ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 435 เท่าทวี
บทที่ 435 เท่าทวี
ผู้คนที่อยู่ด้านนอกนี้หวังเพียงว่าจะข่มขู่เฉินเฉียงให้กลัวจนอกสั่นขวัญแขวนไปยามที่เขาออกมาจากหอตำราเพียงเท่านั้น
พวกเขานั้นไม่คิดว่าเฉินเฉียงกลับปล่อยหมัดตรงสวนกลับพวกเขามา แถมยังคิดจะลากพวกเขาไปยังเขาใจสลายอีก
ความจริงแล้วหลิวกวงนั้นไม่ได้รู้จักมักจี่กับเย่เตียนแม้แต่น้อย เพียงแต่เหตุผลที่เขามาที่นี่ก็เพื่อหมายที่จะสะกดข่มเฉินเฉียงไว้เพียงเท่านั้น
เขาเชื่อว่าตราบใดที่เขาทำให้เฉินเฉียงแสดงความอ่อนด้อยในตัวเองออกมาได้มากเท่าไหร่ เขาจะทำให้หยานเสวี่ยปลื้มปิติในความสามารถของเขา
แต่กลับกลายเป็นว่าเฉินเฉียงนั้นทำตัวไม่รู้เรื่องรู้ราว แถมยังมีหน้ามาท้าทายเขาให้ไปที่เขาใจสลายอีกเนี่ยนะ
หากเขาบ้าตามไปด้วยจริง ต่อให้เฉินเฉียงมีสามเศียรหกกรก็ไม่มีทางที่จะรอดชีวิตออกมาได้เป็นแน่
“ก็ดี” มุมปากของหลิวกวงยกตัวขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะโบกสะบัดพัดในมือแล้วพูดออกมา “ล้อมไอ้เวรตะไลนี่ไว้ อย่าให้มันหนีหายไปได้”
เมื่อพูดจบ ผู้คนนับสิบต่างรีบเร่งรุมล้อมเฉินเฉียงและคนอื่นๆเอาไว้
ในฐานะที่เป็นลิ่วล้อผู้ติดตามมารับชมการมีเรื่องราว พวกเขาเองต่างก็มีความคิดเฉกเช่นเดียวกับหลิวกวง และนี่จึงทำให้พวกเขาแบ่งกันรายรอบเฉินเฉียงและคนอื่นๆเอาไว้แล้วเดินตร รงไปยังหุบเขาใจสลาย
“ไอ้หนู ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าเจ้านั้นเป็นตัวปัญหาขนาดนี้”
“ดูเหมือนว่าต่อให้เจ้าไม่ได้พบเจอข้าในวันนี้ เจ้าเองก็คงไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างสันติสุขเป็นแน่”
เฉินเฉียงได้หันหลังไปก่อนที่จะพูดตอบออกมาอย่างไม่แยแส “ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะมีผู้คนมากมายที่อยากจะมอบคะแนนผลงานให้ข้ามากมายขนาดนี้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นข้าเองก็คงไม่ชว วนเจ้าท้าประลองหรอก”
“อย่าได้คิดจะกลับคำเลยแก”
เชิงคุนสบถออกมาพลางกัดฟันแน่นแล้วพูดต่อ “ไม่ว่าไอ้พวกนี้จะมีจำนวนมากมายขนาดไหน แต่เมื่อพวกเราไปถึงที่หุบเขาใจสลาย แกต้องเจอข้าเป็นคนแรก”
“ก็ในเมื่อเจ้ายากตายนัก ข้าก็ยินดีที่จะสนองตอบเจ้า” เฉินเฉียงนั้นอารมณ์ดียิ่งในตอนนี้เขาจึงได้พยักหน้ารับเชิงคุนอย่างแข็งขัน
แต่เดิม เฉินเฉียงนั้นก็หวั่นเกรงว่าแต้มคะแนนผลงานที่เขาจะได้มานั้นมันน่าจะไม่เพียงพอ แต่ในตอนนี้ ในเมื่อมีผู้คนมากมายคิดจะหาเรื่องเขา อย่างเร็วที่สุดเขาก็คงใช้เวลาเ เพียงครึ่งวันที่จะได้คะแนนผลงานมาอย่างเพียงพอ
หุบเขาใจสลายแห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นรากฐานสำคัญของสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าทีเดียว มันเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญเทียบเท่าหอตำราและหอภารกิจที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน และนี่ทำใ ให้เฉินเฉียงใช้เวลาเดินมาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ที่นี่เป็นสถานที่ตั้งสนามประลองเป็นตาย และเฉกเช่นเดียวกับที่หอตำรา ที่นี่มีศิษย์มากมายที่แวะเวียนเข้ามา
ในทุกๆวัน ศิษย์จากแต่ละแผนกจะมาที่นี่เพื่อชำระแค้นส่วนตัว หรือแม้แต่การมองหาโชคที่จะได้รับคะแนนผลงานจากการประลอง
และในตอนที่เฉินเฉียงและคนอื่นๆมาถึง การประลองที่ดุเดือดเลือดสาดก็ได้ปรากฏขึ้นมาในลานประลอง
“ไอ้ฉิบหาย ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้ดุร้ายนัก นี่นางจัดการไปสี่คนแล้วนะ”
“แม้แต่ศิษย์ระดับหนึ่งของแผนกวิชายุทธก็ยังไม่ใช่คู่มือนางนะนั่น”
“ผู้หญิงคนนี้มาจากไหนกันแน่ เป็นเพียงแค่ศิษย์ระดับสามแต่กลับทรงพลังยิ่งนัก นางได้ฆ่าศิษย์ระดับหนึ่งของแผนกวิชายุทธไปสามคนแล้ว แล้วใครจะกล้าเข้าไปประลองอีกกัน”
“ยิ่งไปกว่านั้นไอ้ศพแรกนั่นมันศิษย์ระดับหนึ่งของแผนกหุ่นเชิดโลหิตไม่ใช่รึไงกัน”
“เขาคนนั้นตกตายอย่างจดจำไม่ได้เลยนะ”
“ไม่ใช่ว่าคนคนนั้นพึ่งจะโดนเลือกให้เขาวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปไม่ใช่เหรอ”
“นี่มันพึ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งวัน แต่ข้าว่าวันนี้คงไม่มีใครกล้าท้าประลองกับแม่เสือสาวคนนี้แล้วล่ะ”
นี่คือเสียงของผู้คนที่ได้พูดคุยกันยามที่กลุ่มของเฉินเฉียงได้เดินเข้ามา
“เอ่ออออ กัปตัน นั่นมันพี่หญิงหนี่ไม่ใช่รึนั่น” เม่ยหลัวหลันพูดออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดีก่อนจะชี้ที่สาวชุดแดงที่ร่ายรำกระบี่อยู่บนเวทีประลอง
เมื่อเฉินเฉียงมองตามไปก็พบหนี่เฟิงที่ยืนท้าทายสายตาของผู้คนอยู่
“ในเมื่อหนี่เฟิงอยู่ที่นี่ ไอ้เวรกัวเหลียงก็สมควรจะอยู่ด้วยสินะ มิน่า ข้าส่งข้อความไปหาก็ไม่คิดแม้แต่จะตอบกลับมาสักคำ ข้าไม่คิดว่าไอ้หมอนี่จะมาอยู่กับศรีภรรยาที่นี เลยแฮะ”
เฉินเฉียงผู้มีพลังจิตที่แข็งกล้าก็ได้พบเจอกัวเหลียงได้อย่างรวดเร็ว เขาเผยรอยยิ้มแล้วชี้ไปที่กลุ่มคนที่ทำอะไรบางอย่างยุบยับอยู่ตรงที่นั่งคนดูแล้วพูดออกมา “พี่กัวน่าจ จะอยู่ตรงนั้นนะ”
“เดี๋ยวข้าไปดูก่อนนะ” เหรินหมิงและเม่ยหลัวหลันแหวกฝ่าฝูงชนที่ล้อมกรอบแล้วเดินตรงไปดูก่อน และนี่ทำให้เฉินเฉียงและคนอื่นๆเดินตามไป
ก่อนที่พวกเขาจะตรงไปถึงจุดนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของกัวเหลียงในทันที
“อะไร ไม่มีใครคิดที่จะประลองอีกแล้วรึไง ผู้ใดมีความกล้าหาญ เก่งฉกาจก็รีบตรงขึ้นไปลองดูได้เลย”
“พวกเราต่างก็เป็นชายแท้ทั้งแท่งจะไปกลัวอะไรกับเพียงผู้หญิงเพียงคนเดียวล่ะ หากเป็นลูกผู้ชายจริงก็รีบเร่งออกไปแสดงฝีมือให้เห็นซะ”
“ในสำนักเต๋าแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ระดับใดก็ตาม ต่อให้พวกเจ้าจะสนใจในตัวหนี่เฟิงหรือไม่ ข้าผู้นี้จะยอมรับพนันกับผู้ที่ต้องการท้าประลองกับเธอเป็นเท่าตัวเลยเอ้า”
“เฮ้ พี่ชายท่านนั้นน่ะ ท่านเป็นศิษย์ระดับหนึ่งไม่ใช่รึนั่น ท่านจะกลัวไปไยกับเพียงแค่ศิษย์ระดับสามนางหนึ่ง ท่านไม่คิดจะลองฝีมือหน่อยรึไงน่ะ”
ศิษย์ระดับหนึ่งแผนกวิชายุทธที่ตกเป็นเป้าคำพูดยั่วยุของกัวเหลียงก็ถอยกรูดออกไปสองสามก้าวแล้วรีบเร่งพูดออกมา “ไอ้ฉิบหาย กับผู้หญิงที่ทำตัวราวกับเทพแห่งความตายคนนี้ ใค ครจะกล้าไปสู้ล่ะฟะ ข้ายังอยากจะมีชีวิตอยู่อีกสักปีสองปีนะวุ้ย”
เมื่อเห็นแบบนี้ เฉินเฉียงก็เข้าใจได้ในทันที
ที่ในตอนนี้หนี่เฟิงนั้นทำตัวเป็นยมทูตนั้นเป็นเพราะกลัวเหลียงอยากจะหารายได้พิเศษเพิ่มเติมเพียงเท่านั้น
“เฮ้ย ไอ้เวรเหลียง ดูเหมือนธุรกิจจะดีไม่น้อยเลยนี่หว่า”
เหรินหมิงที่พึ่งจะเข้าไปถึงกัวเหลียงก็ได้ตบไหล่ของกัวเหลียง พร้อมกับเสียงที่แปลกหู
กัวเหลียงที่กำลังหาคนชะตาขาด(คู่ประลอง)ให้กับหนี่เฟิงนั้น เมื่อได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นหูก็นึกว่าจะได้เหยื่อเพิ่มเติม แต่เพียงเขาหันหลังกลับไปมองความคิดของเขาก็พลันมล ลายสิ้น
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่เนี่ย”
“นี่เจ้าไม่ได้อ่านข้อความที่ข้าส่งมาเลยสินะ พอดีว่ามีใครบางคนไปหาเรื่องกัปตันและอยากจะตกตายเล่นบนสนามประลองน่ะ”
กัวเหลียงเมื่อได้ยินก็แสดงออกมาด้วยสายตาที่ราวกับฉายแสงได้
“ฮี่ฮี่ฮี่ ไอ้ตัวโอหังที่ไหนกันน้อ อย่าบอกข้านะว่าไอ้คนนั้นไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกแล้วน่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เฉินเฉียงก็ชี้นิ้วไปที่เชิงคุนด้วยใบหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ก่อนที่จะชี้กวาดไปยังกลุ่มคนที่ยืนรายรอบอยู่ตัวเขา “ก็ไอ้ทั้งหมดที่มากับข้าเนี่ยแหละ”
กัวเหลียงเบิกตากว้างมองไปที่คนที่เดินตามเฉินเฉียงมา ก่อนที่จะหรี่ตาลงมองผู้คนโดยรอบด้วยสายตาของคนที่กำลังมองผู้คนที่ถือกองทองเดินเข้ามาหาตรงหน้า
“เฮ้ย ไอ้หนู ตรงนั้นเป็นจุดลงทะเบียน หากแกจะสู้ก็ไปลงทะเบียนที่นั่นก่อน”
เชิงคุนที่อยู่ด้านหลังเฉินเฉียงได้พูดออกมาอย่างหมดความอดทน
กัวเหลียงได้มองไปที่เชิงคุนปราดหนึ่งก่อนจะพูดออกมา “เจ้าจะรีบร้อนไปไย ไม่เห็นรึไงว่ายังมีคนรอการประลองอยู่บนสนามน่ะ เดี๋ยวพอประลองเสร็จอีกสักรอบเดี๋ยวข้าจะปล่อยให ห้เจ้าประลองแล้วกัน”
เมื่อพูดจบ กัวเหลี่ยงได้ยิ้มกริ่มก่อนจะเข้าไปโอบไหล่เฉินเฉียงแล้วส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณออกไป -ไอ้น้องรัก พวกเรามาพูดคุยอะไรกันสักหน่อยดีกว่ามะ-
เฉินเฉียงที่เข้าใจกัวเหลียงเป็นอย่างดีก็พยักหน้าอย่างเข้าใจตั้งแต่ยังไม่ได้พูดจากัน
เมื่อเห็นเฉินเฉียงยอมรับข้อเสนอ กัวเหลี่ยงก็รีบพูดต่อ –ศิษย์น้อง หลังจากที่ข้าหาคู่ประลองให้กับหนี่เฟิงได้สองสามรอบแล้วเนี่ย ข้าพบว่า หากพวกเราต้องการที่จะได้ประโยช ชน์สูงสุดจากการประลองนี้ พวกเราต้องเป็นฝ่ายท้าประลองเอง-
-ยิ่งไปกว่านั้นคือไอ้คนที่เราท้าประลองด้วยนั้นต้องเป็นคนที่มีระดับสูงกว่าพวกเรา-
-ความจริงข้าเองก็หวังจะให้หนี่เฟิงนั้นได้สู้ต่ออีกสักรอบสองรอบล่ะนะ เพื่อจะได้ค่าขนมอีกสักหน่อย-
-แต่หลังจากหนี่เฟิงเองดันพลั้งมือฆ่าศิษย์ระดับหนึ่งของแผนกหุ่นเชิดโลหิตไปในกระบวนท่าเดียวซะหาย-
-นี่ทำให้มีผู้คนที่กล้าจะประลองกับนางในตอนแรกหนีหายกันไปหมด-
-ศิษย์น้องเล็ก ข้าว่าด้วยจำนวนคนที่หมายจะเล็งหัวเจ้านี้ ตราบใดที่เจ้าทำตามวิธีการของข้า ข้ารับรองได้เลยว่าพวกเราจะได้ผลประโยชน์อย่างที่สุดเป็นแน่-