ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 446 เปลวไฟ
บทที่ 446 เปลวไฟ
เมื่อกรรมการพร้อมแล้ว ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งก็เริ่มแสดงความกระสันสู้ขึ้นมาในทันที
“เฉินเฉียง ทีนี้เจ้าก็วางใจได้แล้วสินะ”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับก่อนจะพูดต่อ “เป็นเช่นนั้น ที่เหลือก็แค่ท่านยืนยันว่าข้าจะได้รับคะแนนผลงานจริงๆหากข้าเอาชนะท่านได้ ทีนี้ข้าก็ไม่มีปัญหาอันใดอีก”
“คะแนนผลงาน.…ฮึ่มมม”
หยุนอ่าวมีใบหน้าดำมืดในทันทีเมื่อได้ยิน
“เฉินเฉียง หากเจ้าสามารถเอาชนะผู้อาวุโสประจำลานประลองนี้ได้ ไม่เพียงสำนักจะมอบคะแนนผลงานให้เจ้า ข้า หยุนอ่าวผู้นี้จะมอบคะแนนผลงานให้เจ้าสองร้อยคะแนนอีกด้วย”
“ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความอีก พวกเจ้าสองคนรีบสู้กันได้แล้ว”
หลังจากพูดออกมา หยุนอ่าวก็รีบสะบัดมือไล่ให้ทั้งสองขึ้นเวทีไป พลางเดินไปนั่งเคียงข้างผอ.จ้ง
เมื่อเห็นว่าทุกคนได้พร้อมแล้ว ผอ.จ้งที่นั่งอยู่บนที่นั่งผู้ตัดสินก็ได้ตวัดมือของตนสร้างกำแพงรายรอบสนามประลอง เป็นการประกาศเริ่มการประลองเป็นตายอย่างเป็นทางการโดยไม่ต้องบ บอกกล่าว
บนลานประลองในตอนนี้ ดวงตาของผู้อาวุโสร่างผอมแห้งได้ฉายแววอันเกลียดชังออกมา ส่วนเฉินเฉียงนั้นกลับมีใบหน้าที่เบิกบานราวกับกำลังรับลมในฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั้นยังไม่ได้มีท่าทีจะโจมตีเข้ามา เฉินเฉียงจึงได้พูดยั่วยุออกไป “ท่านผู้อาวุโส ท่านคงไม่ได้เกรงกลัวการโจมตีทางจิตวิญญาณของข้าอยู่หรอกนะ”
“กลัวเจ้ารึ เหอะ ข้ารู้ว่าเจ้านั้นมีพลังจิตที่สูงล้ำจากการประลองก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่เพราะเจ้ามีพลังจิตถึงขั้นนั้นแล้วมีรึที่เจ้าจะเอาชนะมาได้อย่างง่ายๆน่ะ”
“ผู้อาวุโสผู้นี้ก็อยากจะรู้นักว่าไอ้พลังจิตของเจ้านั้นจะสูงล้ำได้ถึงขนาดไหนกัน”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ เฉินเฉียงก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาในชั่วขณะ
นั่นก็เพราะหากตาแก่ผอมแห้งผู้นี้ลงมือในทันทีอย่างเต็มกำลัง เขาเองก็คงไม่แคล้วที่จะต้องแสดงพลังที่แท้จริงของตนออกมา
หากเป็นอย่างนั้นจริง ต่อให้เขานั้นฆ่าคนผู้นี้ได้ เขาเองก็คงจะไม่อาจอยู่ในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าแห่งนี้ได้อีกต่อไป
ดีไม่ดีเขาเองก็อาจจะต้องเปิดฉากการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่กับเหล่าผู้บริหารของสำนักที่มารวมตัวกันที่นี่ก็ได้
กับความคิดของตาแก่ผู้นี้ถือได้ว่าดีต่อเขามากจริงๆ
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงก็ค่อยๆปล่อยพลังจิตของตนให้ครอบคลุมไปทั่วทั้งสนามประลอง จนไปสุดอยู่ที่กำแพงลานประลอง ก่อนจะพูดกับผู้อาวุโสร่างผอมแห้งออกมาอย่างไม่ยี่หระ “ท่าน นผู้อาวุโส ดูเหมือนว่าท่านจะรับรู้เพียงว่าข้านั้นมีดีเพียงแค่พลังจิตของข้าเสียกระมัง แต่เท่าที่ฟังดูแล้ว ดูเหมือนว่าท่านยังไม่รับรู้ว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ข้านั้นดีเด่ไม่ แพ้กัน”
“ตัวข้านั้นเป็นผู้ที่ชื่นชอบการเล่นกับไฟนัก”
“เล่นกับ…ไฟ…รึ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หนังตาของผู้อาวุโสร่างผอมแห้งก็กระตุกในทันที
ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนั้น ร้อยทั้งร้อยล้วนแล้วแต่เกลียดผู้ที่มีทักษะอัคคีและอัสนีทั้งหมดทั้งสิ้น
แต่เดิมเขาเองที่คิดว่าเฉินเฉียงนั้นมีดีแค่ด้านพลังจิตที่สูงล้ำ นี่ก็เพียงพอที่เขาจะประหลาดใจแล้ว
นึกไม่ถึงว่าเฉินเฉียงนั้นจะเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางอัคคีเสียอีก
และเพียงผู้อาวุโสร่างผอมแห้งแสดงสีหน้าฉงนสนเท่ห์ มุมปากของเฉินเฉ๊ยงก็ยกตัวขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่ร่างกายจะสั่นระรัวไปเล็กน้อยก่อนที่จะมีวงแหวนไฟหนึ่งลุกโชนขึ้นมาตรงหน้า
ที่ด้านนอก ผอ.จ้ง หยุนอ่าวและผู้อาวุโสเฟิงที่กำลังนั่นดูการประลองนี้ถึงกับหน้าซีดเผือดกันในทันที
“ฉิบหายแล้ว ไอ้เด็กนี่เป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางอัคคี”
“ผอ. หากผู้อาวุโสผู้คุมลานประลองต้องพบเจอกับผู้บ่มเพาะบนเส้นทางอัคคีแบบนี้ต่อให้แค่เป็นลูกศิษย์ก็ตาม ข้าว่าเขาจะไม่ได้เปรียบมากมายอะไรนักนะ”
“อืม หากเฉินเฉียงไม่ทำตัวอหังการ์เช่นนี้ เขานั้นสมควรจะเป็นศิษย์ของแผนกข้าที่ล้ำค่าคนหนึ่งเลยทีเดียว ไอ๊หยา…..ช่างน่าเสียดายนัก”
ผอ.จ้งเมื่อเห็นวงแหวนไฟของเฉินเฉียงเองก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน
แต่มันก็เป็นเพียงความประหลาดใจเท่านั้น
ในทุกๆปี สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าแห่งนี้รับศิษย์ที่มีความสามารถสูงล้ำมากมายจากทั่วทุกสารทิศ และผู้ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้เองก็มีอยู่ไม่น้อย โดยเฉินเฉียงนั้นเป็นเพียงหนึ่งในน นั้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าแห่งนี้เองก็เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ชื่นชอบคนที่มีทักษะเหล่านี้เช่นเดียวกัน
ด้วยการที่ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนั้นมีสถานะสูงที่สุดบนโลกปีศาจแห่งนี้ นี่จึงทำให้ผู้บ่มเพาะที่มีลักษณะสายเลือดพิเศษเหล่านี้เป็นเพียงหินที่คอยให้ผู้บ่มเพาะบน นเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตเหยียบย่ำให้พวกเขาสูงขึ้นเพียงเท่านั้น
แน่นอนว่าทั้งสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าและวิหารศักดิ์สิทธิ์ล้วนแล้วแต่หนุนนำในเรื่องนี้ แต่กับผู้คนทั่วไปและสำนักเต๋าต่างๆทั่วโลกปีศาจหาได้รับรู้ไม่
ไม่อย่างนั้นแล้วจะมีใครกล้าที่จะเข้ามาสอบคัดเลือกเข้าสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้ากันล่ะ
และเมื่อไม่มีคนคัดเลือก สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าก็คงไม่อาจจะหาอาหารโลหิตไปมอบให้ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตได้อีกต่อไป
“แล้วไง ต่อให้เขาไม่ใช้หุ่นเชิดโลหิต แต่ผู้อาวุโสผู้คุมการประลองนั่นก็มีระดับการบ่มเพาะในระดับราชาเลยนะ ข้ามองไม่ออกจริงๆว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับเพียงแค่ศิษย์แผนกปรุงยาระดั บสามได้ยังไง…..นอกเสียจากมันจะไม่ใช่ระดับสาม”
“คำพูดของผอ.นั้นสมเหตุผลนัก น่าเสียดายที่กำแพงลานประลองนี้ปิดกั้นเสียงไว้จึงทำให้พวกเราไม่อาจจะได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นข้างในได้ แม้แต่พลังจิตของพวกเราก็ยังไม่อาจทะลุเข้าไปร รับฟัง”
“ไอ้เปลวไฟนั่นก็อีก ดูซิ เปลวไฟของไอ้เด็กนี่ลุกท่วมลานประลองไปหมดจนมองไม่เห็นข้างในแล้วเนี่ย”
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสเฟิงที่พูดออกมาราวกับกำลังอึดอัดคับข้องใจอย่างที่สุด หยุนอ่าวก็สบถมาทีหนึ่งก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา “ผู้อาวุโสเฟิง ท่านจะรีบไปทำไม รอจนก กว่าผู้อาวุโสผู้คุมลานประลองใช้ไอ้เด็กนี่เป็นอาหารของหุ่นเชิดโลหิตของเขาก่อน หลังจากนั้นค่อยถามเขาเกี่ยวกับเรื่องราวภายในเอาก็แล้วกัน ”
ขนาดผู้อาวุโสของสำนักยังไม่อาจเห็นสิ่งใดภายในได้ นับประสาอะไรกับเหล่าศิษย์ที่รายรอบดูการประลองนี้อยู่
ในตอนนี้เหล่าศิษย์ทั้งหลายได้แบ่งออกเป็นสองฟากฝั่งความคิดเห็น
นอกจากกัวเหลียง หยานเสวี่ย และคนอื่นๆในกองกำลังเทียนเว่ยแล้ว ทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่คิดว่าเฉินเฉียงนั้นไม่ว่าจะยังไงก็ไม่มีทางพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
“ฮี่ฮี่ฮี่ ศิษย์น้องเล็กนี่เล่นใหญ่ไม่น้อยเลยแฮะ”
“น่าเสียดายนัก ด้วยเปลวไฟและกำแพงลานประลองนี่ทำให้เราไม่รู้ได้เลยว่าเขาจะเล่นงานผู้อาวุโสนั่นให้ตกตายไปยังไง”
“เบาเสียงหน่อย กัวเหลียง กัปตันไม่ได้ต่อสู้เล่นๆกับเด็กน้อยนะวุ้ย เขาต่อสู้กับผู้อาวุโสผู้คุมลานประลองเลยนะ เจ้าจะทำตัวมีความสุขออกหน้าออกตาไปแล้ว”
ส่วนอีกฟากฝั่งหนึ่งนั้น เหล่าศิษย์จากอีกหลากหลายแผนกนั้นกลับบังเกิดความคิดที่แปลกประหลาด
แต่เดิม ศิษย์ทุกคนนั้นเห็นเฉินเฉียงเป็นเพียงคนที่ทำตัวโอหังท้าประลองศิษย์คนอื่นไปทั่ว นี่ทำให้พวกเขานั้น ทนการกระทำของเฉินเฉียงไม่ได้
แต่เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงกล้าท้าทายแม้แต่ผู้อาวุโสที่คุมลานประลองเป็นตายแห่งนี้ต่อหน้าสาธารณชน ศิษย์เหล่านี้กลับทำได้เพียงแค่เงียบงัน
ราวกับทุกคนนั้นได้คิดออกมาในทิศทางเดียวกัน
สิ่งที่ทำให้พวกเขาบังเกิดความคิดนี้ขึ้นมา เป็นเพราะผู้อาวุโสร่างผอมแห้งที่รั้งตำแหน่งเป็นกรรมการผู้ควบคุมลานประลองแห่งนี้ ก่อนหน้านี้ได้ทำเรื่องไร้เหตุผลไปอย่างมากมายหลายครั้ ง
แต่ด้วยสิ่งแวดล้อมเฉกเช่นนี้เอง หลังจากที่พวกเขาอยู่ในสำนักมาได้ปีสองปี พวกเขาต่างก็ถูกตรึงเอาไว้ด้วยความคิดที่ว่าผู้บ่มเพาะบนเส้นทางโลหิตนั้นคือผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุด
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งผู้ควบคุมลานประลองแห่งนี้ยังเป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง
ด้วยสิ่งนี้ทำให้เมื่อทั้งสองขึ้นลานประลองไป ผอ.สำนักและผู้อาวุโสอีกสองแผนกยังมั่นใจว่าเฉินเฉียงนั้นต้องตกตายอย่างไม่ต้องสงสัย
จะยกเว้นก็เพียงศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิต ที่ทุกคนในตอนนี้ต่างก็ทำตัวราวกับโดนสาดด้วยเลือดไก่ตะโกนโหวกเหวกโวยวายอย่างไม่หยุดพัก “ท่านผู้อาวุโสจะต้องชนะ ฆ่าไอ้เฉินเฉียงผู้นั้ นซ้า….”
ถึงแม้พวกเขานั้นจะไม่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายใน และเพียงมองเห็นได้แค่เปลวไปที่ลุกโชนไปทั่วก็ตาม
ถึงแม้พวกเขาจะรู้ดีว่าผู้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งไฟนั้นเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่สะกดข่มผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตได้
แต่ถึงกระนั้น เหล่าศิษย์ของแผนกหุ่นเชิดโลหิตต่างก็มีใจเดียวกัน นั่นก็คือผู้อาวุโสผู้ซึ่งเดินบนเส้นทางเดียวกับพวกตนนั้นต้องชนะเป็นแน่แท้
และเฉินเฉียงที่เข่นฆ่าศิษย์แผนกเดียวกับพวกเขาไปนั้นเป็นเพียงตัวระยำตำบอนที่เป็นเพียงอาหารให้กับหุ่นเชิดโลหิตของผู้อาวุโสที่พวกเขาเคารพนับถือ
หากจะให้พูดกันแล้ว ก็คงมีเพียงหยานเสวี่ยและคนในกองกำลังเทียนเว่ยเท่านั้นที่คิดว่าผลการประลองจะออกมาแตกต่างจากที่คนอื่นคิด
ที่ด้านในลานประลองในตอนนี้ เมื่อเห็นว่ากำแพงลานประลองนั้นถูกเคลือบไว้ด้วยเปลวไฟของตนแล้ว เฉินเฉียงก็รู้สึกผ่อนคลายลง ก่อนจะหันไปมองผู้อาวุโสร่างผอมแห้งตรงหน้าด้วยรอยยิ้ มที่แสยะอย่างที่สุด
“ไอ้แก่ คนเช่นแกนั้นอยู่ไปก็รังแต่เป็นภัยพิบัติของโลกใบนี้”
“แกรู้รึเปล่าว่าเหตุผลที่ข้าผู้นี้มาที่สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าของแกนั้น หลักๆแล้วก็คือการกวาดล้างไอ้พวกไม่ใช่คนไม่ใช่ผีเช่นแกไปนี่แหละ”
“รวมถึงไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่แกเคารพนักหนานั่นด้วย”
“อ้อ ข้าลืมบอกแกไปน่ะไอ้แก่ แกคงรู้อยู่สินะว่าไอ้วิหารศักดิ์สิทธิ์ห่าเหวอะไรนั่นพยายามที่จะบุกไปยังอีกเขตแดนนึงอยู่”
“ข้าขอบอกตามตรงเลยนะว่าข้า เฉินเฉียงผู้นี้ เป็นผู้คนบนโลกอีกฟากฝั่งหนึ่งของเขตแดนนั่น”