ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 439 กริ่งเกรง
บทที่ 439 กริ่งเกรง
จางตงเดินขึ้นไปบนลานประลองพลางส่งสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตให้เฉินเฉียงสิบต้นพร้อมรับซากหุ่นเชิดโลหิตมา
“ฮี่ฮี่ฮี่ เฉินเฉียง เจ้านี้โชคดีนัก นอกจากเจ้าจะได้ขายของให้ข้าแล้วยังจะถูกหุ่นเชิดโลหิตของข้ากินอีก”
“เมื่อถึงเวลานั้น สมุนไพรหมุนเวียนโลหิตทั้งสิบต้นก็จะกลับมาอยู่บนมือข้าอีกครั้ง ฮ่าฮ่าฮ่า”
เฉินเฉียงยักไหล่ไปทีหนึ่งแสดงถึงความไม่ยี่หระ ก่อนจะหันไปพูดกับผู้อาวุโสร่างผอมแห้ง “ต่อไปเป็นใครกัน เรียกมันผู้นั้นขึ้นมาตายได้แล้ว”
“ไอ้หนู ให้ข้าสั่งสอนเจ้าเอง”
เมื่อพูดจบ ชายในชุดเขียวก็ได้กระโดดขึ้นมาบนลานประลอง
เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสร่างผอมแห้งไม่ได้ตอบสนอง ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่แม้แต่จะอธิบายกฎการประลองแบบครั้งแรก เขาทำเพียงสบถไปหนึ่งทีก่อนจะกวาดมือพร้อมกำแพงแสงที่ได้มาล้อมลานประล ลองอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเดินออกไป
คนผู้นี้ก็คือศิษย์ระดับสองแผนกวิชายุทธ ถึงแม้ว่าคนคนนี้จะไม่มีหุ่นเชิดโลหิตคอยช่วยเหลือ แต่ระดับการบ่มเพาะของเขานั้นก็อยู่ในระดับขุนพลขั้นกลาง
ซึ่งในเหล่าศิษย์ระดับสองนี้ ระดับการบ่มเพาะของเขานั้นถือว่าไม่เลว
แต่สำหรับเฉินเฉียงแล้วมันช่างอ่อนด้อยนัก
“ให้ข้าแนะนำตัว ข้าชื่อหวู่หมิง” เมื่อกำแพงลานประลองได้ปรากฏ หวู่หมิงก็ได้โยนท่าทางอันสุขุมทิ้งไป แล้วแสดงออกซึ่งใบหน้าที่แท้จริงออกมา
“หึหึหึ ไอ้หนู ศิษย์กว่าครึ่งที่ได้เข้ามาในสำนักเต่าสวรรค์ชั้นฟ้าแห่งนี้นั้นล้วนแล้วแต่เคยได้รับสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตมาแล้วทั้งนั้น”
“นี่จึงทำให้เจ้าไม่เห็นเชิงคุนอยู่ในสายตาสินะ”
“อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เจ้าจะไม่มีโอกาสได้สุขสบายเฉกเช่นตอนพบเจอเชิงคุนย่างแน่นอน”
เฉินเฉียงนั้นไม่คิดว่าหวู่หมิงผู้นี้จะเป็นเพียงตัวโง่งมที่ช่างพูดช่างจา
แต่นี่ก็ทำให้เขานั้นสามารถแก้ปัญหาไปได้หลายเรื่องอยู่เหมือนกัน
ที่ด้านนอกลานประลอง ทุกคนนั้นเห็นเพียงภาพฉากที่หวู่หมิงและเฉินเฉียงยังไม่โจมตีกันและกัน
และที่ทำให้ทุกคนงงเต้กยิ่งกว่าก็คือในตอนนี้หวู่หมิงที่แข็งแกร่งเทียบเท่าเชิงคุนนั้นก็ได้ใช้มืออุดหูและทรุดตัวลงกับพื้นลงไปเช่นกัน
-ฉิบหายแล้ว เฉินเฉียงผู้นี้น่าจะเล่นด้วยยากกว่าที่คิดแหะ-
ใบหน้าของศิษย์แผนกปรุงยาระดับหนึ่ง หลิวกวงที่ลงทะเบียนลงสู้กับเฉินเฉียงนั้นได้กระตุกอย่างไม่หยุด
“ศิษย์พี่หลิว มีอะไรงั้นรึ หรือท่านคิดว่าเฉินเฉียงผู้นี้มันน่าอัศจรรย์เกินไป
หลิวกวงพยักหน้ารับก่อนจะพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “พวกเจ้าสังเกตรึเปล่าว่าทั้งหวู่หมิงและเชิงคุนนั้นต่างก็แสดงออกมาราวกับกำลังปวดหัวอย่างหนักในทันทีที่การประลองเริ่มต้นน่ะ ะ”
“หากข้าเข้าใจไม่ผิด เฉินเฉียงผู้นี้มันต้องมีพลังจิตที่สูงล้ำเลยทีเดียว”
“มันสูงล้ำพอที่จะทำให้เชิงคุนนั้นตกตายไปก่อนที่จะได้ปลดปล่อยหุ่นเชิดโลหิตออกมาซะอีก”
“น่าเสียดายที่หวู่หมิงนั้นไม่โง่เกินกว่าที่จะรับรู้เรื่องนี้และไม่ได้เรียนรู้อะไรจากการตายของเชิงคุนแม้แต่น้อย ไอ้บ้านี่ยังมัวแต่พร่ำพูดกับไอ้เด็กเวรนั่นอย่างไม่หยุดปาก ตั้งแต่กำแพงลานประลองยังไม่ปิดตัวลงเลยด้วยซ้ำ”
“ดูเหมือนว่าหวู่หมิงคงต้องตายแล้วล่ะ”
ทุกคนตกตะลึงในทันทีเมื่อได้ยิน
หากเฉินเฉียงนั้นเป็นจริงอย่างที่หลิวกวงพูดจริงล่ะก็ ด้วยความแข็งแกร่งของระดับพลังจิตของเขานั้นย่อมทำให้ศิษย์ระดับสองที่ได้รับคำท้าการประลองไปแล้วนั้น ไม่ต่างจากรนหาท ที่ตาย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เหล่าศิษย์ระดับสองมากมายที่อยู่ที่นี่นึกเศร้าเสียใจในสิ่งที่กระทำ ก่อนจะส่งสายตาไปหาหยานเสวี่ยที่อยู่ห่างๆพลางคิดในใจ
ถึงแม้สาวงามจะน่าครอบครอง แต่การมีชีวิตอยู่รอดย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ
และไม่นาน สิ่งที่เกิดขึ้นภายในลานประลองก็เกิดขึ้นตามการคาดการณ์ของหลิวกวง
หวู่หมิงตกตายโดยเฉินเฉียงในรูปแบบเดียวกับเชิงคุน
เมื่อมาถึงจุดนี้ แม้แต่ผู้อาวุโสร่างกายผอมแห้งผู้คุมลานประลองก็ยังรับรู้ว่าเฉินเฉียงไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ก่อนหน้า
มันทำให้เขารู้สึกว่าการกำจัดเฉินเฉียงให้ได้นั้นค่อนข้างยุ่งยากเหมือนกัน
ศิษย์ระดับสองที่ตกตายไปล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์สืบทอด แม้แต่ศิษย์ระดับสองคนอื่นที่คิดจะถอนตัว ก็ไม่มีใครที่จะบังคับแข็งขืนศิษย์เหล่านี้ได้
และหากเขาบังคับให้ศิษย์เหล่านี้ขึ้นไปตาย แม้แต่เขาเองก็คงต้องตกตายตาม แต่กับการตายของเชิงคุนและหวู่หมิงนั้น เขาจะปล่อยให้ทั้งสองตายไปเปล่าๆอย่างนี้งั้นรึ
เพียงไม่นาน เหล่าศิษย์ระดับสองที่รับคำท้าประลองของเฉินเฉียงไปนั้นต่างก็ขอถอนตัวกันอย่างพัลวัน แน่นอนว่าของพนันล้วนแล้วแต่ไม่ได้รับคืน
เสียของไปยังดีกว่าเสียชีวิตเป็นไหนๆ
ในตอนนี้ศิษย์ระดับสองทั้งหมดทั้งสิ้นล้วนแล้วแต่ยอมรับความพ่ายแพ้และถอนตัวออกจากสนามไปอย่างไม่เห็นแม้แต่เงา
เฉินเฉียงเองทำได้เพียงมองตามไปอย่างโง่งม
หากนับตามกลับ ถึงแม้คนที่ขอถอนตัวจะเสียสิ่งของที่ได้วางพนันไว้ แต่สำนักก็จะไม่มอบคะแนนผลงานให้กับเฉินเฉียง หรือแม้แต่ของรางวัลพิเศษที่ได้จากการท้าประลองข้ามขั้นแต่อย่ างใด
หรือจะให้พูดก็คือ หลังจากประลองไปได้สองครั้ง เฉินเฉียงได้รับเพียงสองแต้มคะแนนผลงาน
เมื่อรับรู้ถึงเรื่องนี้ เฉินเฉียงคงทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับศิษย์ระดับหนึ่งเท่านั้น
“หลิวกวง เจ้านั้นไม่ใช่ว่ารับคำท้าประลองของข้าไว้นี่หว่า ถ้าเจ้ายังมีไอ้นั่นอยู่ที่หว่างขาก็รีบขึ้นมา แต่หากไม่มีก็รีบไสหัวไปให้พ้นๆสายตาข้าซะ”
ในตอนนี้เฉินเฉียงและหลิวกวงสบตากัน แต่หลิวกวงนั้นหาได้โกรธเคืองกับคำพูดของเฉินเฉียงไม่
“เฉินเฉียง ใครจะไปคิดว่ากับแค่เด็กใหม่ระดับสามอย่างเจ้าจะเป็นผู้ทรงพลังทางจิตวิญญาณเช่นเดียวกัน”
“หากเจ้านั้นยังอยู่ดีในช่วงสองปีนี้ ข้าเกรงว่าไม่เกินสองปีเจ้าเองก็คงได้รับเลือกให้เข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว”
ผู้อาวุโสร่างกายผอมแห้งพยักหน้ารับแล้วพูดออกมา “หลิวกวงพูดได้ถูกต้องแล้ว เฉินเฉียง ข้าเองก็ได้เห็นระดับพลังจิตของเจ้ากับตาตนเอง ข้าบอกได้เลยว่ามันไม่ได้อ่อนด้อยแต่อย่าง งใด เอาอย่างนี้ได้รึเปล่า ผู้อาวุโสขอให้พวกเจ้านั้นเลิกแล้วต่อกัน”
“พวกเจ้าล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ที่สำนักของเรานั้นภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนที่ได้รับบาดเจ็บ นั้นล้วนแล้วแต่ทำให้สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าและวิหารศักดิ์สิทธิ์ล้วนแล้วแต่สูญเสีย”
เฉินเฉียงนั้นทำเป็นไม่ได้ยินคำขอของผู้อาวุโสร่างผอมแห้ง พลางมองไปที่หลิวกวงอย่างยียวน ก่อนจะกอดอกแล้วหัวเราะดังลั่น
“ดี หลิวกวง หากเจ้านั้นยอมแพ้ก็จงคุกเข่าก้มหัวขอขมาข้าเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”
“ไอ้….”
ถึงแม้หลิวกวงจะไม่มั่นใจในการต่อสู้กับเฉินเฉียง แต่เขานั้นก็ไม่อาจยอมให้เฉินเฉียงพูดจาสามหาวใส่เขาต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ได้
“เฉินเฉียง แกมันไอ้ตัวโอหัง” หลังจากพูดจบ หลิวกวงได้กระโจนขึ้นลานประลองไป
“ข้ายอมรับว่าพลังจิตของแกนั้นไม่ได้อ่อนด้อย แต่ตัวข้าที่เป็นศิษย์ระดับหนึ่งมาสองปี หลิวกวงผู้นี้ก็ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าแกแม้แต่น้อย”
“แต่เดิมข้าเองเพียงเสียดายที่สำนักของเราจะต้องเสียคนมีฝีมือเช่นแกไปเท่านั้น แต่ในเมื่อวาจาของแกนั้นยียวนวอนตายขนาดนี้ ข้าก็ยินดีที่จะสนองตอบ”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายตกลงปลงใจแล้ว ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งก็ไม่มีทางเลือกทำได้เพียงกวาดมือออกไป
เฉินเฉียงและหลิวกวงนั้นต่างก็เป็นศิษย์ที่มีพลังจิตที่สูงล้ำเหนือคณา หากไม่มีเรื่องราวอันใดเกิดขึ้น ทั้งสองต่างย่อมได้รับการรับคัดเลือกเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปในภายภาคหน้า
แต่ในเมื่อคนหนึ่งได้เดินหน้าสวนกับอีกคนหนึ่งบนเส้นทางเดียวกัน ก็มีเพียงหนึ่งเท่านั้นที่จะได้ก้าวต่อไป
ถึงแม้ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งผู้นี้จะมองเห็นถึงสัจธรรมในเรื่องนี้ แต่ใจของเขานั้นก็ยังหวังให้คนที่เหลือรอดไปได้ก็คือหลิวกวง
นั่นก็เพราะหากหลิวกวงเป็นอะไรไป มันจะเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากที่เขาจะทำอะไรได้อีกต่อไป
เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม หลิวกวงนั้นเป็นผู้ที่ได้รับเลือกเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้เฉินเฉียงจะแสดงความสามารถออกมาอย่างสูงล้ำเหลือคณา แต่เขาก็เป็นเพียงผู้เข้ามาใหม่
ส่วนไอ้การได้รับการคัดเลือกอะไรนั่น อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลานับหัวปีเลยทีเดียว
แถมด้วยไอ้นิสัยแบบนี้ เฉินเฉียงจะได้รับการคัดเลือกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ในลานประลองตอนนี้ เฉินเฉียงเองก็ได้รับรู้แล้วว่าหลิวกวงผู้นี้มีพลังจิตที่แข็งแกร่งอย่างไม่ธรรมดาเลยทีเดียว