ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 451 ปัญหา
บทที่ 451 ปัญหา
หลังที่เฉินเฉียงได้วางป้ายแสดงสถานะของผู้อาวุโสผู้คุมกฎ(ผู้อาวุโสร่างผอมแห้ง)ลงไปบนกล่องหยก เพียงชั่วพริบตา กล่องหยกก็ได้บังเกิดเสียงหนึ่งขึ้นมาดัง ปุ
เฉินเฉียงได้มองไปที่กล่องหยกด้วยท่าทางมีความสุข ก่อนจะหยิบเคล็ดวิชาภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรออกมาจากกล่องหยกนี้
ถึงแม้สถานะของผู้อาวุโสผู้คุมกฎที่เฉินเฉียงเปลี่ยนรูปลักษณ์อยู่นี้จะมีสถานะที่สูงไม่น้อยก็ตาม แต่เขาเองก็ไม่อาจจะนำตำราล้ำค่าของหอตำราออกไปจากเขตได้เช่นกัน
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นอีก เขาจึงเดินไปที่มุมห้องหนึ่งแล้วนั่งลงเพื่ออ่านเคล็ดวิชา
“ผู้อาวุโสผู้คุมกฎ ท่านมาที่นี่ทำไม”
เมื่อเขาได้นั่งลง เขาก็ได้ยินเสียงจากศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตที่อยู่ในชุดผู้คุมกฎคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเฉินเฉียงด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงกำลังถือเคล็ดวิชาใดอยู่นั้น นี่ทำให้ใบหน้าของเขานิ่วคิ้วขมวดในทันใด
“ผู้อาวุโสผู้คุมกฎ ข้าพึ่งได้ยินมาจากพวกขยะจากแผนกวิชายุทธ์ว่าท่านมายังที่นี่ ศิษย์ผู้นี้ยังคิดในคราแรกว่าพวกมันพูดจาไร้สาระกันอยู่เลย”
“แต่ในตอนนี้ข้าเห็นแล้วว่ามันไม่ผิดเพี้ยนแต่อย่างใด”
“ผู้อาวุโสผู้คุมกฎ ท่านเองก็เป็นถึงผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตที่สูงล้ำ แล้วท่านจะไปศึกษาเคล็ดวิชาขยะของไอ้พวกวิชายุทธไปทำไมกัน”
“นี่มันเท่ากับสร้างความเสื่อมเสียให้กับแผนกของพวกเราชัดๆ”
เฉินเฉียงแต่เดิมก็คิดไว้เพียงจะนิ่งเงียบและปล่อยผ่านไปเพื่อหวังจะได้ดูเนื้อหาเคล็ดวิชาภาพวาดห้วงมหาสมุทรอยู่เงียบๆ แต่เขานึกไม่ถึงว่าจะถูกศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตที่เขาเก กลียดชังมาพูดจาใส่อย่างดูถูกดูแคลน
นี่ทำให้เขาแสดงสีหน้าที่เย็นชาออกมา ก่อนจะพูดสบถออกไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “หากผู้อาวุโสผู้นี้ต้องการทำสิ่งใดแล้วต้องรายงานเจ้าให้รับรู้ด้วยงั้นรึ”
นี่ทำให้ศิษย์แผนกวิชายุทธ์ที่อยู่ไม่ไกลนั้น เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่เป็นมิตรของเฉินเฉียงอย่างที่สุดนี้ ทำให้รีบเข้ามาทำท่าหาข้อมูลอย่างไม่ห่างไกล แล้วเลือกสรรตำราที่ไม่ต้อง งการอย่างช้าเชื่องในทันใด
ส่วนศิษย์ผู้คุมกฎในตอนนี้แสดงออกมาด้วยสีหน้าที่โกรธเคือง
“ผู้อาวุโสผู้คุมกฎ การที่ท่านทำท่าราวกับยอมรับในเคล็ดวิชายุทธเช่นนี้มันไม่ใช่การทำให้ตัวเองตกต่ำลงไปหรอกเหรอ”
“หากท่านต้องการจะอ่านตำรา อย่างน้อยๆก็ควรจะอ่านตำราที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางบ่มเพาะของพวกเรา ทำมันต้องทำตัวชั้นต่ำลงไปเกลือกกลั้วกับขยะโสมมเช่นนั้น”
ด้วยการที่น้ำเสียงของศิษย์ที่ประจำอยู่ในหอผู้คุมกฎคนนี้ไม่ได้เบาแต่อย่างใด ศิษย์แผนกวิชายุทธ์ทั่วทั้งชั้นสองนี้สามารถได้ยินมันได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ ถึงแม้พวกเขาจะอดทนไม่ พูดออกมา แต่พวกเขาย่อมต้องขุ่นเคืองอยู่ภายใน
แต่เฉินเฉียงนั้นหาได้ทนไม่
ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม เขาในตอนนี้อยู่ในรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสผู้คุมกฎ ต่อให้ไอ้เด็กนี่ไม่ได้เป็นคนในสังกัดของเขา แต่อย่างน้อยคนผู้นี้ก็ควรจะรู้ที่สูงที่ต่ำกันบ้างไม่ใช่รึ ไง
เป็นเพียงแค่ลูกกระจ๊อกตัวน้อยแต่หาญกล้าท้าทายผู้ยิ่งใหญ่
คงเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ
เมื่อเห็นท่าทางเย็นชาของเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสผู้คุมกฎ คนของผู้คุมกฎผู้นี้หาได้มีท่าทีแยแสไม่ซักกระผีกนิดก็ไม่มี
เขายังตบไปที่อกของตนเองแล้วพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ “ผู้อาวุโสผู้คุมกฎ ถึงแม้ท่านจะได้ชื่อว่าเป็นผู้อาวุโสผู้คุมกฎ แต่ท่านก็ยังเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสฉี”
“ยิ่งไปกว่านั้นในพื้นที่หอตำราแห่งนี้ ต่อให้ท่านอยากจะลงมือสั่งสอนศิษย์ผู้นี้ ท่านก็ไม่อาจจะลงมือได้เป็นอันขาด”
“ดังนั้นศิษย์ผู้นี้ขอแนะนำว่าท่านอย่าได้ทำอะไรที่มันเกินเลยมากนัก ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ต่อให้ท่านเป็นผู้อาวุโสของหอผู้คุมกฎ แต่สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าก็จะไม่ปล่อยท่านไว้ อย่างแน่นอน”
เมื่อเห็นท่าทางมั่นใจของเด็กน้อยตรงหน้า เฉินเฉียงก็ได้วางเคล็ดวิชาภาพวาดห้วงมหาสมุทรลง ก่อนจะยืนขึ้นตั้งตัวตรงพร้อมวางมือไพล่หลัง ก่อนจะจับจ้องไปที่ศิษย์ผู้คุมกฎตรงหน้าด้ วยสายตาที่เย็นชา พร้อมความรู้สึกที่ว่าหมายจะฆ่าให้แดดิ้นไปเสียตรงนี้
อย่างไรก็ตาม คำพูดที่ศิษย์ผู้คุมกฎได้พูดเอาไว้ก่อนหน้านี้นั้นถูกต้องแล้ว สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้ามีกฎเช่นนั้นอยู่จริง
ต่อให้เขาไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา แต่เขาเองก็ไม่อยากให้แผนการของเขานั้นต้องถูกรบกวน
แต่ถ้าจะปล่อยให้เด็กโอหังทำตัวพองขนเช่นนี้หลุดรอดกลับไปมีชีวิตอยู่ต่อน่ะเหรอ
ไม่มีทางซะหรอก
หลังจากสบถออกมาเบาๆ เฉินเฉียงก็จับจ้องไปที่ศิษย์ผู้คุมกฎตรงหน้าด้วยใบหน้าที่ดูแคลน “สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้านั้นมีกฎห้ามไม่ให้ศิษย์ต่อสู้กันในหอตำรามันก็จริง แต่มันก็ไม ม่ได้อนุญาตให้ศิษย์ผู้คุมกฎนั้นมาขัดขวางการหาข้อมูลของคนอื่นด้วยเหมือนกันไม่ใช่รึ”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไสหัวไปซะ”
เมื่อเฉินเฉียงพูดจบ คลื่นเสียงทำลายวิญญาณที่ทรงพลังก็ถูกส่งกระแทกเข้าไปในห้วงจิตสำนึกของศิษย์ผู้คุมกฎในทันที
ด้วยความทรงพลังของค่าสภานะพลังจิตของเฉินเฉียงในตอนนี้ อย่าว่าแต่ผู้บ่มเพาะระดับขุนพลขั้นกลางเลย แม้แต่ระดับราชาก็ยังเจ็บหนักหากป้องกันมันไว้ไม่ได้
“อ๊ากกกกก”
และเพียงสิ้นคำพูดของเฉินเฉียง หอกในมือศิษย์ผู้คุมกฎผู้นี้ก็ได้ร่วงหล่นลงไปกับพื้น พร้อมสองมือที่กุมหัวของเขาไว้แน่น แล้วล้มกลิ้งไปมากับพื้นหอตำราอย่างไม่หยุดหย่อน
ฉากที่เกิดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนนี้เองทำให้ศิษย์แผนกวิชายุทธที่พบเห็นเหตุการณ์ยืนนิ่งตะลึงงันและมีสีหน้าที่ตื่นตระหนกและซีดเผือดไปตามลำดับ
ถึงแม้ว่าพวกเขาเขาจะไม่กล้าที่พูดจาว่ากล่าวศิษย์ผู้คุมกฎผู้นี้ออกมาเลยสักครั้ง แต่เมื่อเห็นแกนี้ พวกเขาก็อดที่จะรู้สึกยินดียิ่งขึ้นมาในใจไม่ได้กับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
แต่ด้วยเหตุการณ์ตรงหน้าพวกเขานี่เองก็ทำให้มีศิษย์ผู้คุมกฎคนอื่นที่ได้รีบเร่งเข้ามาเมื่อได้รับรู้สถานการณ์
เมื่อศิษย์แผนกวิชายุทธ์ทั้งหลายได้เห็นว่าศิษย์ผู้คุมกฎได้ร่วงลงไปล้มกลิ้งไปมากับพื้น พวกเขาก็รีบแตกฮือรีบเร่งหนีไปในทุกทิศทุกทาง
“พวกเจ้าจะหนีไปไหน หยุดอยู่กับที่เดี๋ยวนี้”
เป็นตอนนี้ที่เสียงโอดครวญของศิษย์ผู้คุมกฎที่ดังขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อนได้ดังขึ้นอย่างโหยหวน ได้ดึงดูดศิษย์ผู้คุมกฎสองคนให้เข้ามาดุ
ที่ด้านทางเข้าของชั้นสองนี้ ศิษย์ผู้คุมกฎได้หยุดศิษย์แผนกวิชายุทธทุกคนที่แตกฮือด้วยเสียงที่ดุดันและครั่นคร้าม
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเห็นว่าตรงหน้าเฉินเฉียงในตอนนี้มีศิษย์ร่วมหอที่ถูกโจมตีโดยเฉินเฉียงจนห้วงสำนึกแหลกและ เหลือไว้เพียงซากร่างที่โง่งม
“ศิษย์น้องหลิวเหริน ศิษย์น้องหลิวเหริน เจ้าเป็นอะไรไป”
หนึ่งในสองศิษย์ผู้คุมกฎได้รีบเร่งประคองไหล่ศิษย์ผู้คุมกฎที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นในตอนนี้ แล้วขานชื่อเรียกหาสองครั้งสองครา
เมื่อเห็นสภาพของหลิวเหรินในตอนนี้ที่มีดวงตาที่เลื่อนลอยละล่องไม่ได้จับจ้องอยู่ที่ใด พร้อมมุมปากที่มีน้ำลายไหลยืดไม่หยุดหย่อน และรอยยิ้มกว้างอย่างไม่มีเหตุมีผล ก่อนที่จะหันไ ไปทั่ว มองไปทุกที่ พร้อมกับบ่นพึมพำออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
“เด็กน้อย นั่งลง ที่ประตู ทุกวัน ไม่คิดถึง ภรรยา เด็กน้อย นั่งลง ร้องไห้ที่ขอบประตู ร้องไห้ให้ภรรยา….”
เมื่อศิษย์ผู้คุมกฎทั้งสองได้เห็นฉากนี้ต่างก็มองหน้ากันพร้อมดวงตาที่แสดงออกมาอย่างประหลาดใจ
มันเป็นการโจมตีทางจิตวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงแม้จะบอกว่าหอตำราแห่งนี้มีกฎว่าห้ามศิษย์ต่อสู้กันในหอตำรา แต่ด้วยการที่การโจมตีทางจิตวิญญาณนั้นไร้รูปลักษณ์ไร้สีสัน มันไม่เหลือหลักฐานให้สาวต่อได้ว่าผู้ใดเป็นคนล ลงมือกระทำ
แต่สำหรับศิษย์ผู้คุมกฎสองคนนี้แล้ว มันไม่ได้ทำให้เรื่องราวการสอบสวนต้องยากเย็นขึ้นแต่อย่างใด
ด้วยตำแหน่งศิษย์ผู้คุมกฎที่สำนักมอบให้มานั้นทำให้ทั้งสองมีสถานะที่สูงล้ำเกินศิษย์ทั่วไป และพวกเขาเองก็เป็นถึงผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นนี้อ อยู่ในพื้นที่หอตำราวิชายุทธ พวกเขาแค่หาศิษย์แผนกวิชายุทธสักคนสองคนไปรับบาปแทนก็พอ
เมื่อคิดได้แบบนี้ ทั้งสองจึงรีบยืนขึ้นก่อนจะตะคอกไปหาศิษย์แผนกวิชายุทธ์ที่ถูกหยุดไว้ที่หน้าประตูในทันที “ไอ้ขยะ พวกเจ้ากล้าโจมตีศิษย์ผู้คุมกฎของสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าง งั้นรึ”
“ตามพวกเข้าไปหอผู้คุมกฎแล้วไปให้ปากคำกับพวกข้าเดี๋ยวนี้”
“ไปหอผู้คุมกฎ…..เรอะ”
ท่าทางของศิษย์แผนกวิชายุทธ์ที่ทางเข้านั้นตกอยู่ในสภาพลนลานในทันที
หอผู้คุมกฎนั้นล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต หากพวกเขาเข้าไปย่อมไม่มีวันได้ออกมาตัวเป็นๆ
โดยเฉพาะกับผู้ที่ถูกทำร้ายนี้คือศิษย์ผู้คุมกฎด้วยกัน
พวกเขาต้องตกตายอย่างไร้ที่ฝังอย่างไม่ต้องสงสัย
“ศิษย์พี่ผู้สูงส่ง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรานะครับ”
“ใช่แล้วครับ ศิษย์พี่ทั้งสอง จนมาถึงตอนนี้ ศิษย์พี่ผู้คุมกฎท่านนั้นอยู่ๆก็ร่วงหล่นไปกองกับพื้น พอพวกเราเห็นอีกทีก็กลายเป็นบ้าไปแล้ว พวกเราไม่รู้จริงๆว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้ นกัน”
ในขณะที่พูดอยู่นี้ ศิษย์ทั้งสองได้เหลือบมองไปที่เฉินเฉียงปราดหนึ่งแต่ก็ต้องรีบหลบตาไป
พวกเขานั้นพอจะรับรู้ได้ว่าเฉินเฉียงนั้นเป็นสาเหตุ
แต่ตัวเฉินเฉียงเองนั้นอยู่ในรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสผู้คุมกฎ ด้วยสถานะของเขาแล้วไม่ใช่คนที่พวกเขาทั้งสองจะเอ่ยอ้างได้
เฉินเฉียงเองก็รับรู้สายตาของทั้งสองนี้เช่นเดียวกัน
นี่แสดงให้เห็นว่าทั้งสองนั้นพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้
เพียงแต่ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ที่เป็นถึงผู้อาวุโสผู้คุมกฎย่อมไม่มีทางที่จะมีคนเชื่อว่าเฉินเฉียงนั้นเป็นคนลงมือกระทำกับหลิวเหรินผู้นี้
ในขณะเดียวกัน เมื่อศิษย์ผู้คุมกฎทั้งสองเห็นท่าทางแปลกๆของศิษย์แผนกวิชายุทธ์ ทั้งสองก็พอจะจับทางอะไรบางอย่างได้
“ผู้อาวุโสผู้คุมกฎ ดูเหมือนว่าท่านเองก็อยู่ที่นี่ในตอนที่เกิดเรื่อง ท่านพอจะบอกพวกเราได้รึเปล่าว่าใครกันที่ทำร้ายศิษย์น้องหลิวเหรินกัน”