ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 453 ประลอง
บทที่ 453 ประลอง
เมื่อได้เห็นเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ผู้อาวุโสผู้คุมกฎออกโรงช่วยเหล่าศิษย์แผนกวิชายุทธ์ด้วยตนเองแบบนี้ นี่ไม่เพียงจะอยู่เหนือความคาดหมายของผู้อาวุโสฉีและศิษย์หอผู้คุมกฎ ฎทั้งหกคน แม้แต่ศิษย์แผนกวิชายุทธ์เองก็ยังไม่อยากจะเชื่อสายตา
หากว่ากันตามตรงแล้ว หอผู้คุมกฎนั้นไม่เคยคิดจะเข้าข้างผู้ใดนอกจากศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ออกโรงช่วยพวกเขานั้นยังเป็นหนึ่งในสองของผู้อยู่บนจุดสูงสุดของหอผู้คุมกฎเสียอีก
เมื่อเห็นชายร่างผอมแห้งตรงหน้าพวกเขาออกโรงช่วยตนเองถึงขนาดนี้ เหล่าศิษย์แผนกวิชายุทธ์นั้นล้วนแล้วแต่อึ้งจนทำได้เพียงมองนิ่งๆเท่านั้น
นี่…พวกเขากำลังฝันอยู่รึเปล่า
แถมผู้ที่ออกโรงช่วยพวกเขานั้นยังเป็นคนเดียวกับที่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนได้นำศิษย์ผู้บริสุทธิ์จำนวนหนึ่งกลับไปพิพากษาโทษที่หอผู้คุมกฎ ซึ่งตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่เคยได้ข่าวคราว วของคนเหล่านั้นอีกเลย
ทำไมตาแก่ตรงหน้าพวกเขานั้นถึงเปลี่ยนไปได้ถึงขั้นที่ว่ากล้าจะขัดขืนความต้องการของผู้อาวุโสฉีเพียงช่วยพวกเขากัน
หรือคำร่ำลือที่ได้ยินมาก่อนหน้าจะเป็นความจริงกัน
คำร่ำลือที่ว่าผู้อาวุโสผู้คุมกฎผู้นี้ได้ทำให้ศิษย์แผนกปรุงยาผู้หนึ่งได้ตกตายลงไปกับมือ แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
หากมันเป็นเรื่องจริง นี่มันทำให้ศิษย์แผนกวิชายุทธ์ของพวกเขานั้นไม่แคล้วจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ชัดๆ
“ผู้อาวุโสผู้คุมกฎ เจ้าอย่าได้มาสอดมือยุ่งเรื่องของคนอื่น ที่นี่คือเขตหอตำรา ถึงแม้เจ้าจะเป็นผู้อาวุโสผู้คุมกฎเหมือนกัน แต่ก็อย่าได้หลงลืมว่าที่นี่คือเขตของข้า ไม่มีสิ่งใ ใดที่เจ้าจะยุ่งเกี่ยวได้”
เมื่อเห็นผู้อาวุโสฉีเดินเข้ามาหาด้วยสายตาที่จงเกลียดจงชัง เฉินเฉียงนั้นกลับสงบนิ่งขึ้นมาทันที เขามองไปที่ผู้อาวุโสฉีอย่างดูแคลน ก่อนที่จะพูดออกอย่างยั่วยุ “ไอ้แก่ เจ้าบอกว ว่าไม่อาจต่อสู้ในหอตำราแห่งนี้ได้ไม่ใช่รึไงกัน”
“แต่ไอ้ท่าทางกับการกระทำของเจ้าในฐานะผู้อาวุโสหอผู้คุมกฎช่างน่าละอายยิ่งนัก”
“หากว่าไม่มีไอ้กฎบ้าๆนี่ ข้าเองก็คงจะเตะตูดเจ้าส่งออกไปแล้วเหมือนกันล่ะวะ”
นับจากที่ผู้อาวุโสฉีปรากฏตัวขึ้นมา เขานั้นแสดงความปรานีต่อเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสผู้คุมกฎอยู่มากมายหลายครั้ง
แต่เฉินเฉียงนั้นกลับไม่เพียงไม่แยแส กลับหาเรื่องตอกกลับมาอย่างไม่หยุดหย่อน เลือกได้ว่าทุกคำพูดของเฉินเฉียงนั้นไม่เหลือทางถอยหนีให้กับผู้อาวุโสฉีได้เลยแม้แต่น้อย
“ผู้คุมกฎ เจ้านั้นยอมกลายเป็นศัตรูกับข้าคนนี้เพียงเพราะศิษย์แผนกวิชายุทธ์จริงๆงั้นรึ”
เฉินเฉียงได้หันไปมองยังศิษย์แผนกวิชายุทธ์ที่อยู่ด้านหลังของเขาแล้วพูดออกมา “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ไปได้แล้ว”
ศิษย์แผนกวิชายุทธ์นั้นราวกับได้รับคำโปรดสัตว์ขึ้นมาในทันทีเมื่อได้ยิน ในตอนนี้พวกเขาหลั่งน้ำตาแห่งความปิติยินดีออกมาในทันใด พลางกล่าวคำขอบคุณออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้อาวุโสฉีรีบออกปากห้ามด้วยเสียงอันดังกึกก้อง “พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนทั้งนั้น ศิษย์หอคุมกฎ ไปนำตัวพวกมันกลับมาให้หมด”
ในตอนที่ศิษย์แผนกวิชายุทธ์หมุนตัวเตรียมที่จะจากไปแล้วนั้นก็ได้ถูกเสียงดังลั่นของผู้อาวุโสฉีสะกดเอาไว้ นี่ทำให้พวกเขาทำได้เพียงหันหน้าไปมองเฉินเฉียงพร้อมทำตาปริบๆ
“ฮี่ฮี่ฮี่ ตราบใดที่ไอ้แก่ผู้นี้ยังยืนอยู่ตรงนี้ ที่นี่ ในวันนี้ ใครที่มันกล้าสร้างความยากลำบากให้กับศิษย์แผนกวิชายุทธ์ล่ะก็ ไม่ว่ามันจะเป็นใครหน้าไหนก็ตาม ข้าจะทำให้ม มันต้องหลั่งเลือดออกมาตรงนี้นี่แหละ”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็มองไปที่ผู้อาวุโสฉีด้วยสายตาที่เย็นยะเยียบ ก่อนที่จะทำเป็นทุบไปที่อกของตนเอง พร้อมส่งหุ่นเชิดโลหิตระดับราชาขั้นกลางสองตนออกมาต่อหน้าผู้คน
ถึงแม้จะมีกฎห้ามไม่ให้ศิษย์สำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าต่อสู้กันในหอตำรา แต่นั่นก็หาใช้ได้กับหุ่นเชิดซากศพได้ไม่ เพราะหากจะต้องการลงโทษ ก็ทำได้เพียงลงโทษหุ่นเชิดซากศพเพียงเท่าน นั้น
นี่ทำให้แม้ศิษย์หอผู้คุมกฎทั้งหกอยากจะทำตามคำสั่งของผู้อาวุโสฉีขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อเห็นหุ่นเชิดซากศพระดับราชาขั้นกลางตรงหน้าถึงสองตัว และจ้องมองมาที่พวกเขาอย่างเขม็งรา าวกับเป็นเทพแห่งความตายที่หมายเอาชีวิตพวกเขาเอาไว้แล้วนั้นต้องคิดแล้วคิดอีก
พวกเขารู้สึกได้ทันทีว่าหากพวกเขาขยับตัวแม้จะเพียงเล็กน้อย หุ่นเชิดซากศพเหล่านี้พร้อมที่จะระเบิดร่างของพวกเขาเป็นชิ้น และฉีกกระชากซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่หยุดยั้ง
ด้วยการที่เป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตเหมือนกัน ผู้อาวุโสฉีจึงไม่ใช่คนที่จะมาถูกกดดันด้วยของพันธุ์นี้
และหลังจากที่เฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสผู้คุมกฎนั้นตั้งแง่ยุแหย่กับเขาซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่ยอมหยุด นี่จึงทำให้ผู้อาวุโสฉีนั้นเดือดดาลขึ้นมาแล้วจริงๆ
นี่ทำให้เขาชี้นิ้วไปที่เฉินเฉียงอยู่ในรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสผู้คุมกฎ แล้วตะคอกกลับไปอย่างดังลั่นและโกรธเคือง “ไอ้เวรตะไลแซ่หลิว ไอ้แก่ผู้นี้ขอท้าประลองกับเจ้า”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็แสยะยิ้มแล้วพูดออกมาอย่างยินดียิ่ง “ไอ้แก่ ข้าเองก็รอคำพูดนี้หลุดออกมาจากปากของเจ้ามานานแล้วล่ะโว้ย”
“ข้าเองก็คิดอยู่ว่าเจ้ามันเป็นแค่ไอ้ขี้ขลาดและไม่มีกึ๋นพอ แต่ข้านึกไม่ถึงเลยจริงๆว่าในวันนี้เจ้าจะกล้าพูดออกมา เอาวะ อย่างน้อยพ่อแม่ของเจ้าก็ไม่ได้ให้กำเนิดออกมาโดยเส สียชาติเกิดแล้วเว้ย”
“ในเมื่อแกอยากจะตายนัก ข้าก็ยินดีจะสนอง”
“ถ้าแกมีกึ๋นพอ งั้นก็ไปยังสนามประลองเป็นตายบัดเดี๋ยวนี้”
“ดี ดี ดี ” หลังจากโดนเฉินเฉียงด่ากราดไปชุดใหญ่ ผู้อาวุโสฉีได้หันไปหาศิษย์หอผู้คุมกฎก่อนจะออกคำสั่งออกไป “พวกเจ้าสองคนพาหลิวเหรินกลับไปยังหอผู้คุมกฎ ส่วนพวกเจ้าสี่คน ตามข้าไปยังสนามประลองเป็นตายซะ”
เฉินเฉียงเองก็ได้หันหน้าไปบอกกับศิษย์แผนกวิชายุทธแล้วพูดออกมา “ใครก็ได้นำเคล็ดวิชาภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรนี่ไปคืนที่ให้ข้าที”
“ข้า”
“ให้ข้าเองครับ”
“ท่านผู้อาวุโสผู้คุมกฎ ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้ท่านเป็นอย่างดี”
เหล่าศิษย์แผนกวิชายุทธที่เกือบจะถูกพาตัวไปโดยผู้อาวุโสผู้คุมกฎต่างก็อาสานำเคล็ดวิชาไปคืนให้เฉินเฉียง ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้ลอบมองเฉินเฉียงในตอนที่พากันนำเคล็ดวิชาไ ไปคืนที่อย่างยอมรับนับถืออยู่ในใจ
“ไอ้แก่ ไปกันได้แล้ว”
เฉินเฉียงในตอนนี้เผยรอยยิ้มกริ่มขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะผายมือให้อีกฝ่ายเป็นผู้เดินนำไป
ผู้อาวุโสฉีเมื่อเห็นก็สบถออกมาทีหนึ่งก่อนที่จะเดินนำไปโดยมีศิษย์ผู้คุมกฎอีกหกคนพร้อมหลิวเหรินตามไปติดๆ
“ท่านผู้อาวุโส ข้าขอติดตามท่านไปยังสนามประลองเป็นตายได้หรือไม่”
หนึ่งในศิษย์แผนกวิชายุทธถามออกมาด้วยสายตาที่หรี่เล็กลง
เฉินเฉียงได้สะบัดมือไปอย่างไม่ยี่หระแล้วพูดออกมา “จะทำอะไรมันก็เรื่องของเจ้า”
เมื่อได้ยินคำพูดที่แสดงออกมาว่าไม่ห้ามปราม ศิษย์แผนกวิชายุทธบางส่วนก็รีบเร่งวิ่งออกไป
ไม่นาน ข่าวข่าวหนึ่งก็ได้ลือเรื่องไปทั่วสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า
มันเป็นข่าวการประลองระหว่างสองผู้อาวุโสผู้คุมกฎในสนามประลองเป็นตาย
โดยท่ามกลางศิษย์ทั้งสี่แผนกนี้ ศิษย์แผนกวิชายุทธนั้นเป็นกลุ่มที่ตื่นเต้นกับข่าวนี้กว่าผู้ใด
ถึงแม้ว่าศิษย์แผนกปรุงยาและศิษย์แผนกวัตถุวิญญาณนั้นจะถูกกดขี่จากศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตเช่นเดียวกัน แต่เมื่อเทียบกับศิษย์วิชายุทธแล้ว เรียกได้ว่าน้อยครั้งมากที่จะเกิดขึ้น น โดยส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นการต่อสู้กันระหว่างศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตและศิษย์แผนกวิชายุทธ
ด้วยการที่ผู้อาวุโสผู้คุมกฎประจำหอตำรา และผู้อาวุโสผู้คุมกฎที่เฉินเฉียงปลอมรูปลักษณ์อยู่นี้ต่างก็เป็นผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตเหมือนกัน การที่ศิษย์แผนกวิชายุทธ ธไปดูการต่อสู้ที่เป็นความบาดหมางของผู้บ่มเพาะบนเส้นทางสายนี้ คนที่ไปดูนั้นจะต้องถูกลงทัณฑ์จากเหล่าศิษย์ทั้งหลายในแผนกวิชายุทธด้วยกันเองอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ในครั้งนี้มันแตกต่างกันออกไป
ด้วยการที่ในครั้งนี้ผู้อาวุโสผู้คุมกฎที่เฉินเฉียงปลอมรูปลักษณ์อยู่นั้น ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจนหลังจากการต่อสู้ในลานประลองเป็นตายเมื่อวานว่าจะรับศิษย์แผนกวิชายุทธเข้าร่ว วมเป็นผู้คุมกฎของเขา
แถมมาตอนนี้เขายังเห็นแก่ศิษย์แผนกวิชายุทธเพียงไม่กี่คน พร้อมกับออกหน้าถึงขั้นท้าดวลกับผู้อาวุโสผู้คุมกฎประจำหอตำรายุทธ์อย่างผู้อาวุโสฉีอีก
ไม่ว่าจะมองยังไงก็ตาม วันคืนที่น่าอดสูของศิษย์แผนกวิชายุทธ์นั้นคงไม่มีทางหวนคืนกลับมาอีก
นี่ทำให้ ไม่เพียงศิษย์แผนกวิชายุทธเท่านั้น แม้แต่ศิษย์จากแผนกปรุงยาและศิษย์แผนกวัตถุวิญญาณต่างก็แสดงออกมาว่ามีความสนใจหมายจะเข้าไปดูการประลองในครั้งนี้ในทันทีเมื่อได้ยิน น
ส่วนศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตนั้น ทุกคนล้วนแล้วแต่ไปยืนอยู่ฝั่งข้าผู้อาวุโสฉีทั้งหมดทั้งสิ้น
มันก็ไม่ได้แปลกแต่อย่างใด
นั่นก็เพราะในสายตาของศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิต การกระทำของผู้อาวุโสผู้คุมกฎที่เฉินเฉียงปลอมรูปลักษณ์อยู่นี้ เปรียบได้ดั่งการทรยศหักหลังผู้บ่มเพาะที่เดินบนเส้นทางหุ่นเชิด โลหิต
ผู้อาวุโสฉีเองที่ยืนอยู่ฟากฝั่งศิษย์ในแผนกหุ่นเชิดโลหิตนั้น กลับกลายเป็นตัวตนที่ห้าวหาญ
ผลก็คือเหล่าศิษย์จากทั้งสี่แผนกต่างก็ไปรวมตัวกันที่เขาใจสลาย
ศิษย์จำนวนเกือบสองหมื่นคน เป็นจำนวนที่บ่งบอกว่าเป็นการยกพลศิษย์มาเกือบจะทั้งสำนักเลยทีเดียว
ในหมู่ศิษย์ที่มานี้นั้นได้แบ่งออกเป็นสามส่วน
ส่วนที่แสดงออกมาอย่างเป็นกลางและมีจำนวนที่แลดูมากที่สุดก็คือศิษย์แผนกปรุงยาและแผนกวัตถุวิญญาณ
ด้วยการที่พวกเขานั้นยังแสดงออกมาอย่างเป็นกลาง ส่วนใหญ่แล้วจึงเรียกที่จะนั่งอยู่โซนกลางระหว่างสองฟากฝั่งที่นั่งคนดู
ทางด้านซ้ายมีศิษย์อยู่ประมาณสองพันกว่าชีวิต ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์จากแผนกหุ่นเชิดโลหิต พวกเขาต่างก็ส่งเสียงเชียร์ผู้อาวุโสฉี พร้อมสายตาเดือดดาลจ้องมองไปยังศิษย์แผนกวิ ชายุทธที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง
ส่วนทางด้านขวาที่เป็นจุดที่นั่งที่ศิษย์แผนกวิชายุทธเลือกนั่งอยู่นั้น ในตอนนี้ได้มีจางหยวน หลางซานเอ๋อ และม่อโชว กำลังขับขานสโลแกนของพวกเขาเพื่อเป็นการเชียร์เฉินเฉียงด ด้วยใจที่ฮึกเหิม
ในช่วงเวลาสั้นๆเพียงวันเดียว สมาชิกกองกำลังเทียนเว่ยได้เคลื่อนไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพเสียยิ่งกว่าตอนทำภารกิจต่อสู้ พวกเขาต่างแยกย้ายไปรวบรวมผู้คนพร้อมกับทำการจัดตั้งกลุ่มเ เคลื่อนไหวหนึ่งขึ้นมา พวกเขาตั้งชื่อตัวเองว่า กลุ่มเหมันต์จันทรา
แม้แต่ศิษย์จากแผนกปรุงยาและศิษย์จากแผนกวัตถุวิญญาณบางส่วนเองก็ได้เข้าหาติดต่อกับจางหยวนโดยตรงและทั้งแบบต่อหน้าผู้คน ร้องขอเข้าร่วมกลุ่มเหมันต์จันทรานี้ด้วยเช่นกัน
เมื่อได้รับความยินยอมจากเฉินเฉียงในเรื่องการจัดตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวนี้ จางหยวนและพวกนั้นต่างก็รีบเร่งดำเนินการได้อย่างไม่ต้องกลัวสิ่งใดแม้แต่น้อย
หากว่ากันตามตรงแล้ว สมาชิกของกลุ่มเหมันต์จันทรานั้น ในตอนนี้ได้มีจำนวนสมาชิกเทียบเท่ากับครึ่งหนึ่งของจำนวนศิษย์ทั้งหมดในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าแห่งนี้
และนี่ยังเป็นเพียงการเคลื่อนไหวโดยใช้เวลาเพียงวันเดียวเท่านั้น