ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 452 เสียชื่อ
บทที่ 452 เสียชื่อ
ถึงแม้ว่าทั้งศิษย์หอผู้คุมกฎทั้งสองคนนั้นอยากจะฟันธงว่าผู้อาวุโสผู้คุมกฎเป็นคนทำในเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะตัดสินให้เป็นเช่นนั้น เพราะพวกเขายังไม่มีหลักฐานใดๆ
เพราะยังไงซะ คนที่กล้าที่จะมีเรื่องกับศิษย์หอผู้คุมกฎได้นั้นก็คงจะมีเพียงผู้ที่อยู่ในระดับสูงกว่าอย่างผู้อาวุโสสูงตรงหน้าของพวกเขา
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
พวกเขาไม่กล้าที่จะหาเรื่องกับผู้อาวุโสหอผู้คุมกฎแต่อย่างใด
เฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสหอผู้คุมกฎนั้นได้วางมือไพล่หลังอยู่ตลอดเวลานับแต่ศิษย์ผู้คุมกฎทั้งสองนั้นได้เข้ามาวุ่นวาย และเมื่อเขาได้ยินคำถามนี้ เขามองไปที่ศิษย์วิชายุทธ์ทั้งสองที่ถูกรั้งตัวไว้ที่หน้าทางเข้า และพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “ผู้อาวุโสคนนี้อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เริ่ม แต่ก็ไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีผู้ใดทำร้ายหรือมีเรื่องราวกับไอ้เจ้าเด็กนี่นะ”
“อีกอย่างคือมันก็เหมือนที่ศิษย์แผนกวิชายุทธ์สองคนนั้นได้กล่าวเอาไว้”
“หลิวเหรินมันก็เป็นบ้าอะไรของมันก็ไม่รู้ อยู่ๆก็ลงไปดิ้นพล่านกับพื้นเสียอย่างนั้น”
“กว่าผู้อาวุโสคนนี้จะรู้ตัวว่าหลิวเหรินมีท่าทีที่แปลกไปมันก็ช้าไปแล้ว เป็นไปได้ว่าเจ้าเด็กนี่ธาตุไฟเข้าแทรกในระหว่างการบ่มเพาะกระมัง”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหล่าศิษย์แผนกวิชายุทธ์ที่ถูกหยุดเอาไว้ที่ประตูทางเข้าออกพื้นที่ชั้นสองก็มีท่าทีมีความสุขขึ้นมาในทันที ก่อนจะรีบพูดสำทับออกมา “ใช่ใช่ใช่ เป็นไปอย่างที่ท่านผู้อาวุโสผู้คุมกฎพูดทุกประการเลยครับ”
“ตอนที่ข้าเริ่มสังเกตเห็นศิษย์พี่หลิวเหรินมีอาการผิดปกติก็เป็นตอนที่เขานั้นเดินไปยังมุมห้องไปมาก่อนจะพูดพร่ำกับตนเองนั่นแหละ”
“เมื่อได้ยินสิ่งที่ท่านผู้อาวุโสพูดออกมานั้น ข้าเองก็คิดว่าเป็นไปได้อย่างมากเหมือนกันที่ว่าศิษย์พี่หลิวเหรินนั้นธาตุไฟเข้าแทรกจนเป็นบ้าไป”
“ถูกต้อง สิ่งที่พวกเราเห็นนั้นเป็นเฉกเช่นที่ท่านผู้อาวุโสผู้คุมกฎได้กล่าวเอาไว้ อยู่ๆศิษย์พี่หลิวเหรินนั้นเป็นบ้าไปเอง มันไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราแต่อย่างใด”
“ศิษย์พี่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเราจริงๆนะ โปรดปล่อยพวกเราไปเถอะ”
“ปล่อยไปเรอะ ฮึ่ม มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกเว้ย”
หนึ่งในศิษย์พี่คุมกฎสบถออกมา พร้อมดวงตาที่ดุร้ายที่เห็นได้อย่างชัดเจน
ในมุมมองของศิษย์ผู้คุมกฎทั้งสอง ศิษย์แผนกอื่นๆก็ไม่ได้ต่างไปจากอาหารโลหิตของหุ่นเชิดของพวกเขา ยิ่งเมื่อพวกเขาได้พบร่องรอย พวกเขาย่อมต้องหาเรื่องให้สองคนนี้กลายเป็นอาหารโลหิตอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉียงก็แสดงออกมาด้วยท่าทีขุ่นเคืองใจ
“โฮ่…..นี่หมายความว่าพวกเจ้านั้นไม่ใช่คำพูดของผู้อาวุโสผู้นี้สินะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ศิษย์หอผู้คุมกฎทั้งสองรีบโค้งคำนับแล้วพูดออกมา “ท่านผู้อาวุโสผู้คุมกฎ ศิษย์ไม่กล้าทำเช่นนั้น”
“แต่ในเมื่อศิษย์พี่หลิวเหรินตกอยู่ในสภาพนี้อย่างไม่รู้ที่มาที่ไป หากพวกเราไม่สืบสวนให้กระจ่างชัด แล้วพวกเราจะไปอธิบายกับผู้อาวุโสฉีได้ยังไงกัน”
“ดังนั้น ข้าขอให้ท่านผู้อาวุโสให้อภัยในการกระทำของพวกเราด้วย”
หลังจากสิ้นคำ ศิษย์ผู้คุมกฎอีกคนหนึ่งได้นำนกหวีดออกมาและเป่ามันในทันที
เสียงที่แหลมเล็กได้ดังออกไปอย่างทอดยาว และนี่ทำให้เสียงฝีเท้าจำนวนหนึ่ง รีบเร่งลงมาจากเพดานของหอตำราวิชายุทธ์
“ใครเป่านกหวีดฉุกเฉิน”
เสียงที่ดูอู้อี้อื้ออึงหนึ่งได้ดังขึ้นมาแต่ไกล มันเป็นเสียงของชายแก่ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับอาวุโสผู้คุมกฎที่เฉินเฉียงเปลี่ยนรูปลักษณ์อยู่ เขาคือผู้อาวุโสผู้คุมกฎระดับสูงสุดที่ควบคุมดูแลศิษย์ผู้คุมกฎของทั้งสี่หอตำรา
“รายงานผู้อาวุโสฉี ศิษย์หอผู้คุมกฎที่ประจำอยู่ที่หอตำราวิชายุทธ์ ศิษย์พี่หลิวเหรินได้เสียสติขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ผู้ใต้บังคับบัญชามีความเห็นว่าเขานั้นได้รับกระทบกระเทือนทางจิตใจโดยการโจมตีทางจิตวิญญาณ”
“เพียงแต่ว่าในที่เกิดเหตุนั้นมีผู้อาวุโสผู้คุมกฎอยู่ด้วย นี่จึงทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่อาจตัดสินใจได้ เมื่อไม่มีทางเลือกจึงต้องเชิญท่านมาที่นี่เพื่อเป็นผู้ตัดสิน”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ผู้อาวุโสฉีได้เหลือบมองไปที่เฉินเฉียง ก่อนจะเดินไปหาหลิวเหรินที่อยู่ข้างๆ
“หลิวเหริน.….”
ผู้อาวุโสฉีได้วางมือบนไหล่ของหลิวเหรินแล้วเรียกชื่อของเขาออกมา
หลิวเหรินเองก็ได้มองผู้อาวุโสฉีกลับ ตามด้วยหัวเราะอย่างตัวโยน
“เด็กน้อยนั่งลงที่หน้าประตูทุกวัน ไม่มีสิ่งใดดีเท่าการมีภรรยา เด็กน้อยนั่งลงที่หน้าประตูเอาแต่นั่งร้องไห้คร่ำครวญอยากได้ภรรยา….เหอเหอเหอ”
เมื่อผู้อาวุโสฉีได้เห็นฉากนี้ เขาก็ได้ส่งพลังจิตเข้าไปยังจิตใต้สำนึกของหลิวเหริน และนี่ทำให้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที
เขาได้ยืนขึ้นมาก่อนที่จะมองไปที่เฉินเฉียงที่มีท่าทีไม่ทุกข์ร้อน “ศิษย์น้อง หลิวเหรินไปทำอะไรให้เจ้ากันถึงได้เล่นงานเขาหนักขนาดนี้”
ผู้อาวุโสฉีผู้นี้เองก็มีระดับการบ่มเพาะในระดับราชาเหนือราชาขั้นกลาง เขาย่อมมีความสามารถในการตรวจสอบอยู่ไม่น้อย และนี่ทำให้เขานั้นค้นพบได้แทบจะในทันทีว่าหลิวเหรินนั้นถูกโจมตีทางจิตวิญญาณที่หนักหน่วง
และมันอยู่ในระดับที่ว่าศิษย์แผนกวิชายุทธ์ที่อยู่ตรงนี้ไร้ความสามารถที่จะทำได้
เขาประเมินได้ในทันทีว่านอกจากเฉินเฉียงแล้วก็ไม่มีคนอื่นใดที่จะทำได้อีก
เฉินเฉียงเองก็รับรู้ได้ว่าตนเองไม่อาจจะปิดซ่อนการกระทำจากคนผู้นี้ แต่แล้วมันยังไงล่ะ หากเขานั้นไม่ยอมรับแล้วตาแก่นี่จะทำอะไรเขาได้กัน
และนี่จึงทำให้เฉินเฉียงนั้นตัดสินใจว่าจะไม่ยอมรับเกี่ยวกับเรื่องนี้
หลังจากปิดตำราลง เฉินเฉียงก็แสดงออกมาด้วยท่าทางประหลาดใจอย่างที่สุด
หลังจากหัวเราะประหนึ่งดั่งผู้ที่ถูกใส่ความ เฉินเฉียงก็ได้พูดออกไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า “ไอ้แก่ นี่แกคิดจะโทษข้างั้นรึ”
ด้วยการที่ผู้อาวุโสฉีและผู้อาวุโสผู้คุมกฎเป็นเพียงผู้อาวุโสสูงสุดเพียงสองคนในหอผู้คุมกฎ ต่อให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นจะไม่สู้ดี แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งรุนแรงชนิดตัดขาด
นี่จึงทำให้ท่าทางที่ดุร้ายของเฉินเฉียงนี้อยู่เหนือการคาดการณ์ของผู้อาวุโสฉีมากนัก
“ผู้อาวุโสผู้คุมกฎ พวกเราทั้งสองต่างก็เป็นเสาหลักของหอผู้คุมกฎแห่งนี้ และนอกจากเจ้าและข้าแล้ว ด้วยระดับของคนอื่นนั้นจะไปมีปัญญาทำให้หลิวเหรินบาดเจ็บได้ถึงขนาดนี้ได้ยังไงกัน”
“เอาจริงนะ ต่อให้เป็นข้าก็ยังไม่อาจจะทำได้ด้วยซ้ำ”
“แต่เจ้านั้นต่างออกไป ในมือของเจ้ามันคือสุดยอดเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่เรียกว่าภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทร”
“ถึงแม้ว่าไอ้แก่คนนี้จะไม่เข้าใจในเคล็ดวิชานี้ แต่ข้าก็รู้ว่ามันเป็นเคล็ดวิชาที่ใช้เพิ่มระดับพลังจิตให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว”
“หากข้าเข้าใจถูกต้อง หลิวเหรินนั้นถูกทำร้ายโดยเจ้า”
ผู้อาวุโสฉีที่พึ่งจะได้เห็นเคล็ดวิชาภาพวาดห้วงมหาสมุทรในมือของเฉินเฉียงก็ตัดสินใจในเรื่องนี้ในทันที
หากว่ากันตามตรง ต่อให้ศิษย์ผู้คุมกฎเหล่านี้จะบาดเจ็บหรือล้มตายไป เขาก็ไม่แยแสแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยถ้อยคำที่ไม่แสดงออกมาซึ่งความเคารพของเฉินเฉียงนี้ทำให้เขานั้นไม่มีความสุขแต่อย่างใด
ในฐานะที่ทั้งสองต่างก็เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของหอผู้คุมกฎ ผู้อาวุโสผู้คุมกฎเช่นเขาก็ไม่ควรจะมาวางท่าไม่ไว้หน้ากัน โดยเฉพาะต่อหน้าธารกำนัลแบบนี้อีก
เฉินเฉียงได้สะบัดเคล็ดวิชาภาพวาดห้วงมหาสมุทรไปมา ก่อนจะมองไปที่ผู้อาวุโสฉีด้วยท่าทางที่ยากจะเอ่ย
“ไอ้แซ่ฉี เจ้าคิดว่าหลิวเหรินนั้นได้รับบาดเจ็บเพียงเพราะตาแก่ผู้นี้หยิบเคล็ดวิชานี้ขึ้นมาอ่านเนี่ยนะ”
“ช่างน่าขันนัก”
“เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นผู้อาวุโสหอผู้คุมกฎ แล้วข้าไม่ใช่รึไงกัน”
“รึจะบอกว่ามีเพียงเจ้าที่ไม่อาจเสื่อมเสียชื่อเสียงได้งั้นรึ”
“ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าหอตำราแห่งนี้ห้ามต่อสู้กัน อย่าบอกนะว่าเจ้านั้นจะอาศัยเรื่องนี้ขับไล่ข้าออกจากการเป็นผู้อาวุโสหอผู้คุมกฎหรอกนะ”
แน่นอนว่าเฉินเฉียงนั้นแสดงออกมาด้วยความคิดที่เกินเลย
แม้การต่อสู้ในหอตำรานั้นจะห้ามไม่ให้มีการต่อสู้เป็นอันขาด แต่ในเมื่อการโจมตีทางจิตวิญญาณนั้นไร้รูป ไร้ลักษณ์ แถมยังมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ใช้มันได้อย่างคล่องแคล่ว ต่อให้ผู้อาวุโสฉีผู้นี้คิดจะทำตามอย่างที่เขาพูดขึ้นมาจริง แต่อย่างน้อยๆก็ควรจะไม่ใช่กับวิธีการที่หาหลักฐานและพยานไม่ได้แบบนี้
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงนั้นยังคงไม่มีความคิดที่จะเลิกรา เขาคิดจะทำให้มันใหญ่โตไปมากกว่านี้เพื่อให้ผู้อาวุโสหอผู้คุมกฎอย่างผู้อาวุโสฉีนั้นต้องอับอายกันไปข้างหนึ่ง
นั่นก็เพราะต่อให้เขาไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่กับศิษย์แผนกวิชายุทธ์เหล่านั้น
“ฮึ่มมมมม”
“นำตัวศิษย์แผนกวิชายุทธเหล่านี้กลับหอผู้คุมกฎ”
“รับคำสั่ง”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ศิษย์หอผู้คุมกฎสี่คนที่อยู่ด้านหลังผู้อาวุโสฉีก็รีบลงมือรุมล้อมศิษย์แผนกวิชายุทธ์เอาไว้หมายจะจับกุม
“โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย ท่านผู้อาวุโสฉี พวกข้าไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆนะ”
เมื่อเห็นว่าพวกตนถูกรุมล้อมไว้ เหล่าศิษย์แผนกวิชายุทธ์ก็รีบร้องขอชีวิตออกมาอย่างลั่นดัง
เฉินเฉียงได้ปรากฏตัวตรงทางเข้าชั้นสองแทบจะในชั่วพริบตา ก่อนจะหยุดศิษย์หอผู้คุมกฎทั้งสี่เอาไว้ “ข้าอยากเห็นนักว่ามีใครกล้าที่จะลงมือ”
เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้อาวุโสฉีก็ถึงกับเดือดดาล ก่อนจะชี้ไปที่เฉินเฉียงก่อนจะโหวกเหวกโวยวายออกมา “ผู้คุมกฎ นี่แกคิดจะทำบ้าอะไรกัน”
ด้วยการที่ผู้อาวุโสฉีนั้นไม่อาจทำอะไรเฉินเฉียงได้ เขาจึงคิดจะใช้ชีวิตของศิษย์แผนกวิชายุทธ์เหล่านี้แทนการระบายแค้น
แต่เขานึกไม่ถึงว่าเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสผู้คุมกฎจะมาหยุดเขาไว้ในเรื่องนี้
เฉินเฉียงสบถออกมาในทันที “ข้าจะทำอะไรงั้นรึ ฉี เจ้ากับข้าต่างก็เป็นผู้อาวุโสผู้คุมกฎของสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า ในเมื่อเจ้าไม่มีหลักฐานที่จะเล่นงานข้า เจ้ากลับกล้าที่จะโยนความผิดให้กับศิษย์จากแผนกอื่นเนี่ยนะ”
“เป็นเพราะมีขยะเช่นเจ้าอยู่ในหอผู้คุมกฎเนี่ยล่ะ สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าถึงได้เกิดเรื่องน่าอับอายอย่างไม่หยุดหย่อน”