชิกของกองกำลังผู้คุมกฎที่มีเลข 97 ปักอยู่ที่หน้าอกได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“พอดีข้าต้องการดูตำราที่อยู่ในกล่องหยกนี่ แต่ข้าไม่รู้ว่ามันถูกป้องกันเอาไว้น่ะ” เฉินเฉียงพูดพลางชี้ไปที่กล่องหยกที่สลักคำว่าภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรเอาไว้
หมายเลข 97 มองไปที่กล่องหยกปราดหนึ่งโดยหน้าตาที่แสดงออกมาอย่างเย็นชายังคงไม่เปลี่ยนไปแต่เขาก็ตอบเฉินเฉียงออกมา “หอตำราของพวกเรานั้นมีตำราบางส่วนที่หาได้ยากยิ่งอยู่ ผู้ที่ต้องการดูจะต้องมีคะแนนผลงานเป็นการแลกเปลี่ยนในการเปิดอ่าน และตำราเหล่านี้สามารถดูได้เพียงแค่ในห้องสมุดแห่งนี้เพียงเท่านั้น เฉกเช่นเดียวกับเคล็ดวิชาภาพวาดแห่งห ห้วงมหาสมุทรเล่มนั้นที่เจ้าต้องใช้คะแนนผลงานสามสิบคะแนนในการเปิดดู”
“คะแนนผลงาน….เหรอ” นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเฉียงได้ยินในเรื่องนี้ เขาจึงถามออกมาด้วยความสนใจ “ศิษย์พี่ท่านนี้ ข้าขอถามหน่อยเถิดว่าคะแนนผลงานนี่ข้านั้นจะหามาได้เช่นใด ”
เมื่อได้ยินคำถามของเฉินเฉียงแล้ว ใบหน้าของชายหมายเลข 97 ก็ได้กระตุกเล็กน้อย แต่เมื่อเขามองไปที่แถบสามขีดที่อยู่บนอกของเฉินเฉียงที่แสดงออกถึงการเป็นศิษย์ระดับสาม นี่ ทำให้เขานั้นแสดงออกมาอย่างดูแคลนในทันที
“มีสองทางที่เจ้าจะได้รับคะแนนผลงานมา หนึ่งถือทำภารกิจที่ถูกสร้างโดยสำนักเต๋าของเรา ส่วนอีกนั้นคือการได้รับจากการท้าประลองหรือยอมรับการประลองจากผู้อื่น หากเจ้าชนะ สำนักจะมอบคะแนนผลงานให้เจ้าในตราคำสั่งที่เจ้าถือครองอยู่”
“อย่างไรก็ตาม เท่าที่ข้าได้รู้มา สำนักในตอนนี้ยังไม่มีภารกิจอันใด นี่ทำให้หากเจ้าต้องการคะแนนผลงานในตอนนี้ก็คงทำได้เพียงไปเสี่ยงโชคที่เขาเป็นตายล่ะนะ”
“แต่ข้าก็เห็นแล้วล่ะว่าเจ้านั้นเป็นศิษย์ระดับสาม แม้เจ้าจะต้องการคะแนนผลงานจริงๆ ก็คงจะยากพอดู”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจความหมาย “ขอบคุณพี่ท่านที่ชี้แนะ”
หลังจากที่เฉินเฉียงพูดจบ เขาก็รีบเดินออกจากหอตำราในทันที
“กัปตัน เป็นยังไงบ้าง หาข้อมูลที่ต้องการเจอรึเปล่า” เมื่อพบเห็นเฉินเฉียง เหรินหมิงก็ได้เอ่ยถามในทันที
“เดี๋ยวรออีกแป๊บนะ ข้าขอไปดูหอเลือดก่อน” พูดจบ เฉินเฉียงก็ตรงไปอีกหอตำราหนึ่ง
ถ้าฟังจากที่ชายที่มีหมายเลข 97 ปักไว้ที่อกก่อนหน้านี้ เขานั้นยังไม่รู้เลยว่าไอ้วิธีสวมคราบร่างของพวกหุ่นเชิดโลหิตนั่นต้องใช้คะแนนผลงานเพื่อเปิดดูด้วยรึเปล่า
หากว่ามันต้องการแต้มผลงานในการเปิดดูเฉกเช่นเดียวกับภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทร เขานั้นจะตรงไปยังเขาเป็นตายเป็นที่ถัดต่อไปอย่างแน่นอน
แต่เมื่อเฉินเฉียงปรากฏตัวในหอตำราเลือด ผู้คนนั้นต่างมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด
แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ทุกคนเหล่านี้มองเฉินเฉียงด้วยดวงตาที่กระหายเลือดและบ้าคลั่ง
หากว่าที่นี่ไม่ใช่หอตำรา เขาเองก็คงจะโดนโจมตีไปแล้วกระมัง
เฉินเฉียงนั้นไม่ได้แยแสตาสายตาและท่าทางที่ไม่เป็นมิตรของผู้คน แล้วพุ่งตรงขึ้นชั้นสองไป
ตามที่เฉินเฉียงได้คิดไว้นั้น วิธีการสวมคราบร่างสมควรจะเป็นเคล็ดวิชาที่ล้ำค่า และมันสมควรจะไม่ได้อยู่ที่ชั้นหนึ่ง
และเป็นไปตามที่เขาคิด เฉินเฉียงได้พบข้อมูลที่เขาตามหาอย่างรวดเร็ว
มีวิธีการสวมคราบร่างอยู่มากมายที่นี่
วิธีการที่ง่ายที่สุดนั้นก็เป็นวิธีการเฉกเช่นเดียวกับที่สำนักเต๋าทั่วทั้งห้าภูมิภาคมีอยู่
แต่เฉินเฉียงนั้นไม่คิดจะชำเลืองมองวิธีการพื้นๆเหล่านี้แต่อย่างใด เขานั้นสนใจวิธีที่มันดูลึกลับ เพื่อหาร่องรอยความเป็นมาของสัตว์ปีศาจและเคล็ดวิชาบ่มเพาะบนเส้นทางที่ชั วร้ายอย่างที่สุดสายนี้