ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 44 ถูกปฏิเสธ
บทที่ 44 ถูกปฏิเสธ
“ปรุง ปรุงยาสำเร็จจริงๆเหรอ”
จ้าวฮั่นที่มองเห็นฉากนี้แต่ไกลนั้น ได้มองไปยังเฉินเฉียงที่ในตอนนี้อยู่ท่ามกลางการรายล้อมของเหล่าศิษย์แผนวิชายุทธพิเศษด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นปรากฏอยู่เต็มใบหน้า เขาขมวดคิ้วแน่นพร้อมความเกลียดชังอย่างที่สุดที่บังเกิดขึ้นมาในใจ
ท่ามกลางเสียงที่พูดคุยกันด้วยความประหลาดใจของผู้คนนั้น จ้าวฮั่นกลับเงียบงัน
จ้าวฮั่นสามารถนึกภาพออกได้เลยว่าเฉินเฉียงที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับทหารขั้นสูงด้วยเวลาเพียงเดือนเดียวนั้นมีความสามารถมากแค่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นคือด้วยทักษะการหลอมยาขนาดนี้ แน่นอนว่าสำนักต้องทุ่มเททุกสิ่งที่มีเพื่อชุบเลี้ยงอย่างแน่นอน
นี่ไม่มีทางเลยที่เขานั้นจะสามารถแก้แค้นเฉินเฉียงได้ด้วยเวลาอันสั้น
ยังไงก็ตาม เขาเชื่อว่าตราบใดที่เฉินเฉียงยังอยู่ในสำนักเต่าดำนี้ สักวันหนึ่ง เขาจะสามารถหาทางฆ่าเฉินเฉียงจนได้
และก็เป็นอย่างที่จ้าวฮั่นคิด ศักยภาพของเฉินเฉียงนั้นได้ทำให้เหล่าผู้บริหารระดับสูงและศิษย์ในสำนักจับจ้องกันเป็นตาเดียว
“เป็นไปได้ยังไงกัน ไอ้ขยะนี่เนี่ยนะจะเรียนการปรุงยาได้ในสิบวัน เมื่อไหร่กันที่วิชาเล่นแร่แปรธาตุง่ายดายขนาดนี้”
จ้าวหยางที่ยืนนิ่งอยู่นั้นได้บ่มพึมพำออกมา
“ผู้อาวุโสจ้าว ไม่ต้องสงสัยเรื่องนี้ไปหรอก อาจารย์เยว่แห่งหอข้อมูลได้ส่งข้อความมาบอกข้าแล้ว”
“เฉินเฉียงนั้นได้ไปหอข้อมูลเมื่อสิบวันก่อน เขายืมหนังสือออกไปมากมายและส่วนหนึ่งก็คือหนังสือเกี่ยวกับการปรุงยาของแผนกเล่นแร่แปรธาตุ”
“หรืออีกความหมายหนึ่งคือ เฉินเฉียงนั้นใช้เวลาเพียงสิบวันในการปรุงยา”
“ตอนนี้ข้าก็คงได้แต่หวังว่าผู้อาวุโสจ้าวนั้นจะเลิกหาเรื่องยุ่งยากให้กับศิษย์ที่มีอนาคตไกลเช่นนี้อีกในภายภาคหน้า”
“ยังไงซะ กับเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้วนั้น พวกเราต้องการคนที่มีความสามารถหลากหลายอย่างเช่นเฉินเฉียง”
ผอ.หวังไม่เพียงจะประหลาดใจเท่านั้น เขายังแสดงออกมาด้วยท่าทางมีความสุขแบบสุดๆ
หากว่าเขานั้นไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองล่ะก็ เขาก็คงไม่เชื่อเหมือนกันว่าเด็กคนนี้ที่ไม่เคยมีท่าทีที่จะปรุงยาได้กลับเรียนรู้การปรุงยาได้จนสำเร็จในสิบวัน
กับเด็กที่มาจากทีมเก็บกู้ศพในอาณานิคมเล็กๆแบบนี้กลับสามารถทำลายสถิติของสำนักได้ถึงสองอย่าง หนึ่งคือทำลายสถิติในระหว่างการสอบเข้าถึงสองด่าน อีกหนึ่งคือมีสายเลือดที่แตกต่างกันถึงหกสายเลือด แถมมาตอนนี้ยังสามารถข้ามผ่านระดับทหารขั้นกลางเป็นขั้นสูงได้ในหนึ่งเดือน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็ตามล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่น่าตื่นตะลึงจริงๆ
เข้าเชื่อว่าหากผอ.(ที่แท้จริง)รู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ เขาเองก็ต้องมีความสุขมากๆอย่างแน่นอน
นั่นก็เพราะ ในที่สุดพวกเราก็ได้มีโอกาสชุบเลี้ยงผู้มีอัจฉริยภาพที่สูงล้ำจากสำนักของพวกเราได้อีกครั้ง
ตอนนี้ผู้อาวุโสจ้าวเองได้รู้แล้วว่าเขานั้นไม่สามารถจะก่อเรื่องยุ่งยากให้กับเฉินเฉียงและแผนกวิชายุทธพิเศษได้อีกต่อไป เขาทำได้เพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและไม่มีคนรู้ตัว
“ศิษย์น้องเฉิน ศิษย์พี่คนนี้สนใจในตัวศิษย์น้องตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาแล้วนะ”
“นั่นสิ คนที่ทำลายสถิติการสอบเข้าได้ถึงสองอย่างจะไม่ใช่อัจฉริยะได้ยังไงกัน”
“ถึงแม้ว่าศิษย์ในสำนักมากมายจะไม่เชื่อว่าเจ้าทำได้ แต่ศิษย์พี่คนนี้เชื่อมั่นเต็มหัวใจเลยนะเออ”
“ว่าแต่ศิษย์นักปรุงยา ถ้าไม่ว่าอะไรล่ะก็ ว่างๆก็หาโอกาสปรุงยาให้ศิษย์พี่คนนี้สักหน่อยนะ”
“ว่าแต่ไอ้สกุลฮั่นนั่นไปไหนแล้วกัน แกเป็นคนตะโกนเสียงดังลั่นว่าศิษย์น้องเฉินเฉียงเป็นคนบ้าใช่รึเปล่า มาตอนนี้แกยังมีหน้ายืนอยู่ที่นี่อีกรึไงกัน”
“ศิษย์น้องเฉินไม่ต้องไปสนใจไอ้บ้านั่นหรอกนะ ศิษย์พี่คนนี้มาจากแผนกจิตวิญญาณ ศิษย์พี่อยากจะหลอมยาเพิ่มจิตวิญญาณสักหน่อยน่ะ ศิษย์น้องพอจะช่วยทำให้ได้รึเปล่า”
“โอ้ ศิษย์น้องเฉินเฉียงจ้ะ พ่อรูปหล่อ ศิษย์พี่หญิงคนนี้ก็สนใจน้องมานานแล้วน้า”
“พี่สาวคนนี้เองก็ไม่เคยปรามาสน้องชายเลยแม้แต่น้อยนะ ไม่ว่ายังไงละก็ทำไมไม่ช่วยพวกพี่สาวหลอมยาสักหน่อยล่ะ”
“เอาเป็น……..คืนนี้น้องชายมาที่บ้านพักของพี่สาวแล้วกัน แล้วเราจะได้คุยกันเรื่องนี้”
“ให้พี่สาวคนนี้บอกความลับให้ฟังอีกอย่างนะ พี่สาวยังโสดอยู่จ้ะ”
ในตอนนี้เฉินเฉียงถูกรายล้อมไว้ด้วยศิษย์จากแผนกอื่นอย่างรอบด้าน พร้อมกับคำพูดที่มากมายหลากหลายได้ถาโถมมา
“ศิษย์น้อง ศิษย์พี่เองก็พอจะรู้จักสาวๆน่ารักๆจากแผนกวายุอยู่นะ จะให้ศิษย์พี่หญิงแนะนำให้ด้วยเอาป่าว”
ชุยหยันหรันได้ดึงมือของหลู่ฟางที่ปิดปากเธอไว้ออกก่อนที่จะหยอดคำหยอกออกมา
“ศิษย์พี่หญิงเองก็อย่ามาล้อข้าเล่นสิ ข้าเองก็ชนะพนันกับเฟิงไคเหลียงแล้วนะ ข้าว่าพี่น่าจะไปให้เขาปรุงยาให้ฟรีๆจะดีกว่า ข้าไม่ปรุงให้ฟรีๆหรอก”
“เอ่อใช่ ศิษย์พี่ก็ลืมไปเลยนะนี่ถ้าศิษย์น้องไม่พูดออกมาว่าสามารถปรุงยาได้ฟรีๆแล้วน่ะ แต่ถึงจะอย่างนั้น ศิษย์พี่ก็ไม่อยากจะเอาส่วนผสมปรุงยาไปเสี่ยงแบบก่อนหน้านี้อีกนี่นา”
ชุยหยันหลันได้พูดออกมาอย่างดังเพราะต้องการที่จะแขวะใครบางคนก่อนที่จะหันไปทางเฟิงไคเหลียง
เฟิงไคเหลียงเอง ในตอนนี้ก็ถูกรุมล้อมไปด้วยผู้คนเช่นเดียวกัน แต่ผู้คนที่รุมล้อมนั้นคือศิษย์ของฮู่ต้าไฮ่
นั่นก็เพราะ ยังไงซะในตอนนี้เฟิงไคเหลียงได้แพ้พนันไปแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่อาจกลับคำได้
ความจริงแล้วในเรื่องปรุงยาฟรีนี้สำหรับเฟิงไคเหลียงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร แต่ที่ทำให้เขานั้นต้องอยู่ไม่สุขก็คือความสามารถในการปรุงยาของเฉินเฉียง
เขานั้นใช้เวลากว่าห้าปีเพื่อที่จะได้รับทักษะการปรุงยามาได้สูงถึงขนาดนี้ แต่นึกไม่ถึงว่ากับแค่คนที่พึ่งจะศึกษาเรื่องนี้มาได้สิบวันก็มาอยู่ในระดับเดียวกันแล้วจากเดิมเป็นเพียงคนโง่ที่ไม่รู้ว่าอะไรคือการปรุงยาเลยด้วยซ้ำ จะให้เขานั้นยอมรับเรื่องนี้ได้ยังไงกัน
แต่ในเมื่อเรื่องนี้กลับมาปรากฏต่อหน้าเขาแล้ว นี่ทำให้เขานั้นทำได้เพียงยอมรับมันไว้เท่านั้น
เมื่อชั่วโมงก่อน เขายังได้ด่าทอเฉินเฉียงไปอยู่เลยว่าเห็นเฉินเฉียงไม่ได้ต่างจากเศษอึหมาเมื่อเขาจ้องมอง
แต่ว่าตอนนี้ล่ะ
คนที่เขาด่าทอกลับแสดงให้เห็นอย่างประจักษ์สายตาแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นเศษอึหมาอย่างแท้จริง
“ศิษย์น้อง ศิษย์พี่คนนี้ไม่คิดเลยว่าศิษย์น้องจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่มโหฬารตั้งแต่วันแรกที่เราได้เจอกัน พอจะบอกได้หรือไม่ว่าศิษย์พี่คนนี้ควรจะตอบแทนยังไงดี”
“แต่บอกไว้ก่อนนะว่าศิษย์พี่ไม่มีแต้มคะแนนถึงหมื่นแต้ม อีกอย่างหนึ่ง ศิษย์พี่คิดว่าศิษย์น้องเองก็ถือได้ว่ารวยมากอยู่แล้วคงไม่ต้องการเพิ่ม ห้าหมื่นแต้มคะแนนนั่นแค่ได้ยินก็อิจฉาแล้ว”
หลู่ฟางได้ตบไปยังไหล่ของเฉินเฉียงด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะมองไปหาอาจารย์ที่เคารพของตน
“ฮี่ฮี่ฮี่ ศิษย์พี่ ถ้าอย่างนั้นข้าจะขออะไรเล็กๆน้อยๆสักอย่างหนึ่งได้รึเปล่า”
“โอ้ ว่ามาเลยศิษย์น้อง ตราบใดที่ศิษย์พี่คนนี้ทำได้ ไม่ว่าอะไรก็จะช่วย”
และเป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงนั้นได้ยื่นหน้าของตนเข้าไปที่ข้างหูของศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ และกระซิบบอกในสิ่งที่ต้องการ
“ศิษย์พี่ไม่ต้องการทำคำขอเล็กๆน้อยๆของศิษย์น้องคนนี้ให้เป็นจริงอย่างนั้นหรือ” เฉินเฉียงนั้นในตอนแรกเขาคิดว่าหลู่ฟางจะยินดีรับคำในทันที แต่เขานั้นกลับเห็นหลู่ฟางขมวดคิ้วออกมาแทน
“อะไรล่ะนั่น หลู่ฟาง อย่าบอกนะว่าคำขอของเฉินเฉียงนั้นเกินกว่าที่เจ้าจะทำได้น่ะ”
ฮู่ต้าไฮ่ถามออกมาด้วยความสนใจในทันที
คนที่มีความสุขในตอนนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นฮู่ต้าไฮ่คนนี้นี่เอง
หากนับย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนที่ทดสอบสายเลือดของเฉินเฉียงนั้น ฮู่ต้าไฮ่เองนั้นก็โดนดูถูกจากหลู่คังเฟิงและบรรดาคนอื่นๆเอาไว้ไม่น้อย ใครจะคิดว่าคนที่ถูกทุกคนดูถูกในตอนนั้นจะกลายเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริงแบบนี้ ในฐานะที่เขาเป็นอาจารย์ของเฉินเฉียงแล้วจะไม่ให้ไม่มีความสุขไปได้ยังไง
หลู่ฟางเองที่ได้ยินอาจารย์ของตนถามก็มีท่าทีอิดออดไปเล็กน้อยก่อนที่จะตอบออกมา “อาจารย์ แม้ในครั้งนี้ศิษย์น้องจะช่วยเหลือศิษย์เอาไว้อย่างมากในเรื่องการปรุงยา ไม่สิต่อให้ศิษย์น้องไม่ได้ช่วยศิษย์ในเรื่องนี้ หากศิษย์น้องเอ่ยปากร้องขอในเรื่องอื่น ศิษย์ก็ยินดีที่จะช่วยอย่างสุดความสามารถ”
“แต่คำขอของศิษย์น้องในครั้งนี้นั้นมันมากเกินไปจริงๆ โปรดอภัยที่ศิษย์คนนี้ไม่อาจจะทำตามได้”
“ฮื้ม แล้วมันคืออะไรกัน เฉินเฉียง บอกอาจารย์มาสิ” รอยยิ้มกว้างของฮู่ต้าไฮ่นั้นได้หายไปและถามออกมาอย่างจริงจังเมื่อได้ยินคำพูดของหลู่ฟาง
ยังไงซะหลู่ฟางเองก็เป็นศิษย์คนโตของเขา และเขาก็รู้สึกความสามารถของหลู่ฟางดียิ่งกว่าใคร กับคำขอที่ทำให้หลู่ฟางอึดอัดขนาดนี้ได้สมควรจะเป็นคำขอที่ยากเย็นอย่างที่สุด
เมื่อเฉินเฉียงได้เห็นว่าศิษย์พี่ใหญ่ของตนนั้นมีท่าทีไม่ยอมจริงๆ เขาก็ได้มองไปทางอื่นแล้วก็พูดออกมาด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้
“เอ่อ ก็ไม่มีอะไรมากครับ ศิษย์แค่หวังเพียงว่าจะมีสักครั้งที่เมื่อได้กลับไปประลองยังเวทีเป็นตายกับศิษย์พี่ใหญ่สักหน แล้วให้ศิษย์พี่ช่วยแกล้งแพ้ให้หน่อยเท่านั้นเอง”
ด้วยการที่เฉินเฉียงเองนั้นอยู่ในขั้นฝึกหัด แม้แต่การฝึกฝนร่างกายเองก็อยู่เพียงขั้นหลอมเนื้อและผิวหนังเท่านั้น แน่นอนว่ากระดูก แก่นกระดูกและอวัยวะภายในย่อมยังไม่ได้รับความแข็งแกร่งแต่อย่างใด
แต่กับหลู่ฟางนั้น เขาในตอนนี้ได้ฝึกฝนร่างกายจนไปถึงระดับสุดยอดแล้ว หากว่าเฉินเฉียงได้ดูดซับทักษะของหลู่ฟางมาล่ะก็ นี่จะเป็นการช่วยล่นเวลาในการฝึกและประหยัดแต้มคะแนนของเขาไปได้มากโข มีหรือที่เขาจะปล่อยโอกาสแบบนี้ไป