ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 444 มาเล่นกันเถอะ
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้อาวุโสร่างผอมแห้งผู้ที่อยู่ในฐานะกรรมการผู้คุมกฎประจำลานประลองแล้วผู้อาวุโสสูงแห่งแผนกหุ่นเชิดโลหิตได้มองไปเบื้องล่างลานประลองในตอนที่กำลังจะก้าวเดินลง งไปนี้ ก็โกรธจนแทบอยากจะกระอักเลือดออกมา
นอกจากเพียงพวกพ้องอันน้อยนิดของเฉินเฉียงแล้ว ศิษย์จากหลากหลายแผนกนั้นล้วนแล้วแต่ถอยกรูดไปไกล
มันแสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นเกรงกลัวเฉินเฉียงอย่างที่สุด
แม้แต่ศิษย์ระดับหนึ่งเองก็ยังยอมรับในมือของเฉินเฉียง และต่างรีบวิ่งไปที่จุดลงทะเบียนเพื่อยืนยันการถอนตัว
ศิษย์คนหนึ่งที่กำลังวิ่งไปได้ตะโกนออกมาอย่างดังลั่น “ข้าไม่เอาด้วยแล้วโว้ย ข้าขอยอมแพ้ ขึ้นไปก็มีแต่ตายเท่านั้น”
“หยุดเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ขอยอมแพ้”
เมื่อเห็นผู้อาวุโสร่างผอมแห้งตะเบ็งเสียงออกมาอย่างดังลั่น ทุกคนที่กำลังวิ่งไปต่างก็หยุดเท้า และยกคิ้วสูงขึ้นพลางจ้องมองเขาอย่างเป็นตาเดียว
หากเขานั้นสามารถลงสู้กับเฉินเฉียงได้ เขาเองก็คงไม่ต้องมาบังคับใครสู้แบบนี้แล้ว
ไม่อย่างนั้นเขาคงจะพุ่งตรงไปฉีกกระชากร่างของเฉินเฉียงเป็นชิ้นๆตั้งแต่ก่อนรอบนี้แล้วด้วยซ้ำ
เมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้าของศิษย์จากหลากหลายแผนกที่ได้หยุดเท้าลงแล้วจ้องมองเขา ทุกคนต่างก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
ผู้อาวุโสเหล่านี้ต้องการส่งพวกเขาไปตาย
นี่จึงทำให้ศิษย์คนหนึ่งรีบพูดออกมา “ท่านผู้อาวุโสสูง หากนับตามกฎของลานประลองเป็นตายแห่งนี้ ต่อให้พวกเรายอมพ่ายแพ้ก่อนขึ้นประลอง ตัวท่านก็ไม่มีสิทธิ์อำนาจบังคับพวกเราให ห้ขึ้นไปตกตายแบบนี้ไม่ใช่รึไงกัน”
ใช่แล้ว ในฐานะผู้อาวุโสสูงของแผนกหุ่นเชิดโลหิต เขานั้นรับรู้ดีว่าเฉินเฉียงนั้นซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ และด้วยฝีมือของเขานั้นย่อมกลายเป็นศิษย์ระดับหนึ่งของแผนกวิชายุทธไ ได้อย่างง่ายดาย แต่การที่เฉินเฉียงนั้นแกล้งทำตัวเป็นหมูเพื่อล่อให้คนอื่นมากัดกินทั้งๆที่ตัวเองเป็นเสือจนทำให้เขาสามารถฆ่าศิษย์ระดับหนึ่งไปได้สองคนนี้ มันก็เพียงพอที่ จะบ่งบอกว่าพวกเขาหาได้ใช่คู่มือไม่
นี่ทำให้ศิษย์คนอื่นที่คิดแบบเดียวกันต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยพร้อมๆกัน
และแม้แต่ผู้อาวุโสร่างกายผอมแห้งผู้นี้เองก็ยังเห็นด้วยกับศิษย์เหล่านี้
แต่หากว่าเขาปล่อยเฉินเฉียงให้อยู่รอดไปได้จากเรื่องราวในวันนี้ ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสผู้คุมกฎ เขาย่อมไม่อาจจะอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับเหล่าผู้บริหารของสำนักเต๋าส สวรรค์ชั้นฟ้าเพื่อหลุดรอดความผิดไปได้ นั่นก็เพราะเขาปล่อยให้ศิษย์ระดับหนึ่งสองคนอย่างหลิวกวงและจางตงต้องตกตาย
“พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว เฉินเฉียงนั้นไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เจ้าคิด”
นี่ทำให้ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งไม่มีทางเลือกอื่นอีก ทำได้เพียงพูดเกลี้ยกล่อมออกมาต่อหน้าทุกคน
“ผู้อาวุโสผู้นี้สังเกตเห็นแล้วว่าเฉินเฉียงผู้นี้อย่างมากก็เป็นเพียงขุนพลขั้นสูงเพียงเท่านั้น”
“ถึงแม้ด้วยระดับการบ่มเพาะนี้ เจ้าเด็กนี่มันเพียงพอที่จะเป็นศิษย์ระดับหนึ่งของแผนกวิชายุทธก็ตาม”
“แต่มันก็เท่านั้น”
“ความพิเศษของเขานั้นมีเพียงความรวดเร็วที่สูงล้ำ และพลังจิตที่เหนือกว่าใครนิดหน่อย”
“พวกเจ้าเองต่างก็เป็นศิษย์ระดับหนึ่งของสำนักเรา และอีกไม่ช้านาน พวกเจ้าในฐานะอัจฉริยะของสำนักล้วนแล้วแต่มีโอกาสได้รับเลือกเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ แล้วพวกเจ้าคิดว่าวิหารศักด ดิ์สิทธิ์จะคัดเลือกไอ้คนที่คิดหนีกับแค่ลานประลองเป็นตายไปรึไงกัน”
ถึงแม้เหล่าศิษย์ระดับหนึ่งเหล่านี้จะไม่อยากรับฟังคำพูดของผู้อาวุโสร่างผอมแห้ง แต่พวกเขาเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วย แต่กระนั้น ก็ยังไม่มีใครที่กล้าที่จะก้าวขึ้นลา านประลองไป
เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม พวกเขาล้วนแล้วแต่มีเพียงชีวิตเดียว ใช่ว่าเมื่อมีใครมาบอกว่าชีวิตของพวกเขานั้นไม่สำคัญแล้วมันจะเพียงพอที่พวกเขานั้นจะยอมไปตกตาย
หลิวกวงและจางตงเองก็มีระดับการบ่มเพาะและความแข็งแกร่งไม่ได้ยิ่งหย่อนหรือเกินเลยไปจากพวกเขาสักเท่าไหร่ แต่สองคนนั้นก็ยังต้องตกตายไปง่ายๆเลยไม่ใช่รึไงกัน
แล้วยังมีหน้ามาบอกให้พวกเขาเดินตามรอยไอ้พวกนั้นไปเนี่ยนะ
นี่เห็นว่าพวกเขาเป็นคนโง่รึไงกัน
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งเองก็รับรู้ดีว่าเพียงแค่คำพูดยั่วยุของตนนั้นไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้ศิษย์เหล่านี้ขึ้นไปสู้บนลานประลองเป็นตายได้
และในเมื่อคำพูดไม่เพียงพอ ก็ต้องหลอกล่อด้วยสิ่งของ
“พวกเจ้าฟังให้ดี ตราบใดที่พวกเจ้าขึ้นไปประลองกับเฉินเฉียง ทางสำนักยินดีที่จะมอบสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตให้สิบต้น”
เมื่อเห็นว่ายังไม่มีคนที่คิดจะขยับ เขาก็ได้ชูนิ้วหนึ่งนิ้วขึ้นมา แล้วชูเพิ่มมาอีกนิ้วหนึ่ง “คะแนนผลงานสิบคะแนน”
ข้อเสนอนี้แน่นอนว่าย่อมถือได้ว่าสูงล้ำ
แต่กระนั้น ก็ยังไม่มีศิษย์คนใดที่คิดจะขยับตัวแม้แต่น้อย
“แล้วก็….”
ไม่ว่าข้อเสนอจะดีขนาดไหน มันก็ไม่ได้มีแค่แต่อย่างใดเมื่อพวกเขาได้ตกตายลง
แต่กระนั้น แม้เหล่าศิษย์ระดับหนึ่งมากมายไม่มีท่าทีที่จะขยับเขยื้อน แต่เฉินเฉียงที่อยู่บนเวทีนั้น ในตอนนี้ดวงตาของเขานั้นกลับเปล่งประกายราวกับจะฉายแสงได้
แต่เดิม เฉินเฉียงเองคิดว่าด้วยการตายของหลิวกวงและจางตงนั้น เขาจะไม่มีทางได้รับคะแนนผลงานจากการประลองอีกต่อไป
แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าผู้อาวุโสร่างผอมแห้งจะทำตามหน้าไม่อายกล้าเสนอของรางวัลก้อนงามเพื่อหาผู้คนมาฆ่าเขาให้ตกตายไป แม้จะอยู่ต่อหน้าเฉินเฉียง
ถึงแม้เขานั้นจะทำเป็นไม่แยแสในเรื่องนี้ได้ แต่เมื่อได้ยินคำว่าคะแนนผลงานสิบคะแนนจากปากคำของผู้อาวุโสร่างผอมแห้งก็อดไม่ได้ที่จะตาลุกวาว
นี่จึงทำให้เฉินเฉียงคิดอะไรบางอย่างแล้วเอ่ยปากถามออกมา
“ท่านผู้อาวุโส…”
“ฮื้ม” ในขณะที่ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งกำลังเซ็งเป็ดเพราะตนเองอุตส่าห์เสนอเงื่อนไขดีๆมากมายให้กับเหล่าศิษย์เพื่อจูงใจให้ขึ้นไปประลองกับเฉินเฉียงแต่ก็ยังไม่มีใครขยับอยู่นี้ เขา าก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงของเฉินเฉียงที่ราวกับกำลังต้องการพูดอะไรบางอย่างกับตน
“ว่าไง ข้าบอกไว้ก่อนนะว่าตามกฎของลานประลองนี้ หากเจ้ายังไม่อาจเอาชนะผู้ที่เจ้าท้าประลองได้จนหมดสิ้น การประลองของเจ้าห้ามเลิกรา”
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งที่กลัวว่าเฉินเฉียงจะเบื่อหน่ายแล้วคิดจะเลิกราก็รีบพูดดักทางเฉินเฉียงในทันที
เฉินเฉียงหัวเราะจนตัวโยนเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าไปมาแล้วพูดตอบ “ก็หากว่าข้านั้นได้คะแนนผลงานไม่มากพอตามที่ข้าคิด ข้าเองก็ไม่คิดจะลงไปเหมือนกัน”
“แต่ว่าข้านั้นมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ค้างคาใจ จนอดไม่ได้ที่อยากจะเอ่ยถามท่านสักหน่อย”
“ผู้อาวุโส ท่านสามารถที่จะตั้งของรางวัลหรือแม้แต่คะแนนผลงานของสำนักให้กับศิษย์เหล่านี้ได้อย่างอิสระอย่างนั้นรึ”
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งที่คิดว่าเฉินเฉียงนั้นหาเรื่องบ่ายเบี่ยงเพราะเกรงกลัวที่จะประลองต่อก็ได้สบถออกมาทีหนึ่งแล้วพูดต่อ “ในฐานะผู้คุมกฎของลานประลองแห่งนี้ แน่นอนว่ารางวั ลทุกอย่างที่ได้รับจากการประลองย่อมมีข้าเป็นผู้กำหนด”
“ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้สำนักไม่ยอมให้เพราะเรื่องนี้ แต่ข้าเองก็มีคะแนนผลงานสะสมไว้นับร้อยแคะแนน ข้าสามารถมอบมันให้เพื่อเป็นการทดแทนได้”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็มีสายตาที่เปล่งประกายอย่างเห็นได้ชัด แล้วเขาก็ได้พูดออกมา “ถ้าอย่างนั้น ข้าว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า”
“ผู้อาวุโส ไอ้การที่ข้าต้องถ่อมาถึงที่นี่ มันก็เป็นเพียงเพราะว่าตัวข้าต้องการคะแนนผลงานจากการประลองเพียงเท่านั้น”
“แต่นับจากเริ่มต้นจนมาถึงตอนนี้ ตัวข้าพึ่งจะได้คะแนนผลงานมาเพียงหกคะแนนจากการประลองสี่ครั้ง ซึ่งมันยังห่างไกลจากคะแนนผลงานที่ข้าหมายจะไปให้ถึงมากนัก”
“และด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีข้อเสนอ เอาเป็นท่านเองก็มาลงเล่นกับข้าหน่อยเป็นยังไง”
ยามที่เฉินเฉียงได้พูดจบลง เสียงในลานประลองเป็นตายแห่งนี้ก็ราวกับนิ่งเงียบเสียยิ่งกว่าป่าช้ากว้างเสียอีก
แม้แต่ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งเองก็นิ่งอึ้งไปอย่างไม่กระดิกกระเดี้ย
หลังจากผ่านไปประมาณสิบห้านาทีเห็นจะได้ เหล่าผู้คนก็ได้กู่ร้องออกมา
“มันบ้าไปแล้ว ไอ้เด็กเวรนี่มันบ้าไปแล้ว”
“ผู้อาวุโสของแผนกพวกเรานั้นเป็นถึงราชาขั้นกลางแถมยังเป็นผู้เชี่ยวชาญจนเรียกได้ว่าเป็นผู้อาวุโสสูงของแผนกหุ่นเชิดโลหิตของพวกเราเลยนะเว้ย แถมเขานั้นไม่เพียงจะมีหุ่นเชิดโลหิต ตระดับราชาอสูร ตัวเขาเองก็ยังเป็นราชาขั้นกลางช่วงปลายแล้ว”
“หากว่ามันกล้าที่จะท้าประลองกับท่านผู้อาวุโสสูงของพวกเรา มันย่อมตกตายเป็นแน่แท้ด้วยเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ ไอ้ฉิบหายเอ๊ย ทำไมหลิวกวงและจางตงต้องมาตกตายด้วยคนบ้าแบ บบนี้วะเนี่ย”
“ท่านผู้อาวุโส รีบตอบตกลงเลยครับ ฆ่าไอ้ตัวโอหังเช่นนี้ให้พ้นหูพ้นตาพวกเราไปซะ”
“จริงด้วยครับท่านผู้อาวุโส ท่านต้องสับไอ้เด็กเวรนี่ให้เป็นหมื่นๆชิ้นเพื่อเซ่นสังเวยให้กับศิษย์พี่หลิวกวงและศิษย์พี่จางตงนะครับ”
ที่นอกลานประลอง เหล่าศิษย์จากหลากหลายแผนกในตอนนี้ต่างก็เห็นพ้องต้องกัน ส่วนหยานเสวี่ยและคนอื่นๆในกองกำลังนั้นกำลังตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สำหรับพวกเขาแล้ว หากเฉ ฉินเฉียงจะตัดสินใจทำอะไรนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะเข้าไปขัดขวางทัดทานได้แม้แต่น้อย
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งที่ยืนนิ่งอึ้งอยู่บนลานประลองอยู่นี้เมื่อหันไปเห็นรอยยิ้มของเฉินเฉียงที่ราวกับกำลังจะแสยะออกมา เขาก็ถึงกับต้องหงายหน้าขึ้นฟ้าและหัวเราะออกมาอย่างบ้ าคลั่ง หลังจากนั้นก็ได้พูดออกมา
“เฉินเฉียง ผู้อาวุโสผู้นี้อยู่ในสำนักมาสามสิบกว่าปี แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่ข้าได้พบคนหนึ่งที่บ้าคลั่งเช่นเจ้า”
“ข้าบอกเจ้าเลยนะว่า ว่าผู้อาวุโสผู้นี้ชื่นชอบศิษย์ที่นิสัยกล้าบ้าบิ่นเช่นเจ้าอยู่ไม่น้อย”
“แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ อย่างที่ผู้คนเคยบอกไว้ว่าบางคนมันก็ไปอยู่ผิดที่ผิดทาง”
“ถึงแม้เจ้านั้นจะมีทักษะที่ไม่เลว แต่เพียงแค่ความโอหังของเจ้านี้ ต่อให้ข้าไม่ฆ่าเจ้า เจ้าก็คงไม่รอดพ้นจากการลงทัณฑ์จากสวรรค์อยู่ดี”
เฉินเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นมาพร้อมกับต้องการยืนยันอะไรบางอย่าง “ผู้อาวุโส ที่ข้าบอกก่อนหน้านี้มันเป็นเพียงข้าต้องการได้รับคะแนนผลงานเพียงเท่านั้น ตัวข้าไม่ได้ต ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับท่านแต่อย่างใด”
“แต่เท่าที่ฟังดูนี่แสดงว่าท่านรับคำท้าของข้าแล้วสินะ”
หลังจากนั้น เฉินเฉียงก็ชี้ไปที่ซากร่างของจางตงและหุ่นเชิดโลหิตของจางตงรวมถึงหุ่นเชิดซากศพอีกสองตัวแล้วพูดออกมา “ข้าสามารถให้ขยะพวกนี้กับท่านได้นะเพื่อให้ท่านรับปากข้า ”
“เจ้า….”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งอดไม่ได้ที่จะแค้นเคือง
หุ่นเชิดโลหิตของจางตงนั้นอยู่ในระดับราชาปีศาจเลยนะ นี่เรียกได้ว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตเช่นเขา
แต่เฉินเฉียงนั้นกลับกล้าพูดออกมาจากปากของเฉินเฉียง นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับว่าหากเขาไม่ทำอย่างนี้ ผู้อาวุโสนั้นจะไม่กล้าที่จะรับคำท้าทายของเขา