ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 441 แหกกฎ
บทที่ 441 แหกกฎ
ด้วยความยินดีอย่างอดกลั้นของผู้อาวุโสร่างผอมแห้งนี้ทำให้เขาไม่ได้คิดที่จะปิดซ่อนอาการของเขาแต่อย่างใด และคำพูดที่พร่ำพ่นออกมาก่อนหน้านี้ของเขาก็ทำให้เหล่าศิษย์จากหลากหลาย ยแผนกโดยรอบนั้นได้เข้าใจเรื่องราวในทันที
“ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าศิษย์พี่หลิวกวงนั้นจะก้าวไปถึงจุดสูงสุดของเหล่าผู้ปรุงยา อย่างการปรุงยาระดับห้าได้ ยาเทพคลั่งได้แล้ว”
การปรุงยาชนิดนี้แม้แต่ผู้อาวุโสหยุนอ่าวก็ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เพียงแค่การปรุงยาชนิดนี้ได้ ศิษย์พี่หลิวกวงก็มีค่าพอที่จะได้รับเลือกเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปได้แล้ว
“ข้าได้ยินมาว่ายาเทพคลั่งนี้เมื่อกินไปแล้วจะเพิ่มความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณขึ้นไปถึงห้าส่วนเลยนะถึงแม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม ที่มันถูกเรียกว่ายาเทพคลั่งนั้นก็เ เพราะผลของพลังจิตที่สูงล้ำขึ้นมานี้แหละ ไอ้เด็กเฉินเฉียงนั่นถือว่าหมดโชควาสนาแล้ว”
“จะว่าอย่างนั้นก็ยังไม่ถูกนะ เพราะหากศิษย์พี่หลิวกวงไม่อาจจัดการไอ้เด็กนี่ได้ก่อนผลของยาจะหมดล่ะก็ ศิษย์พี่จะต้องกลายเป็นอีกคนที่ตัวขาดครึ่งท่อนอีกเป็นแน่”
หยานเสวี่ย กัวเหลียง และคนอื่นๆในกองกำลังเทียนเว่ยนั้นแม้จะไม่เคยได้ยินเรื่องราวของยาเทพคลั่งนี้มาก่อนเลยก็ตาม แต่เมื่อได้เห็นท่าทางตื่นเต้นจนสั่นเป็นเจ้าเข้าของผู้อาวุ โสร่างผอมแห้งและสิ่งที่เหล่าศิษย์สำนักคนอื่นพูดออกมาเกี่ยวกับยาตัวนี้ นี่ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวขึ้นมาในใจ
แม้เต่หยานเสวี่ยนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังเฉินเฉียงด้วยท่าทางเป็นกังวล
ถึงแม้เฉินเฉียงจะแข็งแกร่งเหนือผู้คนทั่วไป แต่ตัวเขานั้นก็หาได้ไร้เทียมทาน
ยิ่งไปกว่านั้น แม้เฉินเฉียงจะมีระดับการบ่มเพาะไปถึงระดับราชาขุนพลขั้นกลาง แต่หากหลิวกวงผู้นี้มีพลังจิตที่สูงล้ำจริง เธอเองก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ข ของเฉินเฉียงนั้นจะต้านทานไว้ได้รึเปล่า
แม้หยานเสวี่ยจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ดวงตาที่สวยงามและกลมโตของเธอที่ไม่ได้ละสายตาจากเฉินเฉียงแม้แต่น้อยก็อดไม่ได้ที่จะกำชายเสื้อของหนี่เฟิงไว้แน่น
“ไม่ต้องกังวลไป ศิษย์น้องเล็กไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอกน่า” หนี่เฟิงปลอบหยานเสวี่ยด้วยเสียงที่บางเบาและสั่นเครือเล็กน้อย
“อ้ะ ไม่ดีแล้ว”
เป็นตอนนี้ที่เม่ยหลัวหลันที่ยืนอยู่ข้างๆก็เปลี่ยนท่าทีก่อนจะใช้มือหนึ่งยกขึ้นมาปิดปากด้วยอารามตกใจ และอีกมือหนึ่งที่ชี้ไปยังเฉินเฉียง
เฉินเฉียงในตอนนี้ตกอยู่ในสภาพที่โงนเงนประหนึ่งเรือเล็กที่ฝ่าพายุฝน และนี่ทำให้เขาถูกผลักถอยร่นไปโดยพลังที่มองไม่เห็นไปหลายก้าวจนไปกระแทกติดกับกำแพงลานประลอง
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งที่ยืนอยู่ด้านนอกไม่ได้หลบซ่อนอาการเชียร์หลิวกวงอย่างออกนอกหน้านี้แต่อย่างใดหลังจากที่เห็นหลิวกวงนั้นแสดงพลังที่สูงล้ำออกมา
แต่ไม่นานเขาก็ต้องนิ่งอึ้งไป
เพราะในตอนนี้ เขาสังเกตเห็นว่าเฉินเฉียงนั้นกำลังใช้พลังบางอย่างผลักดันหลิวกวงให้ถอยร่นไป ยิ่งไปกว่านั้นคือ ตัวเฉินเฉียงนั้นดูราวกับไม่ได้สะทกสะท้านกับการโจมตีก่อนหน้านี้
เป็นไปได้เช่นใดกัน
แม้พลังจิตของเฉินเฉียงจะไม่ได้อ่อนด้อย แต่เขาก็ไม่ควรจะสวนกลับหลิวกวงที่พึ่งจะกินยาเทพคลั่งนี้ไปไม่ใช่รึไงกัน
แถมในการโจมตีก่อนหน้านี้ มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้พลังจิตของหลิวกวงนั้นเป็นต่อ
แต่เฉินเฉียงก็ทำท่าราวกับไม่บาดเจ็บอันใด
ในตอนนี้ หยานเสวี่ยและคนในกองกำลังเทียนเว่ยคนอื่นๆนั้นต่างก็เห็นรอยยิ้มกริ่มบนใบหน้าของเฉินเฉียง นี่ทำให้พวกเขานั้นต่างก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างที่สุด
ดูเหมือนว่าขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเฉินเฉียงจะรับมือได้แม้แต่กับพลังจิตก็ตาม
แม้แต่เฉินเฉียงที่อยู่ในลานประลองก็ยังอดไม่ได้ที่จะลอบยินดีในเรื่องนี้
ยังดีที่เขานั้นได้ทำการปลดปล่อยขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้มาไว้ก่อนการต่อสู้ นี่จึงทำให้เขานั้นไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย
การโจมตีทางจิตวิญญาณนั้นแต่เดิมมันเป็นการโจมตีที่ไร้รูปร่างและสีสัน จะมีสักกี่คนที่จะรับรู้ได้ว่าใครเป็นผู้โจมตีด้วยวิธีการนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหลิวกวงผู้ซึ่งกินยาเทพคลั่งเข้าไปแล้ว นี่หมายความว่าค่าพลังจิตของเขาต้องเพิ่มไปอย่างมหาศาล และเท่าที่ประเมินดู ค่าพลังจิตของเขานั้นน่าจะน้อยกว่าเฉินเ เฉียงเพียงแค่ไม่กี่สิบหน่วย
หลังจากปัดจัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่เข้าทาง เฉินเฉียงได้เผยรอยยิ้มกริ่มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าหาหลิวกวงไปอีกครั้ง และเป็นการเดินหาที่หลิวกวงไม่อาจหยุดยั้งได้
หลังจากแลกเปลี่ยนการโจมตีไปในครั้งแรก หลิวกวงเองก็ได้ประเมินระดับพลังจิตของเฉินเฉียงไว้แล้วเช่นเดียวกัน และนั่นทำให้เขานั้นตัดสินใจกินยาเทพคลั่ง เพื่อหวังจะเพิ่มระดับพลั งจิตของตนให้สูงล้ำกว่าเฉินเฉียงให้ได้แม้จะเป็นเวลาอันสั้นก็ตาม
เขานั้นคิดว่าด้วยระดับพลังจิตหลังจากที่กินยาไปแล้ว การโจมตีใส่เฉินเฉียงนั้นอย่างน้อยๆก็น่าจะทำให้เฉินเฉียงเจ็บหนักได้บ้าง
แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเฉินเฉียงนั้นยังมีสภาพอยู่ดี โดยที่เขานั้นต้องตกอยู่ในสภาพเหนื่อยเจียนตายจนแทบจะกระอักเลือดออกมาอยู่แล้ว
-ไอ้เวรตะไลนี่มันคิดจะเล่นอะไรอีก-
เมื่อเห็นเฉินเฉียงเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆพร้อมสภาพที่ยังอยู่ดีมีความสุข หลิวกวงนั้นรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาในทันที
เพื่อที่จะฆ่าเฉินเฉียงให้ได้ในครั้งเดียว เขาก็ได้ใช้พลังโจมตีทั้งสิบส่วนของเขาไปจนหมดสิ้น
แถมการโจมตีนี้ยังเป็นการโจมตีโดยมีผลของยาเทพคลั่งเสริมกำลังโจมตีของเขาเข้าไปอีก แต่ถึงกระนั้น เฉินเฉียงก็ยังอยู่ดีและไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆ นี่จะไม่ใช่หมายความว่าในตอนนี้จ จะเป็นคราวของเฉินเฉียงที่จะลงมือหรอกนะ
สำหรับผู้บ่มเพาะที่เดินบนเส้นทางพลังจิตและใช้ชีวิตมาอย่างโชกโชนอย่างหลิวกวงนั้น เขาย่อมรับรู้ดีว่าการโจมตีทางจิตวิญญาณของนักรบผู้ทรงพลังนั้นร้ายแรงเพียงใด
และเมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หลิวกวงนั้นก็อดไม่ได้ที่จะสาวเท้าก้าวถอยหลังแถมจะเป็นจังหวะเดียวกับการเดินเข้าหาของเฉินเฉียง พร้อมเหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้าเพราะความหวาด ดกลัวอย่างไม่ขาด ขาของเขานั้นไม่มีเวลาแม้จะสั่นให้เห็นเพราะเร่งก้าวถอยหลังให้เร็วกว่าการเดินเข้าหาของเฉินเฉียง
เขานั้นไม่อยากจะตาย
แต่เดิมหากไม่มีเรื่องนี้ หากไม่ใช่เพราะว่าเขาเบื่อหน่ายอย่างที่สุดจนราวกับจะตกตายไปเพราะมัน จนได้ไปหมายตาหญิงสาวงามที่เป็นคู่รักของเฉินเฉียงแล้วล่ะก็ เขานั้นจะมีอนาคตที่ โชติช่วงชัชวาลอย่างการเข้าร่วมกับวิหารศักดิ์สิทธิ์รออยู่อีกไม่นานแล้ว
กับคนที่ความสามารถในการปรุงยาระดับสูงที่เรียกได้ว่ามีเพียงน้อยนิดในโลกใบนี้ ไหนจะยังเป็นผู้ที่ปรุงยาเทพคลั่งที่เรียกได้ว่าทรงพลังเหนือตัวยาใดได้อีก การที่เขาต้อง งมาตกตายเพียงเพราะเรื่องนี้นั้นมันกลายเป็นว่าชีวิตของเขาจะไร้ค่าอย่างที่สุดหรอกเหรอ
ไอ้หนุ่มตรงหน้าเขาที่ชื่อเฉินเฉียงนี่มันไปมีพลังจิตที่สูงล้ำขนาดนี้มาได้ยังไงทั้งๆที่อายุอ่อนกว่าเขาด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ หลิวกวงไม่มีกระจิตกระใจที่จะมาคิดสืบหาปูมหลังของเฉินเฉียงแต่อย่างใด
เขานั้นเพียงคิดกังวลถึงการคงอยู่ของชีวิตตนเองเพียงเท่านั้น
“ฉะฉะเฉินเฉียง ฟังข้านะ มันเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดกันระหว่างเราสองคน แล้วทำไมเราทั้งสองต้องสู้กันถึงขั้นให้ตกตายกันไปข้างด้วยล่ะ จริงไหม”
“ตราบใดที่เจ้ายอมปล่อยข้าไป หลิวกวงผู้นี้ยอมทำตามที่เจ้าต้องการทุกอย่างเลย”
“ใช่สิ กะก่อนหน้านี้เจ้าถามข้าไม่ใช่เหรอ เกี่ยวกับไอ้เคล็ดวิชาภาพวาดนั่นน่ะ”
“ข้า ข้าจะบอกเจ้าให้หมดทุก ทุกๆอย่าง”
“ตราบใดที่เจ้าสัญญาว่าจะปล่อยข้าไป ข้า ข้าทำได้แม้แต่การเขียนฉบับคัดลอกให้เจ้าเลยนะเว้ย”
“ถึง ถะ ถึงแม้ว่ามันจะมีฉบับจริงอยู่ในสำนักก็ตาม แต่นั่นมันก็ทำให้เจ้าต้องใช้คะแนนผลงานถึงสามสิบคะแนนเลยนะ”
เฉินเฉียงยังคงย่างกายเข้าหาหลิวกวงอย่างช้าๆ ทีละก้าว ทีละก้าว พร้อมกับดวงตาเย็นชาและเย็นยะเยียบยิ่งขึ้นไปทุกชั่วขณะที่ได้รับฟัง
“หลิวกวงเอ๋ย ความจริงแล้วก่อนหน้านี้นั้น ที่ข้าถามเจ้าเกี่ยวกับเคล็ดวิชาภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรไป เจ้านั้นก็ไม่ควรจะคิดปฏิเสธมันเลยนา”
“และเจ้านั้นก็ไม่ควรจะมาหมายครอบครองคู่รักของข้า”
“ข้า เฉินเฉียงผู้นี้ไม่เคยแยแสว่าตนนั้นจะต้องพบเจอกับสิ่งใด แต่กับเรื่องคู่รักของข้า หยานเสวี่ยนั้นหายอมได้ไม่”
“เอาจริงๆนะ ในตอนที่แกทำท่าหื่นกระหายพูดจาเสียมารยาทก่อนหน้านี้ ข้าก็เห็นเจ้าเป็นเพียงคนที่ตายแล้วมาตั้งแต่ตอนนั้น”
“ส่วนเคล็ดวิชาภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรนั่นน่ะเหรอ”
“ข้าขอบอกเจ้าตามตรงเลยนะว่านายน้อยผู้นี้ร่ำเรียนมันมาแต่ช้านานจนในตอนนี้สำเร็จมันในระดับสูงไปแล้ว”
“เพียงแค่ข้านั้นเรียนรู้มันมาจากโลกอื่น หาใช่โลกนี้ไม่”
การที่เฉินเฉียงกล้าที่จะพูดความลับของตนออกมานั้น เป็นเพราะว่าเขานั้นไม่ได้มีความคิดจะปล่อยหลิวกวงให้มีชีวิตอยู่แต่อย่างใด
หลิวกวงเองที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความตายที่ส่องประกายจากสายตาที่เย็นชาของเฉินเฉียงนี้ก็ดิ้นพล่านในทันที
“ไม่นะ ข้ายังไม่อยากจะตาย อย่าได้ข้าฆ่านะ”
หลิวกวงที่แต่เดิมเต็มไปด้วยความสุขุมและความสง่างามนั้น ในตอนนี้ก็ทำตัวราวกับคนเสียสติวิ่งพล่านไปตามกำแพงลานประลองจนทั่วหมายที่จะหาช่องทางออกไปให้ได้
เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งผู้คุมลานประลองก็อดที่จะละอายใจแทนหลิวกวงไม่ได้ เขานั้นเข้าใจเป็นอย่างดีว่าในตอนนี้หลิวกวงนั้นรู้สึกยังไงอยู่ แม้เขาจะรับรู้ว่าหลิ วกวงนั้นจะต้องพบเจอสิ่งใดในอีกไม่ช้า ต่อให้เขารู้ดีว่าไม่เพียงหยุนอ่าวที่เป็นผู้อาวุโสแผนกปรุงยาจะไม่ปล่อยเขาไปแล้ว แม้แต่ผอ.สำนักเต๋าและผู้อาวุโสจากวิหารศักดิ์สิทธิ์เอ องก็ยังต้องคิดเล่นงานเขาอย่างเต็มประตู
แต่ด้วยกฎของลานประลองเป็นตายแห่งนี้นั้น คือกฎศักดิ์สิทธิ์เพียงหนึ่งเดียวในสำนักที่ห้ามไม่ให้ฝ่าฝืน……แต่เมื่อเขาคิดไปคิดมา เขาก็นึกขึ้นได้ว่ากฎนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคน นของวิหารศักดิ์สิทธิ์นี่หว่า
เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งรีบกวาดมือของตนไปบนกลางอากาศโดยไม่ลังเลอีกต่อไป