ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 440 ยาเทพคลั่ง
บทที่ 440 ยาเทพคลั่ง
เฉินเฉียงนั้นแม้จะมีพลังจิตที่แข็งกล้า และนอกจากเคล็ดวิชาภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรแล้ว เขายังมีระบบคอยจัดการค่าสถานะพลังจิตของเขา
ส่วนหลิวกวงนั้น แม้จะมีอายุมากกว่าเขาสามถึงสี่ปี แต่เขาเองก็เป็นถึงศิษย์ที่สามารถปรุงยาระดับห้าได้ นี่แสดงให้เห็นว่า พลังจิตของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าเย่เตียนอย่างไม่ต้องสงสั ย
และนี่จึงทำให้เฉินเฉียงสนใจอย่างมากว่าหลิวกวงผู้นี้บ่มเพาะเคล็ดวิชาฝึกฝนจิตใจใดกัน
“หลิวกวง ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่าเจ้านั้นได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรมาใช่หรือไม่”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลิวกวงได้ยกคิ้วขึ้นมา ก่อนจะถามออกมาด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าคนเช่นเจ้านั้นจะรู้จึกเคล็ดวิชานี้ด้วยแม้จะเพิ่งเข้ามาอยู่ในสำนักนี้ก็ตาม ดูเหมื อนว่าข้านั้นจะประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ”
“เหอะ อย่าบอกนะว่าเจ้านั้นที่ต้องการจะประลองกับผู้คนมากมายก็เพื่อที่จะหาแต้มคะแนนไปเรียนรู้เคล็ดวิชาภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรเนี่ยอ่ะนะ”
“เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยนะว่าเจ้านั้นได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรรึเปล่า”
“เออใช่ แล้วไงล่ะ”
เมื่อเห็นหลิวกวงยอมรับ เฉินเฉียงก็รีบถามออกไป “ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกข้าได้รึเปล่าว่าตำรานั่นมันเริ่มคงอยู่มาตั้งแต่เมื่อใด”
หลิวกวงส่ายหัวไปมาพลางแสยะยิ้ม “อยากจะรู้ ข้าเกรงว่าเจ้าคงต้องไปเก็บคะแนนผลงานแล้วเบิกตาดูมันด้วยตัวเองแล้วล่ะว่ะ”
เฉินเฉียงนั้นเลิกคิดจะถามต่อในทันที ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดออกไป “ในเมื่อเจ้านั้นรีบเร่งนัก ก็ดี ข้าเองก็อยากจะรู้นักว่าเจ้านั้นฝึกฝนมาได้ถึงขั้นใดกัน”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ปลดปล่อยขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ในทันที เขาปลดปล่อยมันออกไปเป็นระยะครึ่งเมตรรอบตัว และใช้ทักษะคลื่นอัดกระแทกด้วยความรุนแรงห้าส่วนใส่หลิวกวง
ด้วยประสบการณ์จากเขาโรคา เฉินเฉียงนั้นย่อมไม่ประมาทเมื่อพบเจอผู้บ่มเพาะบนเส้นทางนี้อีก
หลิวกวงนั้นมีพลังจิตที่ไม่ได้อ่อนด้อยแต่อย่างใด หากว่าเขาขาดความระมัดระวังจนพลาดไป ต่อให้เข้าเศร้าเสียใจก็ยังสายไปอยู่ดี
นี่จึงทำให้เฉินเฉียงนั้นปลดปล่อยขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ออกไปเป็นสิ่งแรก ก่อนจะโจมตีออกไป
ด้วยการที่ทั้งสองนั้นต่างเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางพลังจิต นี่ทำให้หลิวกวงเองสามารถตอบโต้เฉินเฉียงได้อย่างเร็วพอ
ในขณะที่เฉินเฉียงโจมตีออกมา หลิวกวงก็โจมตีสวนกลับไป
แม้เหมือนกับเฉินเฉียง การโจมตีทางจิตวิญญาณของหลิวกวงนั้นมีรูปร่างคล้ายหอก พุ่งทะลวงฝ่าคลื่นอัดกระแทกของเฉินเฉียงเข้ามา
ยังดีที่เฉินเฉียงได้คาดการณ์เอาไว้และได้ปลดปล่อยขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นต่อให้เขาไม่เจ็บหนัก ก็ต้องต่อสู้ได้อย่างไม่เต็มที่
และด้วยการแลกเปลี่ยนฝีมือกันในรอบแรกนี้เอง เฉินเฉียงรับรู้ได้ว่าการโจมตีทางจิตของหลิวกวงนั้นอ่อนด้อยกว่าคลื่นอัดกระแทกของเขา แต่คลื่นอัดกระแทกของเขาเองก็ไม่อาจทำอะ ะไรหลิวกวงได้มากนัก อย่างมากก็ทำให้หลิวกวงเสียศูนย์ไปเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากโจมตีแลกเปลี่ยนฝีมือไปอีกหนึ่งรอบ ทั้งสองต่างก็หยุดการโจมตีของกันและกันในทันที
หลิวกวงในตอนนี้มีท่าทีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะสบถพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้ารู้ว่าพลังจิตของแกไม่ได้อ่อนด้อย แต่ข้าก็ไม่คิดว่าพลังจิตของแกจะแข็งแกร่งเกินกว่าที่ข้า าคิดไว้”
“ดูเหมือนว่าหากข้าไม่คิดที่จะเอาจริง คงยากที่จะทำให้แกตกตาย”
เฉินเฉียงในตอนนี้ยังคงแสดงออกมาด้วยท่าทีไม่แยแส เขายักไหล่ไปหนึ่งทีแล้วได้พูดออกมา “อื้ม ข้าจะรอดูแล้วกัน”
การแสดงออกของทั้งสองนั้น ต่างก็ทำให้ผู้คนที่อยู่นอกประลองจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่ตกตะลึงพรึงเพริด
นั่นก็เพราะในการประลองเป็นตายนี้ การประลองระหว่างศิษย์แผนกปรุงยานี้ช่างน่าสะพรึงหาการต่อสู้ใดเปรียบ
แม้ทั้งสองจะทำเพียงยืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่มีแม้แต่อาวุธเฉกเช่นศิษย์แผนกวิชายุทธ ไม่มีฉากนองเลือดให้ได้พบเห็น แต่ไอ้การยืนนิ่งๆ ประลองกันด้วยท่าทางที่นิ่งเงียบนี้กับทำให้ผู้คน นด้านนอกนั้นกลับรู้สึกตึงเครียดและหนักหน่วงได้อย่างน่าประหลาด
โดยเฉพาะในการประลองครั้งแรกนั้น ทุกคนต่างก็เห็นกับตาว่าหลิวกวงนั้นเสียศูนย์ไปเล็กน้อย นี่ทำให้ผู้อาวุโสร่างผอมแห้ง และผู้ติดตามของหลิวกวงนั้นต่างก็ต้องเบิกตาโพลงในทันท ทีที่เห็น
นี่แสดงให้เห็นว่าเฉินเฉียงนั้นเป็นฝ่ายเหนือกว่าในการเปรียบพลังเมื่อครู่นี้
หรือว่า…..แม้แต่หลิวกวงก็ยังไม่ใช่คู่มือของเฉินเฉียงงั้นรึ
และหากเป็นเช่นนั้นจริง ไม่ใช่ว่าผู้ปรุงยาระดับห้าเช่นหลิวกวงจะต้องตกตายอย่างนั้นรึ
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งและคนอื่นๆต่างก็เริ่มที่จะร้อนรนตื่นตระหนกลนลาน
นั่นก็เพราะหลิวกวงนั้นคือศิษย์ระดับหนึ่งที่มีความสามารถสูงล้ำจนถูกดึงตัวโดยวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว
หากว่าเขาต้องตกตายไปในลานประลองแห่งนี้ เขานั้นคงหนีไม่พ้นความรับผิดชอบไปได้ แม้จะไม่เกี่ยวข้องกับการประลองนี้เลยก็ตาม
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งได้กำมือแน่น พลางรู้สึกอยากจะฉีกกระชากเขตแดนที่ตนคอยรับผิดชอบนี้ แล้วยื่นมือเข้าห้ามการประลองระหว่างสองคนนี้ใจจะขาด
ส่วนคนในกองกำลังเทียนเว่ยเองนั้น ถึงแม้พวกเขาต่างก็มั่นใจในตัวของเฉินเฉียง แต่ด้วยการที่พวกเขานั้นไม่มีใครที่เชี่ยวชาญเส้นทางนี้เกินไปกว่าเฉินเฉียง พวกเขาจึงอดที่จะเป็น นห่วงเสียไม่ได้เมื่อพบเห็นฉากนี้
แต่นั่นหาได้เกิดขึ้นกับหยานเสวี่ยไม่
เธอนั้นมั่นใจในตัวเฉินเฉียงอย่างที่สุด
เธอเชื่อมั่นอย่างลึกล้ำจนมากเพียงพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นความศรัทธาเลยทีเดียว
ส่วนนี่จะเกิดจากการความรักที่ฝังลึกด้วยรึเปล่านั้นก็หาได้บอกได้ไม่
เพียงแต่ว่า สำหรับหยานเสวี่ยแล้ว ไม่มีผู้ใดที่แข็งแกร่งเกินกว่าเฉินเฉียงไปได้
ต่อให้ศัตรูนั้นจะเป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งระดับเดียวราชาจอมพลขั้นกลางเฉกเช่นฮั่นจุยก็ตาม เฉินเฉียงก็จะเผชิญหน้าโดยไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับคนที่มีระดับการ รบ่มเพาะไม่ต่างไปจากแมลงวันศัตรูคู่ควรเรือนแบบนี้
ยิ่งไปกว่านั้นคือ ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเฉินเฉียงนั้นไร้เทียมทาน
นั่นคือความจริง
ด้วยการปกป้องจากขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้นี้ เฉินเฉียงนั้นไร้เทียมทานหาใครเทียบเคียง
ต่อให้พยายามโจมตีเข้ามามากมายขนาดไหนก็ตาม
และนี่จึงทำให้เฉินเฉียงนั้นอยากจะทดสอบขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขากับการโจมตีทางจิตวิญญาณของคนระดับหลิวกวง
หากเขาจะประเมินพลังจิตของหลิวกวงออกมาเป็นค่าตัวเลข ก็น่าจะอยู่ประมาณ หนึ่งพันห้าร้อยนี่สิบหน่วยเห็นจะได้
เรียกได้ว่าเป็นค่าพลังจิตที่น่าสะพรึงไม่น้อยเลยทีเดียว
เย่เตียนที่เฉินเฉียงฆ่าไปก่อนหน้านี้ เขาประเมินไว้ว่าน่าจะมีค่าพลังจิตอยู่ที่เจ็ดร้อยหน่วยโดยประมาณ
และหากเขานั้นสังหารหลิวกวงไปได้ ค่าพลังจิตที่เขาจะได้รับนั้นย่อมต้องมากมายอย่างไม่ต้องสงสัย
และหลังจากแลกเปลี่ยนการโจมตีอีกครั้ง นี่ทำให้ทั้งสองต่างก็เข้าใจความแข็งแกร่งของกันและกัน
หลิวกวงนั้นดูเหมือนจะมั่นใจว่าตนเองสามารถชนะได้
“เหอเหอเหอ ช่างเป็นการพานพบศัตรูที่คู่ควรนัก”
“หากพวกเราไม่ได้พบเจอกันในลานประลอง ข้าเองก็หวังจะเป็นเพื่อนอันดีกับเจ้านะ”
“แต่เจ้าน่ะนะ เฉินเฉียงเอ๋ย เจ้ามันโอหังอย่างเกินการ”
“ในเมื่อเจ้านั้นมีสาวงามอยู่ข้างกาย เจ้าก็ควรจะเก็บซ่อนนางไว้ให้มิดชิด แต่ไอ้ตัวโอหังเช่นเจ้ากลับทำตัวหวานแววกันอย่างออกหน้าออกตา นี่เจ้าไม่รู้จริงๆรึว่าจะมีสิ่งใดที่ติ ดตามมา”
“ข้าเชื่อว่าเจ้านั้นย่อมรับรู้ว่าจะมีวันแบบนี้เกิดขึ้น ถูกต้องรึเปล่า”
“และข้าเองก็ไม่ใช่เพียงคนเดียวที่หลงใหลไปกับสาวของเจ้า ไอ้พวกที่รับคำท้าของเจ้าล้วนแล้วแต่มุ่งเล็งนางอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”
“เพียงแต่ไอ้พวกนั้นมันไม่มีบุญที่จะได้นางมาเพียงเท่านั้น”
“ตราบใดที่เจ้าตายด้วยน้ำมือข้า ข้าเองจะหาทางดูแลสาวงามของเจ้าให้เป็นอย่างดี”
“ดังนั้น เฉินเฉียง แกก็รีบๆตายห่าอย่างสงบสุขไร้อาวรณ์ไปซะ”
เมื่อหลิวกวงพูดจบ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ก่อนจะหยิบเม็ดยาสีเขียวอ่อนออกมาแล้วกินเข้าไป และนี่ได้ทำให้บังเกิดฝุ่นควันที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วลานประลอง แม้แต่กำแพง ลานประลองเองก็ยังต้องสั่นไหว
เมื่อพบเจอฉากเหตุการณ์นี้ เฉินเฉียงก็ได้นิ่งอึ้งไป
ด้วยระดับพลังจิตของหลิวกวงนั้น เขาไม่สมควรจะปลดปล่อยพลังทำลายขนาดนี้ออกมาได้
ดูเหมือนว่านี่จะเกี่ยวข้องกับเม็ดยาที่หลิวกวงพึ่งจะกินเข้าไป
ที่ด้านนอกลานประลอง ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งได้เห็นสถานการณ์แล้วเผลออุทานออกมาอย่างตื่นเต้นยินดี “นั่นมันยาเทพคลั่ง ยาระดับห้านี่หว่า”
“ทักษะของหลิวกวงนั้นมันเรียกได้ว่าฟ้าประทานมาชัดๆ”
“เขานั้นสามารถปรุงยาระดับห้าได้แม้จะยังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้”
“ข้าว่าหากไอ้แก่หยุนอ่าวยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะมีปัญญาปรุงสำเร็จรึเปล่า”