ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 455 สิ่งที่บุรุษเหล็กไม่อยากจะทำ
บทที่ 455 สิ่งที่บุรุษเหล็กไม่อยากจะทำ
เมื่อได้ยินดังนั้น หยานเสวี่ยก็ไม่ลังเลอีกแต่ไป เธอรีบฝังแผ่นแก่นพลังงานที่ที่เฉินเฉียงบอกในทันที
ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีสายสัมพันธ์กันอย่างสามีภรรยาที่แท้จริงกันในตอนนี้ แต่หยานเสวี่ยเองก็ยังคงปฏิบัติตามคำสั่งเสียของเฉินเทียนเว่ย และปฏิบัติตามคำขอของเฉินเฉียงอย่างไม่เคย ติดขัดสักเท่าไหร่ จะบอกว่ามันเป็นสิ่งที่สลักเอาไว้อยู่ในใจเธอก็ว่าได้
การเปลี่ยนผู้อาวุโสผู้คุมกฎสำนักให้กลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์นั้น ด้วยการที่เขาเป็นเพียงนักรบซากศพ เขาย่อมถือว่าคนที่ฝังแผ่นแก่นพลังงานให้เป็นนายของตนไปตลอดชีพ
หรือจะให้บอกก็คือ นับจากนี้เป็นต้นไป นายเหนือหัวเพียงคนเดียวของผู้อาวุโสผู้คุมกฎสำนักผู้นี้ จะมีเพียงหยานเสวี่ยเท่านั้น
“หยานเสวี่ย คนที่ข้าจะอยู่ในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าแห่งนี้ นอกจากผู้อาวุโสผู้คุมกฎสำนักแล้ว ข้าคิดจะเหลือไว้อีกสักคนนะ”
หยานเสวี่ยพยักหน้ารับ “งั้นให้หนอนหนังสืออยู่ดีไหมล่ะ ระดับการบ่มเพาะของเขาแม้จะน้อยที่สุดในกองกำลัง แต่เขาเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแผนการ หากเขาอยู่ข้างๆผู้อาวุโสผู้คุมกฎสำนักล ล่ะก็ ข้าเชื่อว่าต่อให้คนในสำนักสงสัย เขาก็น่าจะพอคลี่คลายสถานการณ์ไปได้”
หยานเสวี่ยพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยในทันที
หลังจากที่ฝังแผ่นแก่นพลังงานเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ได้เดินออกจากห้องไป
ในตอนนี้ที่ด้านนอกมีผู้คนนับร้อยที่คอยลงทะเบียนหมายจะไปทำภารกิจจับตัวเจิ้งยี่
หลังจากมองไปปราดหนึ่ง เฉินเฉียงก็สังเกตว่าในกลุ่มศิษย์เหล่านี้ได้มีศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตระดับสองไม่ก็ระดับหนึ่งรวมๆสักยี่สิบคนเห็นจะได้
ส่วนคนอื่นที่เหลือนั้นเป็นล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์จากแผนกวิชายุทธที่หมายจะติดตามจางหยวนเพียงเท่าไหน จะบอกว่าเป็นแฟนคลับผู้ภักดีของกลุ่มเหมันต์จันทราก็ว่าได้เหมือนกัน
ภายใต้การแนะนำจากเฉินเฉียง จางหยวนก็ได้รับคนทั้งหมดเข้าทำภารกิจและแบ่งออกเป็นสองกลุ่มก้อน
“จางหยวน ศิษย์พี่หลิว เม่ยหลัวหลัน ทั้งสามคนเป็นคนนำกลุ่มศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตนะ คอยให้เจ้าพวกนี้ติดตามอยู่ข้างหลัง และตราบใดที่ข้าไม่อนุญาต ก็ห้ามใครลงมือเป็นอันขาด”
ในขณะเดียวกัน เฉินเฉียงก็ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตน ก่อนจะแฝงตัวเข้าร่วมกับคนอื่นอย่างหยานเสวี่ยและกัวเหลียง เพื่อนำพาคนอีกกลุ่มหนึ่ง
ส่วนหลู่จี้นั้นก็ทำตามคำแนะนำของเฉินเฉียง คอยอยู่ข้างๆผู้อาวุโสผู้คุมกฎสำนักที่กลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไปแล้ว รอจนกว่าทุกคนจะกลับมา
กลุ่มผู้ไล่ล่าเจิ้งยี่นี้มีรวมกันทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดคน
จางหยวนได้นำกลุ่มศิษย์แผนกหุ่นเชิดโลหิตติดตามกลุ่มของหยานเสวี่ยและกัวเหลียงไป ก่อนที่จะมุ่งไปรับภารกิจที่หอภารกิจและนั่งนกยักษ์ที่จัดเตรียมไว้โดยวิหารศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจ จะมุ่งตรงไปยังเมืองเป่ยหมิงโจว
….
หนึ่งเดือนก่อน
เขตเมืองเป่ยหมินโจว เมืองหลูหลง
“พี่เจิ้งยี่ ดูนี่สิคะ”
ที่ตลาดแห่งหนึ่ง เม่ยซินได้หยิบปิ่นปักผมที่งดงามขึ้นมาจากร้านค้าข้างถนน พร้อมเผยรอยยิ้มที่งดงามประดุจดอกไม้ในขณะที่พูดคุยกับเจิ้งยี่
“มานี่สิเม่ยซิน เดี๋ยวพี่จะปักให้เจ้านะ” เจิ้งยี่เองก็ค่อยๆปักปิ่นปักผมนี้ไว้บนผมเม่ยซิน โดยที่เธอนั้นไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธแต่อย่างใด
“ช่างงดงามนัก”
เจิ้งยี่กล่าวชมตามความจริงที่เขาเห็น
“คนบ้า”
เม่ยซินตอมกลับด้วยใบหน้าที่แดงฉาน ก่อนจะหันไปอีกทางแล้วรีบเดินออกไป เป็นตอนนี้ที่เธอเดินเข้าไปชนกับคนคนหนึ่ง
“โวโว้ ข้าไม่นึกเลยจริงๆว่าในเมืองของเรานี้จะมีสวยงามเช่นนี้อยู่ พวกเราพี่น้องดูเหมือนว่าจะออกมาไม่เสียเที่ยวซะแล้วเว้ย”
ชายสูงโปร่งร่างผอมแห้งสองคนจับจ้องไปที่เม่ยซินด้วยสายตาตะลึงงัน
ส่วนเม่ยซินนั้น จากเดิมที่ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยสีแดงที่เกิดจากความเขินอาย เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของคนทั้งสองพร้อมด้วยเสื้อผ้าที่ใส่ ใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที
เธอนั้นคุ้นเคยกับเสื้อผ้าของคนเหล่านี้
นั่นก็เพราะเสื้อผ้าของเหล่าผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตบนโลกปีศาจนั้นต่างก็ใส่ชุดที่คล้ายๆกัน
“พวกเจ้า….ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต….”
เม่ยซินพูดประหนึ่งถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ
“ฮี่ฮี่ฮี่ ศิษย์น้องฉู เจ้าได้ยินรึเปล่า แม่นางน้อยนางนี้ช่างมีสายตาที่ดีเยี่ยมยิ่งนัก นางบอกได้ทันทีว่าพวกเราเป็นใคร”
ในโลกปีศาจแห่งนี้ ด้วยการที่ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนั้นมีสถานะที่ค่อนข้างจะพิเศษ เหล่าหญิงสาวที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจนเท่านั้นจึงจะหมายปองพวกเขาเป็นพิเศษ
และนี่จึงทำให้เหล่าผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนั้นมีนิสัยหื่นกระหายและมีวิธีการที่เป็นเอกลักษณ์ขึ้นมา
ในความคิดของพวกเขานั้น ยามที่พวกเขาได้พบสาวงาม หากใช้เงินทุ่มไม่ได้ พวกเขาก็ใช้กำลังบังคับพวกนางมาไว้ในครอบครอง
โดยเฉพาะสาวงามเฉกเช่นเม่ยซินที่มาเดินอ้อยอิ่งตามถนนในเมืองแบบนี้ นี่ทำให้ตกเป็นเป้าหมายของคนเหล่านี้ได้โดยง่าย
สำหรับพวกเขาแล้ว นี่ไม่ได้ต่างจากการเดินมายั่วยวนให้ถึงที่
แต่ก่อนที่เม่ยซินจะได้ตอบโต้ เจิ้งยี่ที่อยู่ข้างๆก็เดินขึ้นหน้ามาบังเม่ยซินเอาไว้โดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย
“โวโว่ สาวงามนางนี้คงไม่ได้มีเจ้าข้าวเจ้าของแล้วกระมัง”
“มีแล้วยังไงล่ะ กับสาวงามที่อยู่ระดับพบเจอได้หนึ่งในล้านแบบนี้ จะเป็นที่หมายปองของเด็กโง่บางคนที่ไม่สนใจในชีวิตของตนก็ไม่แปลกแต่อย่างใด”
ในสายตาของผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตทั้งสองคนนั้น เจิ้งยี่ที่ก้าวขึ้นมาขวางทางพวกเขานั้นเปรียบได้ดั่งคนที่ตายแล้ว
สำหรับหลัวหลงนั้น ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตเช่นนี้ก็เปรียบได้ดั่งขาใหญ่ประจำเมือง
ตราบใดที่พวกเขาหมายปอง ไม่ว่าจะเป็นกิจการร้านค้าหรือหญิงสาว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ได้มาอย่างง่ายดาย
นี่จึงทำให้เจิ้งยี่ที่อยู่ก็ก้าวขึ้นมาขวางทางพวกเขานั้นไม่ได้อยู่ในสายตาแต่อย่างใด
เหตุผลที่เจิ้งยี่พาเม่ยซินออกมาจากเมืองฟ้าศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เป็นเพราะว่าเขาต้องการพาเม่ยซินออกมาผ่อนคลายและเยียวยาจิตใจที่ถูกสร้างไว้หลังจากเข้าไปเยี่ยมเยือนวิหารศักดิ์สิ ทธิ์ แต่กระนั้น ไอ้ตัวประเภทที่น่าจงเกลียดจงชังพวกนั้นก็ยังคงตามมาหลอกหลอนนาง
เมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ขุ่นมัวของเม่ยซิน เจิ้งยี่จึงไม่ลังเลที่จะออกมาขวางกั้นคนเหล่านี้
“ไอ้พวกเวรตะไล ถ้าพวกแกยังอยากจะมีชีวิตอยู่ล่ะก็รีบๆไสหัวไปไกลๆเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ในวันนี้ ที่นี่จะกลายเป็นที่ฝังศพของพวกเจ้า”
เจิ้งยี่พูดออกมาด้วยอารมณ์ที่เดือดดาล
นี่เป็นครั้งสองแล้วที่เจิ้งยี่นั้นได้แสดงท่าทางออกมาอย่างโกรธเคือง โดยครั้งแรกนั้นคือตอนที่เขาได้รับรู้ว่าตนเองถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์
ในครั้งแรกนั้น เขาโกรธจนเดือดดาลเพราะความอับโชคของตนเอง
ส่วนในครั้งนี้ เป็นเพราะเขานั้นได้โกรธเกรี้ยวแทนสาวน้อยที่เขาได้มีโอกาสพบเจอแล้วสนใจในตัวเขา
เม่ยซินที่อยู่ข้างหลังเจิ้งยี่เองในตอนนี้ก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมาไม่น้อยไปกว่ากันเมื่อมีคนที่ไม่พึงประสงค์จะได้พบเจอมาปรากฏตัวตรงหน้า และนี่ทำให้เธอนั้นหวนย้อนนึกในสิ่ง งที่เกิดขึ้นในวิหารศักดิ์ในวันนั้น
อย่างไรก็ตาม ได้มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้จิตใจของเธอผ่อนคลายลงได้ นั่นก็คือเจิ้งยี่ คนที่เธอหมายมั่นจะมอบหัวใจและชีวิตให้นั้น ในช่วงเวลาแบบนี้เขาก็ยังไม่ทอดทิ้งเธอไปไหน
นี่ทำให้เธอนั้นแม้จะร้องไห้ออกมา แต่มันก็เป็นน้ำตาแห่งความสุข
การเดินทางไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนั้นได้สร้างแผลใจไว้กับเธออย่างที่สุด
นั่นก็เพราะเธอนั้นก็เป็นเช่นเดียวกันคนอื่นที่นับถือและเทิดทูนวิหารศักดิ์สิทธิ์จนเปรียบได้ดั่งเทพพิทักษ์ประจำใจ
และด้วยสิ่งที่เธอได้พบเจอนั้นมันเพียงพอที่จะทำให้จิตใจของเธอแหลกสลายได้เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม เป็นช่วงสุดท้ายในชีวิตนั้น เจิ้งยี่ คนที่เธอพึ่งจะได้พบเจอได้ปรากฏขึ้นในใจของเธอในช่วงเวลาที่เกือบจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต แถมหลังจากนั้นเขาไม่เคยปล่อยเ เธอให้ห่างกายหากเธอไม่ร้องขอ ไม่เคยทอดทิ้งเธอต่อให้เธอจะแสดงอารมณ์ที่ไม่ดีออกไปก็ตาม กลับกัน เขายังคอยทำให้เธอสบายใจ มอบความอุ่นใจให้ แม้แต่การทำทุกอย่างเพื่อเยียวยาหัว วใจของเธอ นี่จึงทำให้จากจิตใจที่เกือบจะแหลกสลายกลับมาฟื้นคืนมีชีวิตชีวา
จะบอกว่าเจิ้งยี่เปรียบได้ดั่งพยาธิที่อยู่ในท้องเธอ ในทุกครั้งที่เธอต้องพบเจอความยากลำบาก เขาก็จะปรากฏกายมาช่วยเหลือในทันทีก็ว่าได้
แม้ในบางครั้งเขาจะทำได้เพียงกุมมือหรือกอดเธออย่างเบามือได้เพียงเท่านั้น
แต่สำหรับเธอแล้ว นั่นมันมากเกินพอเลยทีเดียว
แม้แต่ตอนนี้ เจิ้งยี่ก็ยังก้าวขึ้นมาปกป้องเธออย่างไม่ลังเล
นี่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างที่สุด
ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตทั้งสองคนนี้มีระดับการบ่มเพาะเพียงขั้นนักรบเพียงเท่านั้น
หากต้องแต่สู้กันจริง ต่อให้เจิ้งยี่ไม่ใช้อาวุธออกมา เขาแค่ยืนอยู่เฉยๆ ทั้งสองก็ยังต้องยอมแพ้เพราะหมดแรงไปเองโดยที่เขานั้นจะไม่ได้รับบาดเจ็บไปแต่อย่างใด
แต่เจิ้งยี่นั้นกลับคิดทำบางสิ่งประดุจดั่งตนเองไม่มีทางเลือก
เมื่อเห็นทั้งสองคนตรงหน้า แสดงออกมาด้วยท่าทางที่ไม่เป็นมิตร เจิ้งยี่ที่ใช้ร่างกายปิดซ่อนเม่ยซินเอาไว้ด้านหลังก็ได้เอียงหน้าไปพูดกับเม่ยซิน “เม่ยซิน ตัวข้าเจิ้งยี่นั้น ก็ อยู่มาเพียงลำพังมาโดยตลอด เป็นเพียงตอนที่กัปตันได้เข้ามาช่วยเหลือและมอบหนทางให้ข้าสามารถมีชีวิตอยู่ต่อมาได้อย่างกล้าหาญ”
“อย่างไรก็ตาม นับแต่ที่ข้าได้พบเจ้า เจ้าก็คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตข้า”
“ดังนั้นข้าเองก็ไม่อยากคิดที่จะปิดบังเรื่องราวอันใดกับเจ้า”
“ในตอนนี้ข้าจะแสดงบางสิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์ให้เจ้าได้ดู หลังจากนั้นเจ้าก็บอกข้ามาตามตรงก็พอ”
“ต่อให้เจ้าจะคิดทิ้งข้าไป ข้าก็จะไม่โทษเจ้า”
เมื่อพูดจบ ดวงตาของเจิ้งยี่เปลี่ยนเป็นจริงจัง ก่อนจะอ้าปากกว้างที่ใหญ่โตยิ่งกว่าร่างกายของเขา เขมือบผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตทั้งสองเข้าไปในปากในคราวเดียว