ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 449 จากไปอย่างสงบ
บทที่ 449 จากไปอย่างสงบ
“ไอ้เจ้าผู้อาวุโสผู้คุมลานประลองนี่มันอ่อนด้อยขนาดนี้เลยงั้นรึ กับเพียงแค่ศิษย์ระดับสามแผนกปรุงยาคนหนึ่ง ทำไมมันถึงได้ใช้เวลาจัดการเนิ่นนานนัก”
ที่ด้านนอกลานประลองนั้น ผู้อาวุโสเฟิงที่นั่งอยู่เยื้ยงข้างหลังผอ.จ้งได้บ่นอุบออกมา
หยุนอ่าวเองก็แสดงออกมาด้วยสายตาเย็นชาและเรียบนิ่งประดุจสายน้ำโดยไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ
ถึงแม้เฉินเฉียงจะเป็นศิษย์แผนกของตนเองแถมยังแสดงความสามารถออกมาอย่างสูงล้ำก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ในฐานะเป็นผู้ที่นั่งอยู่บนจุดสูงสุดคนหนึ่งของสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า เขาย่อมรู้ดีว่าโลกปีศาจแห่งนี้นั้น นอกจากผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตแล้ว ผู้บ่มเพ พาะบนเส้นทางอื่นหรือก็คือศิษย์แผนกอื่นนั้นเป็นได้เพียงบันไดเอาไว้ให้ศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตคอยเหยียบย่ำก้าวเหนือขึ้นไป
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินเฉียงผู้นี้ยังฆ่าศิษย์ที่เขาภูมิใจที่สุดอย่างหลิวกวงไป
นี่เป็นสิ่งที่หยุนอ่าวนั้นไม่อาจให้อภัยได้
ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจอย่างที่สุดต้องมาตกตายในการประลองเป็นแห่งนี้ และตกตายประดุจดั่งตัวตลก นี่จึงทำให้เขานั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าจะให้ผู้อาวุ โสผู้คุมกฎผู้นี้เป็นคนลงมือจัดการ
“ไม่ต้องห่วงน่า นี่ก็สมควรจะใกล้จบลงแล้ว” ผอ.จ้งพูดออกมาก่อนจะเผยรอยยิ้มแล้วพูดต่อ “หากข้าเข้าใจไม่ผิด ผู้อาวุโสผู้คุมกฎนั้นสมควรจะมัวแต่ทำเป็นเล่นกับไอ้เด็กนี่อยู่เท่ านั้น”
กำแพงลานประลองที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยผอ.จ้งนี้ ตัวเขาเองนั้นก็ไม่อาจจะสัมผัสภายในได้เช่นเดียวกับคนอื่น แต่ด้วยฐานะที่เขาเป็นถึงราชาเหนือราชาขั้นกลาง รวมถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่เขาได้สั่งสมมานั้นทำให้เขาเชื่อมั่นในการคาดคะเนของตน
และในตอนที่เขาได้เอ่ยปากออกมานี้ก็เป็นตอนที่เฉินเฉียงจัดการผู้อาวุโสร่างผอมแห้งไป
นี่ทำให้การคาดคะเนของผอ.จ้งดูน่าเชื่อถือขึ้นมาในทันที เพราะเพียงแค่สิ้นคำของผอ.จ้ง กำแพงไฟที่อยู่ในลานประลองก็เริ่มมอดดับลง จนกระทั่งหายไปจนหมดสิ้น
และในลานประลองแห่งนี้ นอกจากร่างของผู้อาวุโสร่างผอมแห้งแล้วไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่อีก
“หึหึหึ ก็อย่างที่ข้าบอก ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เขานั้นเป็นถึงหนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดของหอผู้คุมกฎเลยนะ ด้วยระดับการบ่มเพาะของเขาแล้วจะยุ่งยากในการจัดการไอ้เด็กนั่นได้ย ยังไงกัน ว่างั้นรึเปล่าพี่หยุน”
หยุนอ่าวกลอกตามองไปยังผู้อาวุโสเฟิงโดยยังไม่พูดสิ่งใดออกมา ในเมื่อการประลองนี้จบสิ้น เขาเองก็ไม่คิดจะอยู่อีกต่อไป ก่อนจะสบถออกมาทีหนึ่งแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
“ไอ้บ้าหยุนอ่าวนี่นิสัยเสียไม่เปลี่ยนเลยวุ้ย” ผู้อาวุโสเฟิงพูดพลางสะบัดมือไล่หลังไป
ผอ.จ้งในตอนนี้ได้ตวัดมือของตนเพื่อยกเลิกกำแพงลานประลองไป
อย่างที่คิดเอาไว้ ศิษย์แต่ละแผนกนั้นแม้จะประหลาดใจและแสดงออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี แต่ในใจของพวกเขาในตอนนี้นั้นกลับอดไม่ได้ที่จะลอบถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างไม่ทราบเหตุผ ผล
“ยินดีกับชัยชนะของท่านด้วย ท่านผู้อาวุโสผู้คุมกฎ”
ศิษย์เกือบทุกคนเอ่ยปากของตนกล่าวคำแสดงความยินดีออกมาเกือบจะพร้อมกัน
ยกเว้นก็เพียงหยานเสวี่ยและคนในกองกำลังเทียนเว่ยเพียงเท่านั้น
หยานเสวี่ยในตอนนี้จิตใจของเธอนั้นเย็นเฉียบในทันทีตั้งแต่ตอนที่เห็นว่าในลานประลองนั้นมีเพียงผู้อาวุโสร่างผอมแห้งผู้นี้เพียงคนเดียวเท่านั้น
“ศิษย์…น้อง…เล็ก…”
“กัปตัน….”
กัวเหลียงและเม่ยหลัวหลันหลั่งน้ำตาออกมาด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย
ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม พวกเขาก็ไม่อาจยอมรับได้ว่าเฉินเฉียงนั้นต้องตกตายเพียงเพราะมดปลวกเฉกเช่นผู้อาวุโสร่างผอมแห้งผู้นี้
หากว่ากันตามตรงแล้ว เฉินเฉียงนั้นสมควรจะฆ่าผู้อาวุโสร่างผอมแห้งผู้นี้ได้ง่ายๆราวกับพลิกฝ่ามือเท่านั้น
แต่ในความจริงต่อหน้าพวกเขานั้นกลับกลายเป็นว่าผู้ที่หลงเหลือออกมาจากลานประลองกลับกลายเป็นมดปลวกตนนั้น
เฉินเฉียง….จากไปแล้ว
“ไอ้แก ฆ่าจะฆ่าเจ้า”
หลางซานเอ๋อที่โดยปกติมีนิสัยดุร้ายอยู่แล้วนั้น เขาได้พุ่งขึ้นหน้าออกไปก่อนใครหมายที่จะสังหารผู้อาวุโสร่างผอมแห้งผู้นี้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
ถึงแม้ว่าผอ.จ้งจะยังคงอยู่ดูสถานการณ์อยู่ตรงที่นั่งกรรมการ แต่หากกองกำลังเทียนเว่ยที่อยู่ที่นี่ทุกคนต่างพร้อมใจกัน แม้ไม่อาจจะจัดการผอ.จ้งผู้นี้ได้โดยง่าย แต่พวกเขาก็ไม่อาจ จถูกจัดการลงได้ง่ายๆเช่นเดียวกัน
แต่ก่อนที่หลางซานเอ๋อและเหรินหมิงที่ตามไปติดๆจะได้ลงมือทำอะไร ทั้งสองถูกหยุดไว้โดยหนี่เฟิงในทันที
-หยุดเลยนะพวกเจ้า ลองมองดูที่ข้อมือขวาของผู้อาวุโสผู้คุมกฎคนนั้นก่อน-
เมื่อได้ยินเสียงผ่านจิตวิญญาณของหนี่เฟิง หยานเสวี่ย หลางซานเอ๋อและคนอื่นๆในกองกำลังก็รีบเพ่งดวงตาของตนไปที่ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งผู้นี้
กำไรสื่อสาร.…เรอะ
เมื่อทุกคนได้เห็นกำไรสื่อสารที่คุ้นเคยนี้ ทุกคนล้วนแล้วแต่บังเกิดความสุขที่หลั่งไหลขึ้นมาในห้วงจิตสำนึก
เป็นตอนนี้ที่มีเสียงหนึ่งได้ดังก้องอยู่ในห้วงจิตสำนึกของหยานเสวี่ยและคนอื่นๆในกองกำลังเทียนเว่ย มันเป็นเสียงผ่านจิตวิญญาณของเฉินเฉียง
“หยานเสวี่ย/พวกเจ้าทุกคนแสดงสีหน้าโศกเศร้าหน่อยสิ แต่อย่าให้เกินงามนะ เดี๋ยวข้าเล่นต่อไม่ถูก”
เมื่อได้ยินคำพูดที่คุ้นเคยนี้ หยานเสวี่ยก็ได้หลั่งน้ำตาออกมาจริงๆ
มันเป็นน้ำตาของความปิติยินดีของเธอ
แต่ไม่ว่ามันจะเป็นน้ำตาที่หลั่งออกมาด้วยความรู้สึกไหนก็ตาม น้ำตาที่หลั่งไหลนี้กับทำให้ฉากแห่งความโศกเศร้านั้นสมจริงขึ้นมาในทันที
และเมื่อได้เห็นใบหน้าที่หลั่งน้ำตาของหยานเสวี่ย กัวเหลียงและคนอื่นๆก็รีบเข้าไปรุมล้อมเธอและพูดปลอบใจกันออกมา “น้องสะใภ้อย่าเสียใจไปเลย”
“ต่อให้ข้าไม่อาจคืนชีพเฉินเฉียงขึ้นมาได้ แต่พี่เขยผู้นี้จะเป็นคนดูแลเจ้าเอง จะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าได้อย่างแน่นอน”
“ถูกต้อง น้องสะใภ้ ดวงวิญญาณของเฉินเฉียงบนสรวงสวรรค์จะต้องคอยปกปักรักษาเจ้าเป็นแน่ ฮืออออออ”
“ไอ้ฉิบหาย กัวเหลียง เอ็งจะร้องหายออกมาทำซากอะไรมากมายวะ ดูสิว่าน้ำมูกของเจ้านั้นหยดมาโดนข้าแล้ว หากเจ้าร้องไห้มากไประวังกัปตันจะกลายเป็นผีร้ายมาหาเจ้าแล้วพาไปอยู่ด้วยก กันนะโวย”
“ไอ้หลางซานเอ๋อ ไอ้หัวขวด เจ้าพูดบ้าอะไรออกมา ต่อให้กัปตันกลายเป็นผีก็ต้องเป็นผีดีสิวะ คนอย่างเขาจะกลายเป็นผีร้ายได้ยังไงกัน”
“ฮืออๆๆๆ กัปตันผู้น่าสงสาร ท่านได้ตกตายอย่างน่าอนาถนัก”
“น่าเสียดายนัก อุตส่าห์ได้เป็นศิษย์สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าที่ใฝ่ฝันแล้วแต่ยังไปได้ไม่ถึงไหนเลย ทำไมถึงได้เร่งรีบจากไปเช่นนี้”
เฉินเฉียงที่ยังอยู่บนเวทีในตอนนี้มีความรู้สึกขุ่นเคืองจนอยากจะวิ่งเข้ามาตบกะโหลกของทุกคนในทันทีเมื่อได้ยินคำอาวอนที่ถ่ายทอดออกมาแต่ละคำ
ทำไมคนของเขาช่างไร้ยางอายเช่นนี้กันฟะ
หลังจากจ้องมองไปยังผู้อาวุโสผู้คุมกฎของสำนักตนอีกเล็กน้อยแล้ว ผอ.จ้งที่ยังคงอยู่ในท่าทางสุขุม ก็ได้เอื้อนเอ่ยออกมาเพียงสามคำ
“น่าเบื่อนัก”
เมื่อพูดจบ เขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนผู้อาวุโสเฟิงนั้น ด้วยการที่เป็นผู้ที่เดินบนเส้นทางบ่มเพาะเดียวกัน เขาก็เดินไปตรงหน้าของเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสผู้คุมกฎอยู่ แล้วพูดออกมา “ฮี่ฮี่ฮี่ ผ ผู้อาวุโสผู้คุมกฎ การที่ท่านได้ฆ่าไอ้เด็กนี่ไปได้ถือว่าเป็นการระบายแค้นให้กับศิษย์ในแผนกหุ่นเชิดโลหิตของพวกเราแล้ว”
เมื่อพูดจบ ผู้อาวุโสเฟิงก็ได้ตบไหล่ของเฉินเฉียงไปสองที
ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะอยู่ในรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสหอผู้คุมกฎที่เป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตอยู่ แต่กับการถูกผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตอย่างผู้อาวุโสเฟิงผู้น นี้มาถูกเนื้อต้องตัว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาในใจ
“เอ่อ ใช่สิ ผู้อาวุโสผู้คุมกฎ หลังจากเจ้าสู้กับไอ้เด็กนั่นไปแล้ว ดูเหมือนว่าระดับการบ่มเพาะของเจ้านั้นจะเพิ่มขึ้นมานะเนี่ย แต่ก็อีกล่ะนะ ก็ไอ้เด็กนั่นมีความสามารถไม่น้อยเลย นี่นา”
“ขอถามตรงๆเลยนะว่าเจ้าได้อะไรมาจากไอ้เด็กนั่นมั่งเนี่ย”
เฉินเฉียงนั้นจับจ้องไปที่ผู้อาวุโสเฟิงผู้นี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันหน้าแล้วเดินลงลานประลองไปอย่างไม่พูดไม่จา ก่อนที่จะพูดกับหยานเสวี่ย กัวเหลียงและคนอื่นๆในกองกำลังเทียน เว่ย “ข้ารู้ว่าพวกเจ้านั้นมีสายสัมพันธ์อันดีกับเฉินเฉียง”
“อย่างไรก็ตาม ไอ้เด็กนั่นมันทำตัวยโสโอหังอย่างเกินการ และคนเช่นนั้นก็ล้วนแล้วแต่ต้องมีจุดจบเช่นนี้”
“แต่ผู้อาวุโสผู้นี้ก็เล็งเห็นว่าพวกเจ้าเองก็มีทักษะความสามารถอยู่ไม่น้อย เอาอย่างนี้แล้วกัน ผู้อาวุโสผู้นี้กำลังต้องการคนในกองกำลังของข้า พวกเจ้าทั้งกลุ่มก้อนไปหาคนมาเพิ่ม มอีกสักสองคนแล้วมาอยู่กับข้า”
เมื่อเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสผู้คุมกฎได้พูดจบลง กัวเหลียงก็พยักหน้ารับพร้อมน้ำตา ก่อนที่จะสูดน้ำมูกให้เข้าไปลึกสุดหยั่งแล้วปาดน้ำตาจนหมดแล้วพูดออกมา “ไ ไอ๊หยา ท่านผู้อาวุโสผู้คุมกฎช่างใจกว้างนัก พวกข้าขอขอบคุณในความใจกว้างของท่านจริงๆครับ”
“ข้านั้นได้ยินมาตลอดว่าท่านผู้อาวุโสผู้คุมกฎนั้นมีนิสัยที่โหดร้าย และนิสัยที่ผิดแผกแตกต่างจากคนอื่น แต่นั่นดูเหมือนเป็นเพียงข่าวลือเพียงเท่านั้นสินะ”
“ในอนาคต หากมีท่านผู้อาวุโสผู้คุมกฎเป็นผู้คุ้มครองพวกเราเหล่าพี่น้อง พวกเราก็ยินดีที่จะติดตามท่านในตอนที่ได้อยู่ในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าแห่งนี้”
“กัวเหลียง ไปยืนข้างๆไป เอาแต่พูดไร้สาระอยู่ได้”
หลางซานเอ๋อได้ลากกัวเหลียงออกมา ก่อนจะเผยรอยยิ้มบนใบหน้า
“ฮี่ฮี่ฮี่ ผู้อาวุโสผู้คุมกฎ มีใครบางคนได้เล่าลือกันว่าท่านนั้นเป็นประดุจผีร้ายที่คอยขโมยน้ำท่าในห้องน้ำหญิงอยู่เป็นนิจ ข้าว่าไอ้พวกนั้นมันเป็นพวกปากปีจอชัดๆ”
“ในเมื่อท่านเป็นผู้มีจิตใจที่กว้างขวางประดุจห้วงมหาสมุทรแบบนี้ ท่านจะไปทำเรื่องไร้ยางอายเยี่ยงนั้นได้เช่นไร”
“คนเช่นท่านนั้น….”
หลางซานเอ๋อถูกลากออกไปข้างๆในทันทีตั้งแต่ยังไม่ได้พูดจบ
คำพูดของหลางซานเอ๋อนั้นถูกเมินเฉยโดยเฉินเฉียงไปอย่างไม่แยแส แต่ใบหน้าของเขานั้นกับมีสีหน้าที่มืดทึบขึ้นมาในทุกช่วงขณะที่ได้ยิน
“ฮี่อี่ฮี่ ท่านผู้อาวุโสผู้คุมกฎ ท่านอย่าได้ไปรับฟังคำพูดของไอ้สองตัวนั่นเลยนะ”
“ท่านผู้อาวุโสผู้คุมกฎนั้นมีความสามารถเลิศล้ำอย่างที่สุด และพี่สะใภ้ของพวกเราเองนั้นก็พึ่งจะสูญเสียคู่ครองไป ข้าว่าท่านนั้นควรจะรับนางไปคอยดูแลด้วย ท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร ร”