ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 456 คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 456 คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์
ฉากที่เกิดขึ้นในตอนนี้นั้นเรียกได้ว่าบ้าคลั่งและน่าตกตะลึง
ถึงแม้เม่ยซินจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่ฉากที่เธอได้พบเห็นนี้ก็ยังต้องทำให้เธอนั้นต้องตะลึงงันไปในทันที เมื่อเธอได้เห็นว่าเจิ้งยี่เขมือบผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต ทั้งสองคนลงท้องไปอย่างง่ายดาย ราวกับสัตว์วิญญาณที่กลืนกินสรวงสวรรค์ตามตำนานนิทานเรื่องเล่าที่เธอเคยได้ยินมา
หลังจากเขมือบขยะสังคมตรงหน้าไปจนหมดสิ้น เจิ้งยี่ก็หันไปมองเม่ยซินที่ยังคงมีสายตาตกตะลึงอยู่ไม่จางหาย
เพียงเจิ้งยี่มองตาของเม่ยซินในตอนนี้ มันทำให้เขารู้สึกว่ามีมีดมาเสียบอยู่ที่หัวใจของเขา
ผู้หญิงคนแรกที่เขาได้พบเจอและเลือกที่จะเชื่อใจ
แต่กระนั้น ท่าทางของเม่ยซินนั้นมันทำให้เขาต้องปวดใจอย่างมากจริงๆ
แต่ก็อีกนั่นแหละ
ต่อให้เขาจะดิ้นรนขนาดไหนก็ตาม เขาก็ยังไม่อาจหลุดพ้นป้ายแขวนที่ถูกตราติดตัวไว้ว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไปได้ตลอดชีวิต
ในตอนนี้ น้ำตาของเจิ้งยี่ได้ไหลออกมาจากมุมสายตาทีละน้อย ก่อนที่เขาจะหันหน้ากลับไปอีกทาง และเดินออกไปด้วยใจที่หดหู่
“พี่ยี่”
ร่างกายของเจิ้งยี่สั่นสะท้านในทันทีเมื่อได้ยิน
ก่อนที่เจิ้งยี่จะได้หันหน้าไป เขาก็กลับถูกสวมกอดเอาไว้โดยเม่ยซินเรียบร้อยแล้ว
“พี่ยี่ อย่าจากข้าไปไหนนะ”
“ชั่วชีวิตนี้ เม่ยซินจะติดตามพี่ยี่ตลอดไป”
เพียงคำพูดสั้นๆของเม่ยซิน ก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจของเจิ้งยี่หลอมละลาย
เจิ้งยี่ได้ใช้มือที่ใหญ่โตสมชายชาตรีรัดกุมมือน้อยๆของเม่ยซินเอาไว้ ก่อนที่เขาจะถามออกไปด้วยเสียงที่สั่นเทา “เม่ยซิน...เจ้า….ไม่ได้รังเกียจด้านที่ข้าเกลียดชังและน่าอับอายข ของข้านี้หรอกรึ”
“พี่ยี่ ทำไมพี่ต้องอายข้าด้วยล่ะ”
“ถ้าที่พี่แสดงเรื่องนี้ออกมาเป็นเพราะท่านต้องการไล่ข้าไปให้ไกลๆล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ทิ้งข้าไปได้เลย”
ในตอนนี้ หัวใจที่โดดเดี่ยวสองดวง ได้หลอมละลายกันจนเป็นหนึ่งเดียว
“เม่ยซิน เจ้ารู้รึเปล่า ตอนที่เจ้าอยู่ในโลกใบเล็กของข้า ทุกครั้งที่เจ้าหลั่งน้ำตาออกมา มันทำให้หัวใจของข้าเจ็บปวดมากมายนัก”
“มันทำให้ข้าเกลียดชังตัวเองที่ไม่อาจมีพลังพอที่จะคลายปมในใจของเจ้าได้”
“แต่ข้า เจิ้งยี่ผู้นี้ขอสาบานว่า ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจอยู่ ข้าจะฆ่าภูติผีปีศาจ ไอ้พวกตัวชั่วร้ายหรือแม้แต่สัตว์ปีศาจนั่นให้หมดสิ้นไปจากโลกของเจ้า”
“นี่ก็เพื่อเจ้าเท่านั้น เม่ยซิน นี่คือสิ่งที่ข้าจะทำให้เจ้าได้”
เมื่อเม่ยซินได้ยินก็รู้สึกปวดร้าวในหัวใจขึ้นมาในทันที มือของเธอกอดไปยังเจิ้งยี่ไว้แน่นกว่าเดิม พร้อมกลับหลั่งน้ำตาลงบนหลังของเจิ้งยี่อย่างช้าๆ
หลังจากที่เกิดเรื่องราวในวันนี้ เจิ้งยี่ก็ได้พอเม่ยซินเดินทางไปยังเมืองต่างๆที่อยู่ภายในภาคเหนือ
โดยเฉพาะกับเมืองที่มีสำนักเต๋าจัดตั้งอยู่ เจิ้งยี่และเม่ยซินล้วนแล้วเหยียบย่างไปมาแล้วทั้งสิ้น
เมื่อหนึ่งเดือนผ่านไป ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตนับหมื่นชีวิตได้ตกตายไปด้วยน้ำมือเจิ้งยี่
ด้วยการที่เหตุการณ์เกิดขึ้นชนิดที่เลือกได้ว่าแทบจะไม่เว้นวัน ไม่นาน เรื่องก็ไปเข้าหูวิหารศักดิ์สิทธิ์เข้าจนได้
และนั่นจึงได้กลายเป็นภารกิจที่เฉินเฉียงและศิษย์คนอื่นๆในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้าได้รับมา
เมื่อเฉินเฉียงและคนอื่นๆได้เริ่มเคลื่อนไหว เจิ้งยี่ก็ได้ย้ายฐานการโจมตีจากภูมิภาคเหนือไปยังเหลียงตะวันตกเรียบร้อยแล้ว
“กัปตัน ทำไมพวกเราไม่ให้เจิ้งยี่เคลื่อนไหวต่อไปล่ะ ข้านึกไม่ออกจริงๆว่าพวกเราต้องรีบไปหาเขาทำไม”
เฉินเฉียงในตอนนี้ที่เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นศิษย์แผนกวิชายุทธคนหนึ่ง ได้หันกลับไปมองกัวเหลียงแล้วพูดออกมา
“ศิษย์พี่กัว หากพวกเราปล่อยไว้แล้วคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้พบเจอ พวกนั้นต้องลงมือสังหารเจิ้งยี่ในทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อถึงเวลานั้นศิษย์พี่จะวางใจอยู่อย่างนี้ได้งั้ นรึ”
กัวเหลียงเมื่อได้ยินก็แสดงออกมาอย่างร้อนรนในทันที
“ศิษย์พี่กัว ให้จางหยวนพอไอ้พวกแผนกหุ่นเชิดโลหิตไปไกลๆก่อนเลย เดี๋ยวข้าจะไปพบแล้วพูดคุยกับเจิ้งยี่ซะก่อน”
ถึงแม้ในตอนนี้เฉินเฉียงจะรับรู้ที่อยู่ของเจิ้งยี่ได้แล้ว แต่เฉินเฉียงนั้นก็หาได้นิ่งนอนใจไม่ เมื่อพูดจบ เขาก็ใช้ทักษะผ่ามิติเข้าไปหาเจิ้งยี่โดยตรง
ที่ภูมิภาคเหลียงตะวันตก เมืองฝันก่อเกิด สำนักเต๋าฟ้าวันใหม่ (เว่ยซิน)
เจิ้งยี่ได้พาเม่ยซินเข้าไปอยู่ในโลกใบเล็กของตน พร้อมกับเปิดโอกาสให้เธอเฝ้าดูการต่อสู้ของเขาอยู่ภายในนั้นได้อย่างไม่ต้องพบเจออันตราย
หลังจากเจิ้งยี่ใช้เกราะเหล็กไหลจนทั่วทั้งร่างและแม้ใบหน้าถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยโลหะสีเงินจนหมดสิ้น เขาก็ถือดาบใหญ่สีทองคำในมือมีความยามหนึ่งเมตรกว่าพุ่งตรงเข้าไปยังฝูงชน ที่มีร่างกายผอมแห้งกลุ่มหนึ่ง
“ไอ้พวกผู้บ่มเพาะหุ่นเชิดโลหิต พวกเจ้าต้องตกตายจนหมดสิ้น”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เจิ้งยี่จะพุ่งเข้าไปถึงตัวฝูงชนนี้ เสียงหนึ่งก็ได้ดังก้องขึ้นมาในจิตสำนึกของเขา
-เจิ้งยี่ ปลดปล่อยขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้เร็วๆเข้า เร็วสิเว้ย เร็ว เร็ว เร็วๆสิเฮ้ย-
-ฮื้ม กัปตันเหรอ-
เมื่อได้ยินเสียงนี้ เจิ้งยี่ก็จดจำได้ในทันทีว่าเป็นเสียงของเฉินเฉียง
ก่อนหน้านี้ เขานั้นรู้อยู่แล้วว่าเฉินเฉียงและคนอื่นๆกำลังตรงมาหาเขา แต่เขาไม่คิดว่าจะมาถึงเร็วขนาดนี้
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะไม่รู้ว่าทำไมเฉินเฉียงถึงมีสุ้มเสียงที่ดูร้อนรนนัก แต่เขาก็ยังคงทำตามคำสั่งเป็นอย่างดี และปลดปล่อยขอบเขตเจตจำนงออกไปรอบตัวเขาเป็นระยะหนึ่งเมตร
เป็นเพียงที่เจิ้งยี่ปลดปล่อยขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ออกไป ร่างของเขาก็ได้เขาถึงฝูงชนกลุ่มผู้บ่มเพาะเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เขากำลังร่ายรำดาบยักษ์สีทองในมือออกไป ผู้คนที่อยู่ในวิถีดาบก็ราวกับถูกดึงออกไปด้วยอะไรบางอย่าง พร้อมกับมีสิ่งที่ดูแหลมคมพุ่งตรงออกมาจากฝูงชนผู้บ่ม เพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตเหล่านี้ เข้าใส่เจิ้งยี่เข้ามาตรงๆ
ปัง
ดาบที่พุ่งเข้าใส่เจิ้งยี่ได้กระเด็นไปอีกทาง พร้อมกับเจิ้งยี่ที่ถูกส่งออกไปอีกทางหนึ่ง
ยังดีที่เจิ้งยี่ปลดปล่อยขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ออกมาได้ทันเวลา หากเขาต้องรับดาบนี้เข้าไปตรงๆล่ะก็เรียกได้ว่ายากที่จะป้องกันได้เลยทีเดียว
เจิ้งยี่ที่ถูกส่งลอยออกไปนั้นได้ปรับสมดุลร่างกายได้ในที่สุด และเป็นตอนนี้ที่เขาสัมผัสได้ว่าท่ามกลางผู้คนเหล่านี้มีผู้ที่อยู่ในระดับราชาเหนือราชาขั้นต้นสองคน
เจิ้งยี่เข้าใจในทันทีเมื่อได้เห็นชุดที่ทั้งสองคนสวมใส่อยู่
“พวกเจ้ามาจากวิหารศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ”
ทั่วทั้งโลกปีศาจนั้น มีเพียงผอ.สำนักเต๋าเท่านั้นที่มีระดับการบ่มพาะอยู่ในระดับราชาเหนือราชาขึ้นไป ส่วนผู้ที่อยู่ในระดับนี้ที่เหลือนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนของวิหารศักดิ์สิทธ ธิ์ทั้งหมดทั้งสิ้น
นี่จึงเป็นเหตุที่เจิ้งยี่ได้ถามออกมา
คนที่อยู่ในชุดคลุมเองในตอนนี้ก็ได้ยืนนิ่งอย่างองอาจ ก่อนที่จะยกตัวเองลอยขึ้นไปอยู่บนฟ้า
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าพวกเราเป็นคนจากวิหารศักดิ์สิทธิ์แล้วก็จงรีบยอมแพ้ซะ”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยอยู่นี้ นกยักษ์ตัวหนึ่งที่นำพากัวเหลียงและคนอื่นๆอีกร้ายกว่าชีวิตได้หยุดลอยตัวนิ่งอยู่ไม่ไกลระหว่างเจิ้งยี่และคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์มากนัก
เจิ้งยี่ได้เหลือบมองไปยังผู้คนที่อยู่บนหลังนกยักษ์นี้ก็ได้พบเห็นคนในกองกำลังเทียนเว่ยอยู่ ส่วนที่เหลือนั้นล้วนเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก
เป็นตอนนี้ที่เขาได้ยินเสียงผ่านจิตวิญญาณของเฉินเฉียง
-เจิ้งยี่ ไม่ต้องกังวลไป คนที่มากกับกัวเหลียง หยานเสวี่ยและคนอื่นๆนั้นล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ของสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้า ส่วนไอ้คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์สองตัวนี่ เดี๋ยวข้าจะจั ดการเอง-
เมื่อได้ยินแบบนี้ เจิ้งยี่ก็เบาใจขึ้นมา
ต่อให้เขานั้นไม่อาจจะสู้คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่หากเขาจะหนีไปจากที่นี่ คนเหล่านี้ล้วนไม่อาจหยุดเขาได้
แต่ที่เขาประหลาดใจก็คือเขาไม่คิดว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์จะจับทางเขาได้เร็วขนาดนี้
ที่ด้านหลังนกยักษ์ เหล่าศิษย์แผนกวิชายุทธที่เห็นร่างกายของที่ที่ไม่คุ้นตา พวกเขาไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด หากให้พูดกันล่ะก็ ทุกคนราวกับพร้อมที่จะสู้เรียบร้อยแล้ว
“ลูกพี่ จะไม่ดีกว่าเหรอถ้าให้พวกเรานั้นรุมล้อมไอ้หมอนี่เอาไว้น่ะ”
“เพียงแค่สองมือไม่มีทางสู้สี่แขนได้หรอกน่า แถมพวกเราก็ยกพลมากันตั้งขนาดนี้ ไม่ว่ายังไงไอ้หมอนี่ก็ไม่มีทางรอดพ้นมือของพวกเราไปได้”
หนึ่งในคนที่อยู่สังกัดกลุ่มเหมันต์จันทราได้พูดคุยกับเฉินเฉียงด้วยท่าทางกระสันสู้
กัวเหลียงหันหลังไปก่อนจะกลอกตามองที่ชายคนนี้แล้วพูดออกมา “หุบปากไปเลยเอ็ง เอ็งไม่เห็นเรอะว่าบนฟ้าตรงนั้นมีคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่น่ะ เรื่องนี้พวกเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม ม่ได้แล้ว ทำได้เพียงแค่จับตาดูเพียงเท่านั้นแหละวุ้ย”
ศิษย์แผนกวิชายุทธเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วมีระดับการบ่มเพาะระดับขุนพลขั้นสูง แถมบางคนยังก้าวเข้าไปอยู่ในระดับราชาแล้วด้วยซ้ำ
และนี่คือสิ่งที่เรียกกันว่า ลูกวัวพึ่งคลอดไม่กลัวเสือ
ถึงแม้เจิ้งยี่ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นจะดูแข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่สำหรับศิษย์สำนักเต๋าเหล่านี้ การได้ต่อสู้กับเจิ้งยี่ที่แม้จะแข็งแกร่งกว่า ก็ยังดีกว่าให้สู้กับผู้บ่มเพาะหุ่น นเชิดโลหิตที่มีระดับการบ่มเพาะที่อ่อนด้อยกว่า
ประเด็นก็คือ ต่อให้พวกเขาจะสามารถเอาชนะผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต หรือแม่แต่หุ่นเชิดโลหิตได้โดยง่าย แต่หากพลาดพลั้งไป พวกเขาจะไม่ได้จบลงที่การตกตาย
อย่างดีที่สุดก็คือการถูกหุ่นเชิดโลหิตสูบกินเลือดเนื้อ แต่อย่างร้ายที่สุด ก็คือถูกทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดซากศพ